สีหน้าของเยี่ยเม่ยถึงแม้ดูไม่ค่อยผ่อนคลายมากนัก แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากแล้ว
ถึงขั้นว่า
นางยังดูคล้ายมีความมั่นใจมากกว่าเป่ยเฉินอี้มากนัก สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าเป่ยเฉินอี้เผยความสนุกสนานออกมา เอ่ยเสียงขรึมว่า “ดีมาก อย่างนั้นพวกเราต่างฝ่ายต่างตั้งตารอดูเถอะ”
……
ศึกใหญ่นี้ ต้ามั่วสูญเสียไพล่พลกำลังไปมาก
ในฐานะที่จิวมั่วเหอเพิ่งขึ้นครองราชย์ ในเวลานี้เขาหาได้ใช้อารมณ์ทำงาน แสดงออกว่าจะโจมตีราชสำนักเป่ยเฉินเพื่อแก้แค้นให้กับอดีตราชาต้ามั่ว กลับกันในสายตาของเหล่าทหารจำนวนมากคิดว่าจิวมั่วเหอทำเพื่อส่วนรวมโดยการส่งหนังสือสงบศึกให้กับเป่ยเฉิน เป็นการจบศึกระหว่างเป่ยเฉินกับต้ามั่ว
ในความเป็นจริงเวลายังไม่ผ่านไปนานมากนัก เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็เกิดเรื่องราวมากมาย รวมถึงจบศึกลงด้วยประการฉะนี้
หลังจากราชสำนักเป่ยเฉินได้รับหนังสือขอสงบศึก เสินเซ่อเทียนก็นำกลับไปยังเมืองหลวงก่อน
ก่อนออกเดินทาง เขายังเอ่ยกับเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากจากลาว่า “ข้าจะรอเจ้าที่เมืองหลวง”
เยี่ยเม่ยทำเหมือนไม่ได้ยิน สีหน้าไม่หวั่นไหวสักน้อย คร้านจะใส่ใจเขา
เสินเซ่อเทียนอยากยิ้มแต่ยิ้มไม่ออกมองเยี่ยเม่ยประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะไสม้าจากไป
เรื่องการสงบศึกถูกนำขึ้นมาปรึกษาหารือกัน เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ฮ่องเต้รวมถึงเหล่าขุนนางบุ๋นทั้งหลายเมืองหลวงต้องถก ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเยี่ยเม่ย ดังนั้นเยี่ยเม่ยแค่รอผลการหารือจากทางเมืองหลวงก็พอ
ไม่ช้า เมืองหลวงส่งซือถูจ้าวที่เกลียดแค้นเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้ากระดูกมา เป้าหมายในการเดินทางของเขาก็คือนำราชโองการของฮ่องเต้มาเจรจากับจิวมั่วเหอ
การเจรจาดำเนินไปๆ มาๆ ติดต่อกันเป็นเวลาสามเดือนกว่า
ทั้งสองฝ่ายถึงยอมสงบศึกลงตามเงื่อนไข
ส่วนในเวลาสามเดือนนี้คลื่นลมในชายแดนสงบเงียบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เคยไปรบกวนเยี่ยเม่ย ทำให้คนแทบละเลยการดำรงอยู่ของเขา กูเยว่อู๋เหินกลับคอยติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยมากกว่า
จนกระทั่งสัญญาสงบศึกตกลงเป็นที่เรียบร้อย ซือถูจ้าวก็นำสัญญากลับไปยังเมืองหลวง
จากนั้นพวกเยี่ยเม่ยต่างก็ได้รับราชโองการเรียกตัวกลับเมืองหลวง
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว จิวมั่วเหอเป็นศิษย์พี่รองของเยี่ยเม่ย และเคยร่วมมือกัน เมื่อเขารู้ว่าพวกเยี่ยเม่ยเดินทางกลับเมืองหลวง เขาสมควรไปส่งนาง แต่ว่าเวลานี้เขาจำเป็นต้องเก็บตัว ไม่ให้ผู้อื่นคิดว่าราชาต้ามั่วกับเยี่ยเม่ยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ดังนั้นจึงทำได้แค่ส่งจดหมายฉบับหนึ่ง หาได้มาส่งนางด้วยตัวเอง
เยี่ยเม่ยเปิดจดหมายออกอ่าน เพียงเห็นคำพูดประโยคเดียว ‘แล้วพบกันใหม่’
นางหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เผาจดหมายทิ้ง
นางเชื่อว่าด้วยปณิธานของจิวมั่วเหอ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่เขาคิดจะสยบดินแดนภาคกลาง ดังนั้นเขาต้องมาภาคกลางอย่างแน่นอน เพียงแต่อนาคตจะได้พบจิวมั่วเหอในลักษณะไหน เยี่ยเม่ยก็ยังไม่รู้ชัด
นางตอบจิวมั่วเหอกลับไปด้วยประโยคเดียวกัน
‘แล้วพบกันใหม่’
จากนั้นก็เดินทางกลับเมืองหลวงไปพร้อมกองทัพ
หลายวันนี้เป่ยเฉินอี้ไม่ได้ลงมือทำอะไร ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงเข้าใจว่าเขากำลังเตรียมแผนการขั้นสุดท้าย
ตอนนี้ดูท่าหมากที่เป่ยเฉินอี้วางไว้จะอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว
ดังนั้นหลังจากมาถึงเมืองหลวง เป่ยเฉินอี้ต้องเริ่มลงมือจัดฉากผลักไสนางสู่โทษทัณฑ์จนไม่อาจรอดได้ใช่หรือไม่
เมื่อกองทัพเดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองหลวง คนทั้งหมดก็หยุดพัก ในค่ายพักแรมทุกคนต่างก็พักอยู่ในที่ของตน
เยี่ยเม่ยมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ตามแผนการเดินทางพรุ่งนี้ก็จะเข้าเมืองหลวง เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางไม่อาจปล่อยให้เป่ยเฉินอี้ทำลายแผนการของนางแน่
ดังนั้น
ในคืนนี้เยี่ยเม่ยไปเคาะประตูห้องเป่ยเฉินอี้
ฝ่ายเป่ยเฉินอี้ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องก็คาดเดาว่าเป็นเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูของเขาเอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาได้”
หลังจากเยี่ยเม่ยเข้ามาก็หาได้เกรงใจ เข้าไปนั่งตรงข้ามเป่ยเฉินอี้
นางมองเป่ยเฉินอี้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเย็นชา เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพราะอยากถามอี้อ๋องคำหนึ่งว่า ท่านจะพลิกสถานการณ์นี้อย่างไร เชื่อว่าด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของท่าน คงจะยอมบอกแผนการของท่านให้ข้าฟังอย่างใจกว้างได้ใช่หรือไม่”
เมื่อเยี่ยเม่ยถามออกเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้กลับคลี่ยิ้ม
เขาจ้องมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงขรึมตอบ “เจ้าพูดไม่ผิด ข้าไม่ถือสาที่จะเล่าให้เจ้าฟัง”
หลังจากเขาเอ่ย เยี่ยเม่ยตกใจไม่น้อย หากเป่ยเฉินอี้กล้าพูด นั่นก็หมายความว่าเขามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
“เช่นนั้น ขอให้อี้อ๋องโปรดชี้แนะ ให้ข้าได้เตรียมใจ ต่อให้ตายก็ตายอย่างแจ่มชัด!” เยี่ยเม่ยรินชาให้ตัวเอง จากนั้นก็ดื่มลงไป แววตาเย็นชามองเป่ยเฉินอี้
เป่ยเฉินอี้แค่นหัวเราะเบาๆ สายตาลุ่มลึกเกินหยั่งมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเรื่องที่เจ้าร่วมมือกับจิวมั่วเหอเก็บงำได้หมดจด”
เยี่ยเม่ยพลันแข็งค้าง
เป่ยเฉินอี้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของนาง ก็กล่าวต่อ “ตอนแรกข้าแสร้งร่วมมือกับราชาต้ามั่ว หลอกให้เขาส่งเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่นำทัพพ่ายแพ้ในเงื้อมมือเจ้า เจ้าคิดว่าเพราะอะไรกัน”
เรื่องนี้เตือนสติเยี่ยเม่ยขึ้นมา
มีครั้งหนึ่งที่เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จงใจแพ้ เรื่องนี้เยี่ยเม่ยไม่เคยเข้าใจเลย ที่แท้ก็คือแผนการของเป่ยเฉินอี้
นางมองเป่ยเฉินอี้ “หรือว่า…นี่เป็นแผนซ้อนแผนของท่าน นับตั้งแต่ตอนนั้นท่านก็คิดจะสร้างภาพปลอมๆ ให้เหมือนกับข้าสมคบคิดกับราชาต้ามั่ว ท่านต้องการให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าข้าเป็นไส้ศึกที่ราชาต้ามั่วส่งมา เพื่อให้ข้าได้รับความไว้วางใจจากเป่ยเฉิน เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จึงจงใจพ่ายแพ้ให้กับข้า จากนั้น…ต่อให้ผลลัพธ์คือราชาต้ามั่วพ่ายแพ้ ถูกจิวมั่วเหอสังหาร แต่การพ่ายแพ้ในครั้งนั้นยังคงเป็นข้อคิดเห็นว่าข้าสมคบคิดกับต้ามั่ว ข้อแตกต่างเดียวก็คือคนที่ข้าสมคบคิดด้วยคือราชาต้ามั่วหรือว่าจิวมั่วเหอเท่านั้นเอง”
“ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้ไม่แปลกใจเลยที่นางคาดเดาได้จากคำพูดของเขา
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง “แต่เพียงแค่นี้ ท่านไม่คิดว่าเหตุผลอ่อนเกินไปหรืออย่างไร”
“เหตุผลอ่อนหรือ” เป่ยเฉินอี้จับตามองเยี่ยเม่ย หัวเราะถามเสียงขรึมว่า “หลายวันก่อนที่จิวมั่วเหอจะแพ้ศึกให้กับเจ้า ตอนที่เจ้าสั่งให้เซียวเยว่ชิงปิดประตูเมือง เจ้าเคยบอกกับเขาว่า ภายในสามวัน จิวมั่วเหอต้องมาโจมตีแน่ หากข้าถามเจ้าในท้องพระโรงว่า เจ้าคาดเดาได้อย่างไรว่าจิวมั่วเหอจะมาภายในสามวัน แล้วจิวมั่วเหอก็บุกมาจริงๆ นั่นยังไม่ใช่การพิสูจน์ว่าพวกเจ้าร่วมมือกันอีกหรือ”
เยี่ยเม่ยหน้าซีดเผือดลงในบัดดล
เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังไม่รอบคอบพอ ความผิดพลาดนี้อยู่ในกำมือของศัตรูก็คือจบชีวิตสถานเดียว!”
“ยังมีอะไรอีก” เยี่ยเม่ยจ้องเป่ยเฉินอี้ นางคิดว่ายังมีอีก
มิเช่นนั้นอาศัยแค่เรื่องนี้ก็ยังไม่พอ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ประกอบคุณงามความชอบเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ไม่มีทางจัดการนางจนถึงที่ตายได้แน่นอน
เป่ยเฉินอี้ยิ้ม “ยังมีจดหมายที่จิวมั่วเหอส่งให้เจ้า จดหมายฉบับจริงอยู่ในมือข้า ส่วนจดมายในมือเจ้าคือฉบับที่ข้าให้คนปลอมลายมือขึ้นมา”
คำพูดของเขาทำเอาเยี่ยเม่ยอึ้งไป
ดังนั้นคำพูดนี้หมายความว่า…
เป่ยเฉินอี้ไม่เพียงคาดเดาได้แต่แรกว่านางจะร่วมมือกับจิวมั่วเหอ ทั้งยังเก็บจดหมายของนางจิวมั่วเหอไว้ทั้งหมด ? !
นางรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยียบซึมไปทั่วแผ่นหลัง เคราะห์ดีที่เรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหลายครั้งล้วนคุยกันต่อหน้า จดหมายที่เกี่ยวกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ล้วนเป็นบรรดาแม่นางที่อยู่ข้างกายนางส่งออกไป
มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่ดำเนินมาถึงขั้นนี้เลย บางทีตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกนางคิดจัดการ เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ในการจับตามองเป่ยเฉินอี้ก็คงไม่ง่ายแล้ว
เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ “จดหมายนกพิราบไม่เยอะมาก แต่ว่าในนั้นยังมีจดหมายที่เจ้าและจิวมั่วเหอตอบกลับว่าแล้วพบกันใหม่ เยี่ยเม่ย เจ้าว่าหากฝ่าบาทเห็นจดหมายฉบับนี้ เหล่าขุนนางบู๊บุ๋นเห็นจดหมายฉบับนี้ จะคิดอย่างไร”
เขาเล่ามาถึงตรงนี้ เห็นเยี่ยเม่ยไม่ตอบ ก็กล่าวต่อว่า “เมื่อถึงเวลานั้น คนทั้งหมดก็จะคิดว่า พวกเจ้าสองคนสมคบคิดกันนานแล้ว เขาต้องการเป็นราชาต้ามั่ว ส่วนเจ้าต้องการเป็นขุนนางราชสำนัก ยังมีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะเป็นไส้ศึกของต้ามั่ว เยี่ยเม่ยเจ้าว่าบทสรุปนี้จะเป็นอย่างไร”
เขากล้าเล่าทั้งหมดออกมา เพราะไม่กลัวเยี่ยเม่ยจะพลิกสถานการณ์ได้
เยี่ยเม่ยมองเขาทีหนึ่ง “ท่านมีจดหมายระหว่างข้ากับจิวมั่วเหอทุกฉบับ…หรือว่า…”
“ไม่ผิด ในบรรดาคนที่ดูแลพิราบส่งสารให้จิวมั่วเหอมีคนของข้าอยู่” เป่ยเฉินอี้ใช้เสียงขรึมเอ่ยต่อ “ดังนั้นข้าถึงบอกแต่แรกแล้วว่าจิวมั่วเหอยังอ่อนเกินไป ไม่ใช่คู่มือของข้า”
ยามนี้เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง
เป่ยเฉินอี้รอบคอบถึงเพียงไหน ยามที่จิวมั่วเหอออกบวช เป่ยเฉินอี้ส่งคนเข้าไปแทรกซึมในบรรดาคนเลี้ยงพิราบส่งสารของอีกฝ่ายแล้ว
ดังนั้นจดหมายที่ส่งด้วยนกพิราบทุกครั้งระหว่างพวกนางล้วนถูกคนกลางเล่นตุกติก ขโมยจดหมายฉบับจริงออกไป จากนั้นปลอมลายมืออีกฉบับ แยกส่งให้นางกับจิวมั่วเหอ ส่วนจดหมายฉบับจริงก็เก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อเปิดโปงนาง พิสูจน์ว่านางทรยศบ้านเมือง
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เยี่ยเม่ยรู้สึกอับจนคำพูด
นางจ้องมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อี้อ๋องฉลาดล้ำเกินใครจริงๆ เยี่ยเม่ยเลื่อมใสนัก แผนการนี้ของท่าน ข้าไม่อาจแก้ได้!”
“เจ้ายังมีคำว่าแต่?” เมื่อเห็นสีหน้านาง เป่ยเฉินอี้ถามขึ้นมา
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ใช่ พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้คนส่งของขวัญชิ้นหนึ่งให้ท่าน เชื่อว่าเมื่อท่านเห็นแล้วก็จะเข้าใจว่าคืออะไรคือ…..”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็หมุนกายจากไป
เป่ยเฉินอี้มองแผ่นหลังของนางเริ่มรู้สึกเฝ้ารอเช้าวันพรุ่งนี้ว่าเขาจะได้ของขวัญอะไรถึงทำให้เยี่ยเม่ยมั่นอกมั่นใจได้ปานนี้
เช้าตรู่วันถัดมา
กองทัพเตรียมออกเดินทางยามรุ่งสาง เยี่ยเม่ยส่งซือหม่าหรุ่ยมามอบของให้เป่ยเฉินอี้
ซือหม่าหรุ่ยยื่นของที่ถูกคลุมผ้าสีดำผืนหนึ่งให้เป่ยเฉินอี้
เมื่อเขาเปิดผ้าออก
เห็นสิ่งของในนั้น สีหน้าเขาซีดขาวราวกระดาษในทันที เขาเงยหน้ามองซือหม่าหรุ่ย “นี่คือ…”
นี่คือ
หน้ากากผีที่เขามอบให้อาซีในปีนั้น!
คืนนั้นเขาหลอกนางบอกว่าเขาออกจากวังไปซื้อหน้ากากผีให้นาง นางถึงช่วยขอร้องเสด็จพ่อให้กับเขา…
ความจริงซือหม่าหรุ่ยไม่รู้ว่านี่คืออะไร นางมองเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ยเพียงแค่ให้ข้าบอกกับท่านว่า ท่านรู้ว่านี่คืออะไร! นางยังบอกอีกว่า เชื่อว่าท่านคงจำได้ว่าติดค้างอะไรนาง”
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยจบก็หมุนกายจากไป
‘ตุบ’ เป่ยเฉินอี้ทำหน้ากากในมือตกลงพื้นแตกกระจาย…