บทที่ 1049 อำนาจแห่งเนตรดับชีวิต

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1049 อำนาจแห่งเนตรดับชีวิต

ดวงตาสีดำแนวตั้งเปิดขึ้นช้าๆ บนหน้าผากของมู่เฉิน

พร้อมกับแสงสีดำไหลเวียนอยู่ภายใน ประหนึ่งแสงแห่งการทำลายล้างกลั่นตัว เมื่อแสงสีดำกะพริบกระทั่งมิติไร้ขอบเขตก็สามารถทะลุทะลวงไปได้อย่างง่ายดาย

ไกลออกไป เมื่อพวกจิ่วโยวเห็นดวงตาที่หว่างคิ้วของมู่เฉินเปิดขึ้น ดวงตาก็หดเกร็ง แม้ว่าหลังจากที่มู่เฉินได้สิ่งนี้มาจะใช้สำรวจเส้นทางเท่านั้น แต่พวกเขาก็รู้ชัดว่าการสำรวจโดยทะลุมิติเป็นเพียงความสามารถเสริมเท่านั้น

ด้วยความสัมพันธ์ของจิ่วโยวกับมู่เฉิน นางได้ยินเขาพูดถึงเนตรดับชีวิตว่าอาวุธชิ้นนี้ได้รับการชำระโดยอสูรโบราณโภคะที่ใช้ดวงตาของมันเป็นวัสดุพื้นฐาน ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในแง่ของราคากระทั่งอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งหมดในมือของพวกนางรวมกันก็ด้อยกว่าเนตรชิ้นนี้

ช่องว่างระหว่างของเสมือนกับของแท้กว้างใหญ่อย่างกับปากอ่าว

ขณะที่เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่เฉิน รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณก็กวนตัวรุนแรง ร่างที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าก็หยุดลง ร่างกายที่ตึงแน่นขึ้นแสดงความตั้งระวังขีดสุด

เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจากเนตรดับชีวิตบนหน้าผากของมู่เฉิน

ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ หลังจากการโจมตีของชั้นค่ายกลอันหนักหน่วง มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกิดช่องโหว่ใหญ่ในรัศมีป้องกันของมัน

ถ้ามันถูกโจมตีโดยเนตรดับชีวิตอีกครั้ง มันตายคาที่จริงๆ แน่ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีชีวิตแล้ว แต่สัญชาตญาณก็ยังทำให้มันพยายามแสวงหาชีวิตและหลีกเลี่ยงความตาย

ดังนั้นแววหวาดกลัวจึงวาบวับในดวงตาของมันซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตาย

แต่ในตอนนี้เห็นชัดว่ามู่เฉินไม่คิดปล่อยให้มันหนีไปอย่างง่ายดายจากอาการบาดเจ็บหนักแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าไปหาพรรคพวกที่เข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังท่าทางนี้ คลื่นไร้ขอบเขตถูกกวาดออกไปทันที อาวุธเสมือนมหสวรรค์ปิดกั้นเส้นทางด้านหลังของร่างอสูรวิญญาณ ไม่เหลือทางให้มันหลบหนีไปได้

ขณะที่คนอื่นๆ สร้างปราการกีดขวาง มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ขวดหยกพุ่งออกมาก่อนที่จะระเบิด กระแสธารหลั่งไหลออกมาทันที

กระแสธารม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า ทำเอาพลังงานหลิงในพื้นที่นี้หนาแน่นขึ้นพร้อมกับหมอกหลิงหลั่งไหลออกมา

จิ่วโยวจ้องมองไปที่สายธารก็พบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากของเหลวจื้อจุน มองดูคร่าวๆ อาจมีเกือบล้านหยดเลยทีเดียว…

“หรือว่ามู่เฉินต้องการของเหลวจื้อจุนจำนวนมากนี้เพื่อใช้กับเนตรดับวิญญาณ?” จิ่วโยวผงะไป จากนั้นก็แอบรู้สึกผวา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือพวกนางใช้พลังงานหลิงของผู้ครอบครองก็สามารถแสดงพลังได้ ไม่คิดว่าเนตรดับชีวิตของมู่เฉินจะต้องการความช่วยเหลือจากพลังงานภายนอกด้วย

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความตกใจของพรรคพวก เขามองสายธารพลังงานหลิงรอบตัว ก่อนถอนหายใจอย่างจนใจในหัวใจ เนื่องจากพูดไม่ออกเกี่ยวกับความจริงที่ของเหลวจื้อจุนจำนวนนี้จำเป็นสำหรับเขาที่จะใช้งานเนตรดับชีวิต อาวุธนี้เป็นหลุมไร้ก้น ใช้หนึ่งครั้งก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนถึงล้านหยด ด้วยทรัพย์สินที่เขามีตอนนี้ ต่อให้คั้นออกมาหมดก็ใช้เนตรดับชีวิตได้สี่ห้าครั้งเท่านั้น

แต่ตอนนี้ถ้าเขาต้องการจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เขาก็ต้องใช้เนตรดับชีวิตนี้

พอคิดได้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง แสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิตพร้อมกับแรงดูดที่ระเบิดออก เนตรดับชีวิตก็ราวกับวาฬกลืนของเหลวล้ำค่าเข้าไป …

เมื่อกลืนกินของเหลวปริมาณมากเข้าไป ดวงตาก็กลายเป็นสีดำสนิทและลึกซึ้งยิ่งขึ้น มองจากที่ไกลประหนึ่งหลุมดำขนาดเล็ก พลังงานหลิงในร่างของคนคนหนึ่งถึงกับแตกสลาย หากพวกเขามองเป็นเวลานาน

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกได้ถึงพลังทรงประสิทธิภาพเดือดพล่านที่เนตรดับชีวิตกลางหน้าผาก ถ้าพลังงานนี้ระเบิดออกมา แม้แต่สมองของเขาก็จะกลายเป็นธุลี

ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เปลี่ยนกระบวนท่าในมือ ชั้นแสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิต ทำให้มิติรอบดวงตายุบลงเป็นชั้นๆ

ร่างอสูรวิญญาณซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเชี่ยวกรากถอยกลับไป มันไม่กล้าที่จะอยู่ต่อไป เนื่องจากสัมผัสถึงภัยคุกคามของการทำลายล้าง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

มู่เฉินไม่สนใจกับปฏิกิริยาของอสูรวิญญาณ แสงสีดำที่หว่างคิ้วควบแน่น ในช่วงสิบลมหายใจก็ข้นคลั่กจนถึงขีดสุด ชั้นแสงสีดำระเบิดออกมาจากเนตรดับชีวิต

“เนตรดับชีวิต แสงเทพดับชีวิต!”

มือของมู่เฉินประสานกัน ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังกึกก้องจากหัวใจ

ฟิ้ว!

ม่านตาแนวดิ่งสีดำหมุนคว้างก่อนที่จะเล็งเป้าเข้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปดที่กำลังถอยกลับ วินาทีต่อมาแสงสีดำขนาดร้อยจั้งก็พุ่งออกมาจากรูม่านตา

แสงสีดำนี้แปลกประหลาดมาก กระทั่งเวลาภายในยังเหมือนจะช้าลง ในเส้นทางที่พุ่งผ่านไม่มีการทำลายล้างรุนแรง แต่เมื่อแสงพุ่งไปอย่างเงียบเชียบ พลังชีวิตในเส้นทางก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก มากจนแม้แต่พลังงานหลิงระหว่างฟ้าดินยังถูกลบออกไปอย่างผิดปกติ

เมื่อคนอื่นเห็นแสงสีดำนี้ก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ อันตรายคุกคามห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา

ร่างอสูรวิญญาณก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทันใดนั้นมันก็ปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายระเบิดออกมาจากร่างโดยไม่กักเก็บ ก่อร่างเป็นโล่มรณะป้องกันที่ด้านหลังขณะที่มันหนีไปแบบไม่คิดชีวิต

ปัง!

แสงสีดำที่ลบล้างพลังชีวิตกระแทกโล่จังใหญ่ ทว่ารัศมีความตายเชี่ยวกรากกลับไม่สามารถสกัดได้แม้แต่น้อย พริบตาก็ละลายอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว!

แสงสีดำทะลวงผ่านโล่พุ่งผ่านขอบฟ้าไล่ตามร่างอสูรวิญญาณที่เผ่นหนีไม่คิดชีวิต ก่อนที่จะกระแทกหัวมันเต็มแรง

แม้ว่าอสูรวิญญาณจะหมุนวนรัศมีความตายอย่างบ้าคลั่งเพื่อสร้างการป้องกัน แต่เมื่อแสงสีดำพุ่งผ่านหัวก็หายไปจากคอทันที

ร่างอสูรวิญญาณค้างอยู่ในท่าโกยอ้าวไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตกลงมาจากท้องฟ้า แรงส่งแยกต้นไม้ขนาดใหญ่ฉีกออกจากกัน

รัศมีความตายทรงพลังที่ห่อหุ้มร่างก็หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ ทิ้งไว้แต่ร่างตายซาก

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดได้โดยไร้การต่อต้าน พวกเขาก็อึ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อหลุดจากอาการทุกคนก็สูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปสุดปอด

ชัดว่าพวกเขาตกใจกับพลังอำนาจเนตรดับชีวิตของมู่เฉิน

“สมกับเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์…” จิ่วโยวพึมพำ แม้ว่าก่อนหน้าอสูรวิญญาณขั้นแปดจะเสียพลังไปมาก แต่อำนาจเนตรดับชีวิตก็น่ากลัวมากอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธเสมือนในมือของพวกนาง ชัดว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

ดูเหมือนว่าต่อให้เป็นอาวุธเสมือนก็ถูกจำแนกตามระดับขั้นเช่นกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นอสูรวิญญาณขั้นแปดถูกสังหารก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนตรดับชีวิตบนหน้าผากปิดลงอย่างช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลีย

มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏที่ด้านข้างร่างอสูรวิญญาณ จากนั้นด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ร่างตายซากของอสูรวิญญาณขั้นแปดก็กลายเป็นเถ้าธุลีกระจัดกระจายออกไป เหลือเพียงหัวใจสีดำที่เต้นตุบๆ ลอยขึ้นมา

หัวใจสีดำนี้เต็มไปด้วยรัศมีความตายอันน่าสะพรึง ชัดว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากรัศมีความตายมานานนับหมื่นปี

นี่คือหัวใจอสูรวิญญาณ หากพวกเขาต้องการเข้าสู่สุสานสักการะเทพก็ต้องใช้สิ่งนี้พิสูจน์ถึงคุณสมบัติที่มี

มู่เฉินสะบัดมือเก็บหัวใจอสูรวิญญาณ จากนั้นก็คลายอารมณ์ตึงเครียด เตรียมการมานานในที่สุดก็ไม่ได้เกิดเหตุการ์ณไม่คาดฝัน ประสบผลสำเร็จในการล่าอสูรวิญญาณขั้นแปด

นอกจากนี้สิ่งที่น่าเฉลิมฉลองที่สุดก็คือไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พวกเขา ในบรรดากลุ่มที่เข้าสู่สุสานสักการะเทพ อาจมีเพียงกลุ่มชั้นนำเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

“อำนาจเนตรดับชีวิตน่ากลัวอย่างแท้จริง…” ความกลัววาบผ่านดวงตาของหานซัน เมื่อจ้องไปที่หน้าผากของมู่เฉิน

“แต่ก็จ่ายราคามหาศาลเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มอย่างจนใจ “การเปิดใช้งานทุกครั้งต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด ถ้าใช้อีกสองสามครั้งกระทั่งของเหลวจื้อจุนที่กักไว้ใช้สำหรับการเพาะบ่มพลังก็คงจะหมดลงแล้ว”

ทุกคนหัวเราะร่วนเมื่อได้ยิน เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินล้อเล่นเท่านั้น เพราะการครอบครองสมบัตินี้จะเป็นวิธีการข่มขู่ที่ทรงพลังและการรับประกันของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น ในโลกนี้ชีวิตมีค่าเกินกว่ามูลค่าของของเหลวจื้อจุนนัก

“ในเมื่อเราได้หัวใจอสูรวิญญาณมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังส่วนในกันเถอะ” มู่เฉินเหลือบมองความพินาศรอบตัวก็พูดขึ้น เขาคันไม้คันมือที่จะเข้าไปในส่วนในเพื่อตรวจสอบว่ามีวิหคอมตะโบราณหรือไม่

ไม่มีใครคัดค้านจากคำพูดของเขา แต่ละคนพยักหน้ารับ

เมื่อมู่เฉินเห็นคำตอบก็ไม่อ้อยอิ่งอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับพรรคพวกติดตามเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางใด พวกเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเหาะเหินผ่านป่าไม้แห่งนี้ แต่ขณะที่กำลังจะผ่านพ้นแนวป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นพื้นที่ที่แปลกตา

“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวประหลาดใจขณะชี้ลงไปเบื้องล่าง เห็นป่าไม้วินาศสันตะโร ซึ่งรอยแตกเหล่านั้นเป็นหลักฐานว่ามีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้นรอยแตกก็ราวกับหุบเหวลึกกระจายไปสู่อีกด้านหนึ่งของป่า ซึ่งทิศทางนั้น… ก็คือสถานที่ที่มู่เฉินและพรรคพวกต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปด

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ กล่าวว่า “ดูท่าอสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากที่นี่”

“ดูจากร่องรอยที่เหลืออยู่ไม่น่ามาจากกลุ่มอื่น รัศมีความตายที่นี่หนาแน่นเกินไป ดังนั้นน่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพวกมันกันเอง” มั่วเฟิงมองอย่างละเอียดก่อนที่จะพูด

“พวกมันสู้กันเองด้วยเหรอ?” มั่วหลิงร้องอุทานด้วยความตกใจ

“ถ้ามีบางสิ่งดึงดูดพวกมันได้มาก ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็สามารถสู้กันเองได้” มู่เฉินกล่าวช้าๆ

สายตาของเขามองตามร่องรอยบนพื้น จากนั้นก็ขยับร่างทะยานขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง สายตามองออกไประยะไกล ทันใดนั้นม่านสีดำก็หดลง

“ที่นั่นคือ…?”