บทที่ 686 หยุดรับประทานได้แล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 686 หยุดรับประทานได้แล้ว

“กราบเรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยจะออกไปสั่งสอนมันเอง…”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากท่านแม่ทัพโค้วจง ชายฉกรรจ์ร่างกายใหญ่ยักษ์ผู้ขี่อยู่บนหลังอสูรลมกรด ก็ควบขี่พาหนะของตนเองพุ่งออกไปข้างหน้าโดยทันที

เขาคือหนึ่งในสมาชิกนักรบชั้นแนวหน้าของกองทัพเว่ยซาน ถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกับพลังลมปราณและทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ระดับพลัง ณ ปัจจุบันอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์

“หึหึ ท่านแม่ทัพหยวนสมแล้วที่ได้รับฉายาว่าเป็นพยัคฆ์ร้ายแห่งทัพเว่ยซาน หมัดของเขามีน้ำหนักนับหมื่นชั่ง กองทหารของฝ่ายศัตรูทั้งหุบเขา แม่ทัพหยวนก็เคยจัดการด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว การต่อสู้ในวันนี้ เขาจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน…”

เมื่อเฉียนซื่อผู้กลับมาอยู่บนหลังม้าเคียงข้างท่านแม่ทัพใหญ่โค้วจง เห็นว่าผู้ที่ออกไปต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินเป็นแม่ทัพหยวน ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์วัยกลางคนก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

โค้วจงพยักหน้า ได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

เป็นรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ

ขุนศึกที่กวาดล้างศัตรูด้วยตัวคนเดียวมาทั้งหุบเขา มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มบ้านนอกผู้หนึ่ง จะไม่สามารถชนะได้อย่างไร?

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแม่ทัพหยวนเรียนจบมาจากสถานศึกษาชื่อดังของจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่ใช่สถานศึกษาซึ่งล่มสลายไปในดินแดนที่ถูกชาวทะเลยึดครอง

แต่เสียงพูดของเฉียนซื่อยังไม่ทันจบลง

โฮก!

ได้ยินเสียงอสูรลมกรดคำรามด้วยความตื่นตกใจ

เมื่อโค้วจงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ

เพราะว่าหยวนเหวินฉง ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะเหล็กกล้า กลับถูกหนึ่งในเด็กสาวรับใช้ข้างกายหลินเป่ยเฉินกระโดดลงมาจากหลังม้า พุ่งกระโจนเข้ามาทะลวงม่านพลังที่เป็นเกราะคุ้มกันร่างกาย กระแทกกำปั้นเข้าใส่เบ้าตาขวาอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้แม่ทัพหยวนร่วงหล่นลงจากหลังอสูรลมกรดเสียงดังผลั่ก ก่อนจะถูกเด็กสาวไล่เตะกลิ้งกระเด็นไปอีกหลายตลบ…

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ

แล้วแม่ทัพหยวนก็นอนหมดสติอยู่บนพื้นดิน

สายลมหนาวโชยพัดแผ่วเบา

เด็กสาวชุดขาวจับข้อเท้าของหยวนเหวินฉง และลากเขากลับไปทางหลินเป่ยเฉินเหมือนเป็นกระสอบป่านเก่าขาดใบหนึ่ง

พริบตาต่อมา กองทหารคนงานขุดเหมืองซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ก็กรูเข้ามาปลดชุดเกราะออกจากร่างกายของแม่ทัพหยวน สุดท้าย แม่ทัพหยวนก็หลงเหลือแต่เพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถูกลากหายเข้าไปในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งต่อหน้าต่อตาทุกคน!

“อ่อนหัดเหลือเกิน”

เฉียนเหมยพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “นี่หรือนายทหารผู้ดุร้าย? แม่ทัพที่จัดการศัตรูมาแล้วมากมาย? ไม่เห็นจะมีฝีมืออันใดเลย”

พูดจบ นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเศษดินบนมือ ดวงตาสดใสเป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น เหมือนเด็กอนุบาลที่ทำคะแนนสอบได้ 100 คะแนนเต็ม และกำลังรอรับคำชมเชย “นายท่านเจ้าคะ เฉียนเหมยทำได้ดีไหมเจ้าคะ?”

“นี่เจ้ากำลังขโมยซีนข้าอีกแล้วใช่ไหม?”

หลินเป่ยเฉินพูด สีหน้าบึ้งตึง “จากนี้ไปหากข้ายังไม่ออกคำสั่ง ห้ามเจ้าทำอะไรโดยพละการเด็ดขาด”

“เจ้าค่ะ”

เฉียนเหมยไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้ายอมรับผิด และกระโดดกลับขึ้นไปอยู่บนหลังม้าขาวด้วยความเศร้าซึม

แต่ดวงตาของนางยังคงเป็นประกายสดใสด้วยความตื่นเต้นไม่เสื่อมคลาย

หลินเป่ยเฉินชักจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว

ในอดีต เฉียนเหมยเคยเป็นเด็กสาวผู้อ่อนหวานและน่ารัก แต่ในระยะหลัง นางหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้มากเกินไป… หลินเป่ยเฉินกำลังพิจารณาว่าตนเองสมควรยกเลิกการเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟกับสาวรับใช้คนนี้ดีหรือไม่

เพราะนางชอบออกไปต่อสู้บ่อยเกินไปแล้ว

และด้วยความที่มีฝีมือต่อสู้โดดเด่นเช่นนี้เอง เฉียนเหมยจึงกลายเป็นคนดังในค่ายที่พักของพวกเขา นางถึงกับมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยึดถือเฉียนเหมยเป็นบุคคลต้นแบบ

หากเหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เฉียนเหมยก็จะยิ่งเสพติดการต่อสู้มากขึ้นแน่ๆ

เฮ้อ

เคยเป็นหญิงรับใช้อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นตัวปัญหาของเขาไปแล้วละเนี่ย

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม

ในเวลาเดียวกันนี้

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของโค้วจงกระตุกระริกระหว่างพูดว่า “แม่ทัพหยวนประมาทคู่ต่อสู้มากเกินไป”

นายทหารชั้นแนวหน้าที่อยู่รอบกายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

โค้วจงพูดออกมาอีกครั้งว่า “พ่ายแพ้คนแรกไม่เป็นไร พวกเจ้าเลือกมาก็แล้วกันว่าใครจะเป็นคนออกไปแก้แค้นให้แม่ทัพหยวนของพวกเรา?”

“กราบเรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยขออาสาออกไปเอง”

ชายหนุ่มร่างผอม ใบหน้าเหลืองซีด ประสานมือคำนับรับคำสั่ง ก่อนจะขี่กวางยักษ์เขาแหลมวิ่งออกไปข้างหน้า

ดวงตาของโค้วจงเป็นประกายอย่างมีความสุข

เมื่อเห็นดังนั้น เฉียนซื่อก็ยิ้มแย้มด้วยความโล่งอก ระเบิดเสียงหัวเราะ กล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ทัพเกาหนูจะลงมือด้วยตัวเอง เขาขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายระดับสองได้ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน กระบี่ทะลวงสวรรค์ในมือของเขานั้นเล่า ก็สามารถถล่มขุนเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว เห็นทีการต่อสู้ครั้งนี้…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

ได้ยินเสียงโลหะปะทะกันกลางอากาศ

สะเก็ดไฟสาดกระจาย

ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่เสื้อผ้าลวดลายแปลกประหลาดคนหนึ่ง พลันดีดตัวขึ้นจากหลังม้าและใช้กำปั้นอันทรงพลังต่อยกระแทกเข้ามายังกระบี่ทะลวงสวรรค์ในมือของเกาหนู จากนั้นชายวัยกลางคนจึงได้หมุนตัวกลางอากาศและตวัดเท้าเตะชายโครงของคู่ต่อสู้ ส่งผลให้แม่ทัพเกาหนูผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสองกระเด็นตกจากหลังกวางยักษ์…

รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของเฉียนซื่อ

นั่นคือแม่ทัพเกาหนูเชียวนะ

เกาหนูไม่ใช่นายทหารธรรมดา แต่ถูกยกให้เป็นยอดฝีมือในกลุ่มยอดฝีมือ ปัจจุบันมีสถานะเป็นหนึ่งในสามนายทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพเว่ยซาน

ผู้คนมากมายของกองทัพเว่ยซานล้วนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น

นี่มัน…

ช่องว่างระหว่างพลังแตกต่างกันมากเกินไป

ไม่ว่าจะเป็นหยวนเหวินฉงหรือเกาหนู ต่างก็ต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว

พ่ายแพ้โดยไม่มีทางสู้

เฉียนซานเซิ่งอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นชะตากรรมของนายทหารผู้โด่งดัง

หุหุ

เขาเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่าแม่ทัพเหล่านี้ไม่ได้มีฝีมืออะไรเลย

มิฉะนั้น กองทัพของจักรวรรดิเป่ยไห่จะพ่ายแพ้คู่ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร?

เฉียนซานเซิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่มีพรสวรรค์และความสามารถมากเกินไป แต่กลับต้องจมปลักอยู่กับการทำงานเอกสาร เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างในเขตเมืองที่สาม และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกสู่สนามรบเสียที

เฉียนซานเซิ่งยกมือลูบคลำรอยแผลบนใบหน้าของตัวเอง ในหัวใจร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่เทียบไม่ได้เลยกับความโกรธแค้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าโค้วจงขณะนี้

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กองทหารคนงานขุดเหมืองวิ่งออกมาและปลดเปลื้องชุดเกราะของเกาหนูออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แม่ทัพนามกระเดื่องหลงเหลืออยู่เพียงกางเกงชั้นในเท่านั้น และสุดท้าย เขาก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าลากเข้าไปในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง… ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความสะใจของกลุ่มผู้อพยพ

บรรยากาศรื่นเริงไม่ต่างไปจากเทศกาลวันตรุษจีน

“ซูโหมว เจ้าออกไปสู้”

โค้วจงกัดฟันกรอด

ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่อยู่บนหลังม้าตัวข้างๆ พยักหน้ารับคำสั่งไม่พูดคำใด ก่อนจะควบม้าของตนเองวิ่งออกไปข้างหน้า

นายทหารที่อยู่รอบๆ ล้วนจ้องมองชายหนุ่มคนนี้ด้วยความหวาดกลัว

ซูโหมวมีอายุ 22 ปี พื้นเพเป็นใครมาจากไหนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่เขาได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าร่วมกองทัพเว่ยซานเมื่อสองปีก่อน และผู้ที่อนุมัติคำสั่งรับตัวเขาเข้ามาก็คือท่านแม่ทัพใหญ่โค้วจง ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีปากไม่มีเสียง หลายคนจึงพาเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นใบ้

แต่ในทางกลับกันนั้น ฝีมือกระบี่ของชายหนุ่มกลับเลือดเย็นอำมหิต ไม่ว่าเป้าหมายเป็นผู้ใด แต่ถ้าได้รับคำสั่งแล้ว บุคคลผู้นั้นก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปจากคมกระบี่ของซูโหมวเด็ดขาด กระบวนท่าโจมตีของเขาน้อยแต่มาก หลายคนในนครเจาฮุยจึงแอบนินทาว่าซูโหมวผู้นี้ เป็นบุตรนอกสมรสของท่านแม่ทัพใหญ่โค้วจงนั่นเอง

เมื่อท่านแม่ทัพใหญ่โค้วจงออกคำสั่งให้ซูโหมวไปจัดการ นี่ก็หมายความว่าเขาบันดาลโทสะถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

ซูโหมวสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด ม้าที่เขาขี่อยู่บนแผ่นหลังก็ดูซูบซีดไม่แข็งแรง แต่ชายหนุ่มกลับยกมือชี้หน้าหลินเป่ยเฉินอย่างท้าทาย

“หา?”

หลินเป่ยเฉินผู้นั่งกระดิกเท้าอยู่บนหลังเสือ ใช้สายตาสำรวจมองชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนพูดว่า “มือสังหารหน้าตาย แต่งกายซอมซ่อ กระบี่คุณภาพต่ำ ม้าแก่ใกล้ตาย เหอเหอเหอ นี่มันคุณสมบัติของกระสอบทรายชั้นดีในนิยายออนไลน์ชัดๆ ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะสู้กับข้า?”

ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของซูโหมว

เขากระดิกนิ้วเรียกหลินเป่ยเฉินให้ออกมาข้างหน้า

หลินเป่ยเฉินกลับส่ายศีรษะ “แม่ทัพใหญ่ต้องสู้กับแม่ทัพใหญ่ด้วยกันเท่านั้น เจ้ายังไม่สูงส่งมากพอที่จะมาต่อสู้กับข้า… น้องเซียว หยุดรับประทานได้แล้ว บุคคลผู้นี้เจ้าออกไปจัดการ”

ในขณะนี้ เซียวปิงมือหนึ่งถือเสาธงขนาดใหญ่ อีกมือหนึ่งยกน่องไก่ขึ้นรับประทานอยู่ด้านหลัง

นับตั้งแต่ที่ปรากฏตัวออกมา เด็กหนุ่มร่างอ้วนไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากรับประทานน่องไก่ต้ม

ผู้คนมากมายต่างก็ประหลาดใจว่าเด็กผู้นี้ไม่เคยรับประทานน่องไก่หรืออย่างไร แล้วทำไมเขาถึงได้พกน่องไก่ติดตัวมากมายถึงเพียงนี้?

กระเพาะของเขาสามารถรองรับของกินได้ไม่สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ?