ตอนที่ 1315 เผชิญหน้าครั้งแรก โดย Ink Stone_Fantasy
ถ้าหากทางตะวันตกราบรื่น ละอองชีวิตก็น่าจะปกคลุมไปทั่วทั้งชายของสันหลังทวีป แล้วก็ไหลเข้าไปในดินแดนของมนุษย์แล้ว
นี่หมายความว่าหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่อยู่ที่รอยแตกจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายโง่แค่ไหน พวกเขาก็น่าจะรู้ตัว แต่ทำไมเฮคซอดถึงยังไม่ปลุกมันอีก? หรือว่ามนุษย์อ่อนแอจนมันสามารถจัดการคนเดียวได้?
แต่ไม่ว่ายังไงวัลคีรีย์ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าอีกฝ่ายอ่อนแอนถึงขนาดนี้จริงๆ อุรูคก็ไม่น่าจะแพ้ในศึกที่ราบลุ่มบริบูรณ์
มันรู้ดีว่าการเข้ามาในโลกแห่งจิตสำนึกเป็นเวลานานเช่นนี้ทำให้มันสูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์
นี่ทำให้ภายในใจไนท์แมร์รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
แล้วยังมีมนุษย์คนนั้นอีก…
มันมองไปทางอีกด้านหนึ่งของเวที โรแลนด์กำลังนั่งการแข่งขันอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ ตัวเมียสองคน
บ้าเอ้ย! เขาไม่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการหรือไง?
ถ้าเขามีวิธีออกไปจากที่นี่ได้ อย่างนั้นนั่นก็อาจจะเป็นโอกาสเดียวของตัวเองในการออกไปจากที่นี่เหมือนกัน การสืบทอดและความรู้ของมนุษย์ล้วนแต่ถูกเขาเอาออกไปจากโลกนี้ อย่างนั้นเขาก็ต้องมีช่องทางในการติดต่อกับโลกภายนอกแน่นอน
ขอเพียงอีกฝ่ายออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึก ตัวเองก็มีโอกาสที่จะออกไปได้เหมือนกัน เพราะว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหอเจ้าชีวิตของจักรพรรดิ มันก็เคยสัมผัสได้ถึงการติดต่อของจักรพรรดิกับดินแดนในโลกแห่งจิตสำนึกอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็เป็นเพราะความสามารถแบบนี้ มันถึงได้กล้าที่จะไล่ตามคลื่นกระเพื่อมของชิ้นส่วนสืบทอด แล้วเข้ามาในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกเพื่อไล่ตามร่องรอยของโรแลนด์
แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในโลกนี้ เรียกได้ว่าไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้มันเลย
ราชาของมนุษย์มีเวลาว่างขนาดนี้เลยเหรอ ช่วงเวลาสองสามเดือนนี้ไม่ต้องออกไปจัดการเรื่องสงครามข้างนอก? เอาเวลามาทิ้งอยู่กับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีความหมาย หนังสือก็ไม่อ่าน คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือแนวหน้าของสนามรบไม่มีความกดดันมากพอ
นี่เป็นความผิดของเฮคซอด!
ในขณะที่อารมณ์กำลังพุ่งพล่าน วัลคีรีย์พลันสังเกตเห็นว่าโรแลนด์แยกตัวจากสองคนนั้น ก่อนจะเดินไปยังมุมๆ หนึ่งของสนามตัวคนเดียว และตรงนั้นก็มีตัวเมียที่ใส่เสื้อคลุมสวมหมวกอยู่คนหนึ่ง คล้ายว่าเธอจงใจรอเขาอยู่ตรงนั้นอย่างไรอย่างนั้น
มันแสร้งทำเป็นค่อยๆ เดินออกไปจากกลุ่มคน แต่สายตากลับจ้องอยู่ที่โรแลนด์ตลอด
ก่อนจะเห็นเขาคุยกับักฝ่ายไม่กี่ประโยค จากนั้นตัวเมียก็ชี้ไปยังประตูทางเข้าออก โรแลนด์เหมือนลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
สมาคมเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
เดิมวัลคีรีย์คิดที่จะพอแค่นี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ภายในใจมันกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากตัวของตัวเมียคนนั้น แล้วก็เป็นเพราะความรู้สึกแปลกๆ นี้ึจึงทำให้มันเดินเข้าไปอีก เพื่อที่จะมองเห็นให้ระยะใกล้ๆ
ทันใดนั้นเองวัลคีรีย์พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา ภายใต้แสงไฟที่สลัว มันมองเห็นใบหน้าที่คล้ายซิสทาลิส หรือก็คือ….มิสต์ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์!
หรือว่าที่ผ่านมาทรานฟอร์มเมอร์มาแอบซ่อนอยู่ในโลกนี้?
แล้วที่โรแลนด์สามารถเข้ามาที่นี่ในฐานะมนุษย์ตัวผู้ได้ก็เป็นเพราะมัน?
ข้อมูลนี้ทำให้วัลคีรีย์รู้สึกตกใจอย่างมาก มันไม่สามารถสะกดความรู้สึกสงสัยภายในใจเอาไว้ได้ แล้วก็รีบก้าวตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากโรแลนด์กับคนที่ดูคล้ายทรานฟอร์มเมอร์เดินอุโมงค์ทางเดินไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เดินออกไปนอกสนามประลอง หากแต่เดินลงไปยังโรงจอดรถที่อยู่ใต้ดิน ไนท์แมร์พยายามผ่อนฝีเท้าตามหลังทั้งสองคนในระยะไกล จนกระทั่งพวกเขาเข้าไปในอุโมงค์อพยพ
แต่ในตอนที่วัลคีรีย์เดินตามเข้าไป มันกลับพบว่าอุโมงค์ที่ว่ามันยาวแค่สิบกว่าเมตร ด้านหลังไม่มีทางแยกอื่น ปลายอุโมงค์เป็นผนังซีเมนต์ปิดทึบ บนผนังมีป้าย ‘กำลังก่อสร้าง ห้ามเข้า’ แขวนเอาไว้ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นทางตัน แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้หายไปไหน
แย่แล้ว นี่มันกับดัก!
วัลคีรีย์รู้ตัว แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่มันจะได้หมุนตัวเพื่อถอย โรแลนด์ก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังของมันแล้ว แล้วที่ข้างกายเขาก็มีตัวเมียยืนอยู่อีกหลายคน เมื่อเห็นวิธีใช้ความสามารถที่ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ภายในใจวัลคีรีย์พลันรู้สึกตัวเองไม่เหลือโชคอีกแล้ว
คนที่ยืนอยู่ข้างเขาคือแม่มดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นมาจากไหน มันเป็นความต่างเล็กน้อยของคลื่นพลังเวทมนตร์กับพลังแห่งธรรมชาติ ถ้าแม่มดสามารถเข้ามาในดินแดนแห่งจิตสำนึกได้ แถมยังมีพลังที่มีอยู่เดิมด้วย เช่นนั้นสถานะของมันจะถูกเปิดเผยเมื่อไรมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เพราะว่าอีกฝ่ายสามารถแอบซ่อนคนจำนวนมากเพื่อมาวางกับดักอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ การที่จะมาอยู่ข้างกายมันเพื่อคอยจับตาดูจึงเป็นเรื่องที่่ง่ายดายอย่างมาก เรื่องนี้เพียงแค่คิดนิดเดียวมันก็เข้าใจได้ การเสแสร้งทุกอย่างที่มันทำหลอกแค่คนอื่นได้ แต่ไม่สามารถหลอกแม่มดที่มีพลังแปลกประหลาดได้ เกรงว่าในช่วงเวลาสี่เดือนที่ผ่านมานี้ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของมันคงถูกแม่มดเห็นหมดแล้ว
“พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ คุณวัลคีรีย์” โรแลนด์พูดด้วยเสียงราบเรียบ
วัลคีรีย์ไม่พูดอะไร
ในเวลานี้ถึงจะพูดอะไรออกไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้า
ถึงแม้มันจะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำให้แม่มดเข้ามาที่นี่ได้ แต่นั่นมันไม่สำคัญอีกแล้ว
อีกฝ่ายจงใจมาดักซุ่มอยู่ในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้ จุดประสงค์ของเขาคืออะไร ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ได้
ตอนนี้สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ก็คือสู้จนตัวตาย
วัลคีรีย์ขับพลังเวทมนตร์ทั้งหมดในร่างกายออกไป ร่างกายออกไปโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ส่วนเรื่องที่ว่าถ้าต้องสู้กับแม่มดกลุ่มหนึ่งโดยที่ไม่มีพลังของหินเวทมนตร์กับพลังพิฆาตเวทมนตร์แล้วจะมีโอกาสชนะเท่าไร มันไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็นยังไง มันก็ไม่มีทางยอมแพ้ต่อศัตรู!
“ผมเลี้ยงกาแฟคาร์การ์ดคุณซักแก้วดีไหมครับ?” โรแลนด์พูดอีกครั้ง
“…..” วัลคีรีย์ยืนนิ่งอยู่กับที่โดยที่เท้าข้างหนึ่งก้าวออกไปแล้ว ร่างกายครึ่งบนของมันยังคงอยู่ในท่าที่เอียงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “เจ้า….ว่าอะไรนะ?”
“ผมจะเลี้ยงกาแฟคุณ” โรแลนด์พูดซ้ำอีกครั้ง “ถึงแม้นั่นมันจะไม่ใช่กาแฟที่แท้จริง แต่รสชาติมันก็คล้ายๆ กัน”
วัลคีรีย์จ้อมมองเข้าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดความสงสัยภายในใจออกมา “….ทำไม?”
มันเดาไม่ออกว่าตัวผู้คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ โลกความเป็นจริงกับที่นี่ไม่เหมือนกัน การมีอยู่ของเผ่าพันธุ์มันกับมนุษย์นั้นเป็นแค่เพียงภาพลวงตา ในเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกสถานะที่แท้จริงของมันแล้ว ตามหลักเขาก็ไม่ควรจะปล่อยมันไป ถ้าที่เขาพาตัวเองมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อฆ่า อย่างนั้นมันก็คงเป็นอะไรที่แย่กว่าการตายแน่นอน
“เพราะเรื่องบางเรื่องพูดตรงๆ มันดีกว่าการปิดเอาไว้” โรแลนด์ค่อยๆ พูด “โดยเฉพาะเมื่อสงครามแห่งโชคชะตาไม่ใช่สงครามสุดท้าย”
สงครามแห่งโชคชะตา…ไม่ใช่สงครามสุดท้าย…
วัลคีรีย์ตกตะลึงไปทันที
มันไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากมนุษย์
หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ มันจึงกลับมาอยู่ในท่าทางเฝ้าระวัง “เจ้าอยากจะไปคุยที่ไหน”
“ไม่ไกลจากที่นี่ แค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว” โรแลนด์ดีดนิ้ว เสียงเครื่องยนต์ของรถที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นมา “ขึ้นรถเถอะ ผมจองที่เอาไว้แล้ว”
…..
อีกฝ่ายไม่ได้หลอกมัน
สถานที่ที่เลือกเอาไว้คือร้านอาหารหรูที่อยู่บนตึกแห่งหนึ่ง เมื่อนั่งอยู่ตรงริมกระจกจะสามารถมองภาพเส้นขอบฟ้าและวิวเมือง ภายในร้านมีเสียงเพลงเบาๆ บรรยากาศทั้งหรูหราและเงียบสงบ
วัลคีรีย์รู้ดี การมาคุยที่นี่มันเป็นการแสดงถึงความจริงใจอย่างหนึ่งของอีกฝ่าย ถ้าหากเขาคิดที่จะกำจัดมันจริงๆ สถานที่ที่มีคนเดินไปเดินมานั้นไม่ใช่สถานที่ที่ดีแน่นอน
วัลคีรีย์มองดูกลุ่มแม่มดที่มองมาทางมันด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะสูดหายใจแล้วพูดว่า “ทำไมถึงไม่นัดข้ามาที่นี่ตรงๆ?”
“แบบนั้นมันเสียเวลามากเกินไป ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยอมรับปากข้าทันทีที่ข้าชวน หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นไร้หนทางจริงๆ คนเรามักจะเกิดความรู้สึกขัดแย้งและความรู้สึกที่จะหลีกหนีได้ง่าย การทำแบบนี้มันจึงง่ายกว่า” โรแลนด์ยักไหล่ “ในเมื่อพวกเราต่างก็พอจะรู้เรื่องกันมาแล้ว อย่างนั้นเราก็มาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า การคุยกันตรงๆ มันจะดีกับเราทั้งสองฝ่าย ข้าคือโรแลนด์ วิมเบิลดัน เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมา แล้วเจ้าล่ะ?”
หนึ่ง…ในผู้สร้าง? ถึงแม้มันจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องไม่ใช่แค่แขกผู้มาเยือนธรรมดาๆ แน่ แต่สถานะอันนี้ก็ยังทำให้วัลคีรีย์รู้สึกตกใจอย่างมาก มันถึงจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าดินแดนแห่งจิตสำนึกสามารถสร้างขึ้นมาจากคนหลายคนได้ แต่ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถควบคุมดินแดนแห่งจิตสำนึกได้ด้วยตัวคนเดียวเหมือนอย่างจักรพรรดิ วัลคีรีย์สะกดความคิดที่อยากจะถามว่าผู้สร้างคนอื่นคือใคร ก่อนจะค่อยๆ ตอบออกไป “วัลคีรีย์ นี่คือชื่อของข้า”
“ตำแหน่งกับระดับชั้นล่ะ? เหมือนอย่าง ‘สกายลอร์ด’ อย่างนั้น…เจ้าอธิบายให้มันละเอียดหน่อยได้ไหม”
มันชะงักไปเล็กน้อย “ไนท์แมร์ลอร์ด นี่คือฉายาของข้า”
“พรืด..”
ครั้งนี้กลายเป็นโรแลนด์ที่เป็นฝ่ายตกใจ
……………………………………………………………..