บทที่ 688 หลานชาย ข้าแค่อยากมาแสดงความจริงใจ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 688 หลานชาย ข้าแค่อยากมาแสดงความจริงใจ

กลุ่มหมอกควันรูปเห็ดพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กลายเป็นสีแดง

บัดนี้ ถึงมองดูจากระยะไกล แต่หลายคนก็ยังอดรู้สึกแสบตาขึ้นมาไม่ได้

โค้วจงและนายทหารผู้ติดตามรีบโคจรพลังลมปราณขึ้นมาเป็นเกราะกำบังคุ้มกันร่างกายโดยไม่รู้ตัว

ส่วนชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีพลังลมปราณก็ได้แต่ก้มศีรษะติดกับพื้นดิน ไม่กล้าเงยหน้ามองขึ้นมา

หลินเป่ยเฉินคลานขึ้นมาจากหลุมดินขนาดใหญ่พร้อมกับถ่มเศษดินออกมาจากในปาก

ให้ตายสิ

น่ากลัวเกินไปแล้ว

ตกลงนี่มันปืนยิงจรวดหรือเครื่องยิงระเบิดปรมาณูกันแน่?

ตอนที่ซื้อปืนยิงจรวดกระบอกนี้มา หลินเป่ยเฉินให้ความสนใจแค่ระยะทำลายล้างของมันเท่านั้น

ปืนยิงจรวดเครื่องนี้ดูเหมือนว่าจะได้รับการดัดแปลงเป็นพิเศษมาแล้ว มันจึงมีระยะทำการกว้างไกลถึง 60 ลี้

ส่วนพลังทำลายล้างนั้น…

เมื่อเทียบกับปืนอินทรีหิมะและปืนไรเฟิล 98k เด็กหนุ่มก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อานุภาพการทำลายล้างของปืนยิงจรวด Type 69 ต้องมีความรุนแรงมากกว่าปืนรุ่นเดียวกันในโลกมนุษย์แน่นอน

แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้

แน่ล่ะว่านั่นรวมถึงแรงถีบด้วยเช่นกัน

ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะเตรียมตัวรับแรงถีบอยู่ก่อน แต่เขาก็ยังลอยกระเด็นถอยหลังและตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่ยุบลงไปบนพื้นดินอยู่ดี

เด็กหนุ่มคลานกลับขึ้นมาพร้อมกับมีเศษดินเศษหินกระเด็นเข้าไปอยู่เต็มปาก

ครืน!

พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุด

ใบหน้าของทุกคนในยามนี้แสดงออกถึงความหวาดกลัวโดยไม่ปิดบัง

หากลมหายใจต่อมาเกิดเหตุการณ์ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาจากใต้พื้นดิน และกวาดล้างสิ่งมีชีวิทุกอย่างไปจากโลกนี้ พวกเขาก็จะไม่ประหลาดใจอีกแล้ว

ผู้คนที่อยู่ห่างไกลจากรัศมี 60 ลี้ของใจกลางแรงระเบิด ก็ยังคงตกใจนึกว่าวันสิ้นโลกมาเยือนแล้วเช่นกัน

แม้แต่นายทหารของนครเจาฮุย ผู้ประจำการอยู่ที่แนวกำแพงชั้นหนึ่ง และพบเห็นการหายไปของกองทัพชาวทะเลต่อหน้าต่อตา ก็ยังสงสัยเช่นกันว่านี่คือจุดสิ้นสุดของโลกแล้วหรืออย่างไร

ครืน!

คลื่นพลังจากแรงระเบิดยังคงแผ่กระจายไปรอบบริเวณอย่างต่อเนื่อง

“เกิดอะไรขึ้น?”

หลังผ่านไปอึดใจใหญ่ คลื่นแรงระเบิดก็เริ่มอ่อนตัวลง แรงกดดันในอากาศสลายหายไป เสี่ยวเย่ นายทหารผู้ประจำการอยู่แนวหน้าของสนามรบในวันนี้ต้องรีบปีนขึ้นไปดูบนกำแพงเมืองด้วยความแตกตื่นตกใจ และเมื่อมองออกไปสำรวจสภาพนอกกำแพงเมือง ขนทุกเส้นบนร่างกายของเขาก็ลุกเกรียว

สิ่งที่เสี่ยวเย่เห็นไม่ต่างไปจากนรก

เดิมทีพื้นที่นอกเขตกำแพงเมืองชั้นหนึ่ง เป็นทุ่งน้ำแข็งกว้างใหญ่

แต่บัดนี้ มันกลายเป็นหลุมดินขนาดใหญ่ที่มีรัศมีกว้างไกลราวสามลี้ น้ำที่ควรละลายอยู่เต็มก้นหลุมกลับระเหยหายไปในอากาศ ชั้นดินพังถล่มทลาย แม้แต่ชั้นน้ำแข็งใต้ดินก็สูญสลายหายสิ้น ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอยู่เลยสักชีวิตเดียว

พวกชาวทะเลก็หายไปเกือบหมดแล้วเช่นกัน

ราวกับว่ากองทัพของพวกมันไม่เคยมาที่นี่มาก่อน

แต่ห่างจาก ‘หลุมดิน’ ออกไปไม่ไกล หลักฐานการเคยดำรงอยู่ของพวกชาวทะเลก็คือชุดเกราะหลากหลายชนิดที่ตกอยู่บนพื้นดิน เช่นเดียวกับกองกระดูกของชาวทะเลที่ทับถมกันหนาแน่น เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกชาวทะเลได้ยกกองทัพมาโจมตีนครเจาฮุยจริงๆ

เสี่ยวเย่ยกมือขยี้ตา

สิ่งที่พบเห็นทำให้นายทหารหนุ่มตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

นายทหารคนอื่นๆ ที่ปีนขึ้นมาดูบนกำแพงเมืองก็มีสีหน้านิ่งอึ้งตกตะลึงเช่นกัน

เมื่อสักครู่ นายทหารบางส่วนไม่ทันระวังตัว ตอนที่คลื่นแรงระเบิดแผ่กระจายออกมา หลายคนจึงเกือบจะตกจากกำแพงเมืองลงไปที่พื้นด้านล่าง

แต่โชคดีที่รัศมีทำลายล้างของแรงระเบิดหยุดอยู่ห่างจากกำแพงเมืองประมาณ 20 วา เพราะฉะนั้น กำแพงเมืองจึงไม่ได้รับความเสียหาย และกลุ่มนายทหารก็ไม่ต้องพลัดตกลงไปกระแทกพื้นดิน

“กองทัพหมายเลขห้าถูกกวาดล้างสิ้นแล้ว…”

“พวกมนุษย์สามารถทำได้อย่างไร…”

นักรบชาวทะเลบางส่วนที่วิ่งเข้ามาประชิดกำแพงเมืองพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเหลือเชื่อ

ในกลุ่มนักรบชาวทะเลส่วนนี้ บางตัวมีสภาพร่างกายได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด แขนหักขาหัก บางตัวเส้นเอ็นฉีกขาด ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พวกมันรีบทิ้งอาวุธและคุกเข่าบนพื้นดินขอยอมแพ้ แต่ในขณะที่บางส่วนก็คลุ้มคลั่งเกินขีดจำกัด พยายามปีนขึ้นมาบนกำแพงเมืองเพื่อฉุดลากมนุษย์ให้ตายไปด้วยกัน…

แต่ด้วยกำลังพลที่มีอยู่เพียงไม่กี่ตัว พวกมันจึงถูกนายทหารบนกำแพงเมืองจัดการสังหารสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว

ความเงียบแผ่ปกคลุมกองทัพชาวทะเลที่อยู่นอกรัศมีแรงระเบิด

หลังจากนั้นอึดใจใหญ่

บรรดานายทหารที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองก็มองเห็นด้วยตาของตนเองว่า กองทัพของชาวทะเลได้ยกขบวนถอยทัพกลับไปหมดสิ้น

“พวกเราชนะแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เสี่ยวเย่พูดด้วยเสียงสั่นเครือ

นายทหารคนอื่นๆ เผยยิ้มออกมาด้วยความดีใจสุดขีด

ก่อนที่เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจจะดังก้องกังวานไปในอากาศ

หากกำแพงเมืองชั้นหนึ่งถูกทะลวงเข้ามาได้ มหันตภัยใหญ่หลวงก็จะตามมาเป็นแน่แท้

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เหตุการณ์ปาฏิหาริย์เช่นนี้กลับเกิดขึ้น

แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

หรือว่าผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียนจากเขตเมืองชั้นใน ได้แสดงฝีมือออกมาแล้ว?

หรือว่า…

เสี่ยวเย่ไม่กล้าคิดอะไรให้เสียเวลาอีก เขารีบสั่งให้บริวารส่วนหนึ่งออกไปรวบรวมข้อมูล ในขณะที่นายทหารส่วนใหญ่ยังคงประจำการอยู่บนกำแพงเมือง เพื่อเฝ้าระวังการโจมตีจากกองทัพชาวทะเลต่อไป

นอกค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

หลินเป่ยเฉินปัดเศษดินออกจากร่างกาย

“เฮ้อ”

เขาถ่มก้อนกรวดออกมาจากในปาก

ต่อจากนั้น เด็กหนุ่มจึงได้มองไปยังทิศทางของพื้นที่กำแพงเมืองเขตหนึ่งพลางสบถออกมาว่า “นับว่าพวกชาวทะเลไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้ามาขัดจังหวะข้าระหว่างเจรจาเรื่องสำคัญ สมแล้วที่พวกมันจะถูกเล่นงานด้วยวิชา ‘กระบี่เขย่าโลกาหัตถาครองพิภพ’ …หุหุ เอาล่ะ พวกเรามาว่ากันต่อดีกว่า จากนี้คงไม่มีใครมาขัดจังหวะอีกแล้ว”

โค้วจงเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉินหัวใจก็กระตุกวูบไหว

การโจมตีเมื่อสักครู่นี้…

เป็นวิชากระบี่อย่างนั้นหรือ?

กระบี่เขย่าโลกาหัตถาครองพิภพ?

นับเป็นชื่อวิชาที่ค่อนข้างยาวและจำได้ยาก แต่ก็ฟังดูพิเศษเหนือธรรมดา เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเคล็ดวิชาลึกลับซับซ้อนพิสดารเกินคาดเดา

นี่คงจะเป็นวิชาลับที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกสู่โลกภายนอกเป็นแน่แท้

โค้วจงไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดวิชานี้ถึงมีพลังทำลายล้างสูงส่ง

การโจมตีด้วยวิชากระบี่ชนิดนี้ มีอานุภาพรุนแรงไม่ต่างจากการแสดงพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน

ยิ่งเมื่อสักครู่ โค้วจงเห็นด้วยตาของตนเองถึงกลุ่มหมอกควันที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เช่นเดียวกับม่านฝุ่นหนาแน่นที่ปกคลุมในอากาศเนิ่นนาน

หากหลินเป่ยเฉินใช้วิชากระบี่ชนิดนี้โจมตีใส่พวกเขาบ้าง…

คิดได้เพียงเท่านั้น พวกของโค้วจงก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที

น่ากลัวเหลือเกิน

เด็กหนุ่มผู้เสียสติคนนี้กลับมีพลังวรยุทธ์ที่สามารถทำลายล้างโลกได้ทั้งใบเชียวหรือ?

และเมื่อเขาใช้กระบวนท่าในวิชานี้ออกมา พลังสะท้อนของมันก็ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดิน

โค้วจงและบริวารจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหลินเป่ยเฉิน ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้สัมผัสถึงความสยองขวัญและความหวาดกลัวที่พวกของตนเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน

จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินหันกลับมาส่งยิ้มให้พวกเขาและกล่าวว่า “แค่เรื่องรบกวนเล็กๆ ในน้อยๆ หวังว่าแม่ทัพโค้วคงไม่ใส่ใจ พวกเรามาว่ากันต่อดีกว่า… เหอเหอเหอ จริงด้วยสิ เมื่อสักครู่นี้ ท่านแม่ทัพโค้วกำลังพูดอะไรอยู่นะ?”

พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือเสยผมไปด้านหลัง ยิ้มมุมปากด้วยความชั่วร้าย

หัวใจของโค้วจงกระตุกวูบอย่างรุนแรง พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็ยิ่งกล่าวต่อด้วยความชอบใจ “อิอิ ข้าจำได้แล้ว แม่ทัพโค้วกำลังพูดว่า ท่านให้โอกาสข้าแล้ว แต่ข้าไม่เห็นคุณค่าในโอกาสนั้น ด้วยเหตุนี้ ท่านก็เลยจะ… แม่ทัพโค้ว ไม่ทราบว่าท่านกำลังจะทำอะไร?”

พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็แกล้งทำท่าเหมือนกำลังประทับปืนบาซูก้าขึ้นบนหัวไหล่อีกครั้ง

โค้วจงเบิกตาโตด้วยความลนลาน

“ช้าก่อน”

แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเว่ยซาน และถือเป็นนายทหารผู้มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของนครเจาฮุย รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “หลานชาย ข้าแค่อยากมาแสดงความจริงใจ ได้โปรดใจเย็นก่อน ดูท่าเจ้าคงจำผิดแล้ว ข้าพูดว่าเจ้าอุตส่าห์มอบโอกาสให้ข้าทั้งที แล้วข้าจะพลาดโอกาสนั้นได้อย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่เจ้าเป็นถึงบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของอดีตขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือปฏิภาณไหวพริบ เจ้าไม่เป็นรองบิดาเลยจริงๆ ในอนาคตเจ้าต้องได้กินตำแหน่งใหญ่โตของกองทัพอย่างแน่นอน ข้าชื่นชมเจ้าเหลือเกิน… ถูกต้อง ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่ ข้าจะไปมีปัญหากับเจ้าได้อย่างไร หลานชาย ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย มีหรือที่ข้าจะใจร้ายกับเจ้าได้ลงคอ”

“หา?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าฉงนสงสัย “ตกลงว่าเมื่อสักครู่นี้ ข้าฟังผิดไปเองอย่างนั้นหรือ?”

“เหอเหอเหอ ใช่แล้ว เมื่อสักครู่นี้ เจ้าฟังผิดไปเอง”

โค้วจงใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในหัวใจกำลังร้องไห้

น่าอับอายเหลือเกิน

แต่ก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า พวกท่านรับข้อเสนอของข้าแล้วใช่หรือไม่?”

โค้วจงยิ้มกว้างออกมาโดยทันที “ย่อมต้องรับข้อเสนอของเจ้า ข้าอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเองทั้งที จะปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าได้อย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านที่ปรึกษาเฉียน เหตุไฉนถึงยังไม่นำทองคำที่เตรียมไว้ออกมาอีก พวกเรามาที่นี่เพื่อจ่ายค่าไถ่รับตัวผู้คนกลับคืน รีบแสดงความจริงใจของพวกเราออกมาเร็วเข้า ขืนยังชักช้าอยู่เช่นนี้ ข้าจะสั่งตัดหัวบุตรชายไม่เอาไหนของท่านเสีย…”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียนซื่อกับเฉียนซานเซิ่งสองพ่อลูกก็ได้แต่หันมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก