ตอนที่ 637 เข้าสู่ระดับผลึก

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 637 เข้าสู่ระดับผลึก โดย Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางหมอกขาวที่รายล้อมอยู่ในห้องลับชั้นบนสุดของวังหลีเหอ

ผู้อาวุโสฝูจื่อกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ และกระจกหยินหยางแยกผสานยังคงลอยอยู่ตรงหน้า มีแสงเปล่งประกายแวววาวในกระจกอยู่ไม่หยุด แสงแวววาวลำหนึ่งยังคงพุ่งออกจากกระจกอย่างไม่ขาดสาย และขยายไปสู่ความว่างเปล่าอันไกลโพ้น

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสฝูจื่อก็ยกแขนเสื้อไปด้านหน้า ภายใต้การม้วนตัวของแสงสีขาวลำหนึ่ง กระจกวารีกลมๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

กระจกวารีเปล่งแสงแวววาวใสแจ๋ว ตรงขอบของมันแผ่ไอใสๆ ที่ดูคล้ายกับเส้นผมออกมา

คลื่นแสงไหลวนบนตัวกระจก มีภาพเหตุการณ์ปรากฏในกระจกวารีอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือภาพของหลิ่วหมิงในห้องหินนั่นเอง

ขณะนี้ กระแสไอดำขาวบนตัวเขาได้หมุนวนรอบตัวราวกับเป็นมังกรสองตัว

“ที่แท้ก็เป็นเด็กที่น่าสนใจคนหนึ่ง พลังเวทบริสุทธิ์ถึงขั้นนี้แล้ว ภายใต้การคุ้มครองของกระจกหยินหยางแยกผสาน สามารถแบ่งแยกหยินหยางได้อย่างง่ายดาย…..” ผู้อาวุโสฝูจื่อพูดพึมพำด้วยความสนใจ

“แต่ว่านี่เป็นแค่ก้าวแรกในการช่วยเจ้าเข้าสู่ระดับผลึกเท่านั้น ด้านยากที่แท้จริงยังรออยู่ในตอนท้าย” ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสผู้นี้จะสนใจหลิ่วหมิงเล็กน้อย หลังจากพูดพึมพำเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อทันที จากนั้นกระจกวารีก็แตกสลายไปอีกครั้ง

ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป พลันมีเสียงดังขึ้นภายในห้องที่หลิ่วหมิงอยู่

ขวดหยกใบสุดท้ายตรงหน้าหลิ่วหมิงส่งเสียงแตกกระจายออกมา ขณะที่เขาทำท่ามือ โอสถแฝงตะวันที่มีเปลวเพลิงสีแดงห่อหุ้มก็ลอยเข้าปากของเขา

ทันใดนั้น เขารู้สึกแค่ว่าทะเลจิตวิญญาณกระเพื่อมราวกับมีหินขนาดใหญ่โยนเข้าไปหนึ่งก้อน พลังในรูปแบบของเหลวที่ดูคล้ายกับคลื่นน้ำวนพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง

หลิ่วหมิงมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ ราวกับว่าจุดตันเถียนตรงท้องน้อยถูกมีดเล็กๆ ทิ่มแทงไม่หยุด และไอสีดำขาวที่หมุนวนรอบตัว ก็กลายเป็นหมอกกลมๆ ขนาดจั้งกว่าๆ และปกคลุมร่างของเขาไว้

พลังต้นกำเนิดภายในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงในขณะนี้ได้กลายสภาพเป็นยางเหนียวๆ แล้ว ขณะเดียวกันก็แผ่คลื่นพลังเวทอันแข็งแกร่งออกมาเป็นระยะๆ และปราณพลังฟ้าดินบริเวณวังหลีเหอ ก็ราวกับได้รับผลกระทบไปด้วย มันค่อยๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆน้ำวนสีเทา

“ยังขาดอีกนิด!”

หลิ่วหมิงย่อมรู้สถานการณ์ภายในร่างดีกว่าฝูจื่อ พลังที่มีสถานะเป็นยางเหนียวๆ อยู่ห่างจากการกลายสภาพเป็นผลึกแค่ขั้นเดียวเท่านั้น

เขากัดฟันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ขวดเล็กสีขาวปรากฏบนมือหนึ่งใบ และถูกเขาบีบจนแตกกระจาย

โอสถสีดำเม็ดหนึ่งถูกโยนเข้าไปในปาก มันคือโอสถแสงดำที่หลิ่วหมิงได้รับในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกนั่นเอง

ครู่ต่อมา นิ้วทั้งสิบของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไอดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากระหว่างคิ้ว และกลายเป็นโล่กระดูกที่มีแสงสีดำเปล่งประกาย มันคือโล่เก้ากะโหลกนั่นเอง

หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทใส่พลังเวทใส่โล่เก้ากะโหลกติดต่อกัน

“เปิด!”

พอเขาตะโกนออกมาแล้ว ก็คว้ามือไปทางอากาศอย่างรวดเร็ว

แสงสีดำสลัวๆ พุ่งออกจากโล่เก้ากะโหลก และกระพริบหายเข้าไปในร่างของเขา

เหยียนเจวี๋ยที่หลอมโล่เก้ากะโหลกในตอนแรก ก็คิดที่จะยกระดับมันจนถึงต้นแบบอาวุธเวท จากนั้นก็อาศัยพลังของมันในการช่วยทะลวงระดับผลึก ตอนนี้กลับถูกหลิ่วหมิงนำมาใช้

“โครมคราม!”

หมอกกลมๆ ที่ปกคลุมบนตัวหลิ่วหมิง ส่งเสียงระเบิดดังราวกับฟ้าร้องอยู่พักหนึ่ง จากนั้นระลอกคลื่นจำนวนมากก็ปรากฏบนพื้นผิวหมอกกลมๆ และค่อยๆ เข้าไปในร่างของเขา

ภายในทะเลจิตวิญญาณ พลังเวทที่มีสถานะเป็นยางเหนียวๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และเริ่มไปรวมตัวกันตรงกลาง

พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือวังหลีเหอ หมอกสีเทาสลัวๆ กลายเป็นน้ำวน และดูดปราณจิตวิญญาณในระยะหลายลี้เข้ามา และมันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

แต่ขณะนั้นเอง กลุ่มเมฆสีเทาที่ขยายใหญ่สิบกว่าจั้งก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และส่งเสียงดังโครมคราม พริบตาเดียวก็แตกกระจายออกมา

ครูต่อมา ลำแสงสีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นเหนือวังหลีเหอ มีอสรพิษสีเงินเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น และเสียงฟ้าร้องจนหูแทบจะหนวกก็ได้แผ่กระจายออกไปทุกทิศ

ท่ามกลางแสงสีดำสามารถมองเห็นจุดแสงสีขาวที่มีสภาพคล้ายมุกใสๆ เก้าเม็ด มันหมุนตัวติ้วๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากแสงสีดำดับลง มันก็จมหายเข้าไปในวังหลีเหออย่างไร้ร่องรอย

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะทะลวงระดับผลึกสำเร็จ แต่ว่าเกาะผลึกพลังเวทได้เพียงเก้าเม็ดเท่านั้น หรือว่าจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ช่างเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีศักยภาพมากนัก” ราวกับว่าฝูจื่อสามารถมองทะลุหลังคาไปเห็นปรากฏการณ์ท่ามกลางลำแสงสีดำเหนือหลังคาวังหลีเหอได้ ตอนแรกก็พยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นก็นั่งสมาธิหลับตาพักผ่อน

ภายในบ้านหิน หลิ่วหมิงไม่แสดงสีหน้าเศร้าโศกเสียใจหรือดีใจเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผลึกทั้งเก้าหมุนวนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณอย่างช้าๆ มือทั้งสองของเขายังคงปล่อยเวทออกมาไม่หยุด ขณะที่คลื่นพลังในทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ สงบลงนั้น ลำแสงสีม่วงอันอันแข็งแกร่งพุ่งยิงออกจากร่างทันที

“อูย…”

หลิ่งหมิงเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา ร่างกายแข็งขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ และลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏบนพื้นผิวอย่างหนาแน่น ซึ่งดูคล้ายกับตอนที่เขากลายร่างเป็นปีศาจเล็กน้อย

และแสงสีม่วงภายในร่างของเขาก็เปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง ขณะที่เกิดความรู้สึกเจ็บปวดในแต่ละครั้ง จะมีผลึกสีม่วงขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏออกมาหนึ่งเม็ด

ความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นมากถึงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ครั้ง จากนั้นถึงหยุดชะงักลง!

ขณะนี้ ท่ามกลางแสงสีม่วงที่พุ่งออกมาบนพื้นผิว มีผลึกหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดที่เหมือนกับผลึกเก้าเม็ดเมื่อครู่ไม่มีผิด เพียงแต่ว่าสีของมันเป็นสีม่วงเท่านั้น

“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ เกือบจะพร้อมกัน

หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ ผลึกเหล่านี้ก็กลายเป็นไอปีศาจสีดำ และระเบิดออกมา

และหลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน เสื้อผ้าบนตัวโบกสะบัดไปมา ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณสองถุงที่ห้อยอยู่บนเอว ถูกพัดไปไกลหลายจั้งก่อนตกลงพื้น มีไอดำพุ่งออกจากถุง ไม่นานแมงป่องกระดูกกับหัวบินก็พุ่งออกจากไอดำ ความรู้สึกแข็งทื่อจางหายไปในทันที บนตัวเขากลับมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงที่มีเฉพาะในตอนกลายร่างเป็นปีศาจปรากฏออกมาอย่างหนาแน่น

“นี่…” หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขากลับรับรู้ถึงพลังมหาศาลที่พุ่งออกจากร่างได้อย่างชัดเจน ซึ่งพลังเวทมีมากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า

เขาเปลี่ยนความคิดในทันที พอดีดนิ้วออกไป ก็พลันมีเสียงดังขึ้นมา และเงาสีม่วงก็พุ่งออกมาปะทะกับผนังห้องหินในห้อง

“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังแจ่มชัด ผนังที่ถูกชั้นจำกัดป้องกันเสริมให้แข็งแรงได้ปรากฏรูขนาดเท่านิ้วมือหนึ่งรู

หลิ่วหมิงมองดูฝ่ามือด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อครู่เขาใช้พลังไม่ถึงสามส่วน ก็สามารถโจมตีชั้นจำกัดในห้องหินได้ อย่างที่รู้ว่าชั้นจำกัดในนี้ ถูกวางเพื่อป้องกันผู้ที่กำลังเข้าสู่ระดับผลึก ซึ่งไม่สามารถควบคุมพลังภายในร่างได้

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปใช้พลังทั้งหมดโจมตี ก็ไม่สามารถสั่นสะเทือนชั้นจำกัดในนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

“นายท่าน…” หลังจากหลิ่วหมิงปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมา หัวบินกับแมงป่องกระดูกที่หลบอยู่ไกลๆ ก็ตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้

 “ทำไมพวกเจ้าถึงออกมาล่ะ? อ๋อ…มานี่เถอะ!” หลิ่วหมิงมองดูเอวที่ว่างเปล่าก่อนแล้วค่อยมองไปยังถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณตรงมุมห้อง จากนั้นถึงเข้าใจขึ้นมาทันที

ขณะที่พูดเขาก็ยกมือปล่อยแสงสีดำม้วนตัวอสูรเลี้ยงทั้งสองเข้ามา พอเก็บพลังเวทเข้าไป แสงสีม่วงก็เปล่งประกายบนตัว จากนั้นลวดลายสีม่วงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

และทะเลจิตวิญญาณภายในร่างของหลิ่วหมิงก็มีแสงสีม่วงเปล่งประกาย ผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดปรากฏออกมา และค่อยๆ หมุนวนไปพร้อมกับผลึกสีเงินทั้งเก้า

“ยินดีด้วยที่นายท่านบรรลุระดับผลึกแล้ว!”

พอเห็นหลิ่วหมิงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็คึกคักขึ้นมา มันคลอเคลียหลิ่วหมิง และลูบไล้ชายเสื้ออยู่ไม่หยุด

จิตของพวกมันเชื่อมต่อกับหลิ่วหมิง ย่อมรับรู้ถึงอาการดีใจของเขา

หลิ่วหมิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ความสุขที่ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับผลึก เพิ่งเข้ามาในใจทีละนิด ส่วนผลึกสีม่วงลึกลับหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดนั้น คงได้แต่รอหาโอกาสให้หลัวโหวอธิบายแล้ว

เขาพูดปลอบใจอสูรเลี้ยงทั้งสองไปสองสามประโยค จากนั้นก็เก็บพวกมันเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ

ขณะเดียวกัน แสงของกระจกหยินหยางแยกผสานเหนือศีรษะก็มืดลง และถูกเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงมองดูเพดานทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง

เพราะเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึก พลังเวทในร่างเขายังไม่มั่นคงโดนสมบูรณ์ จำต้องกักตัวปรับสมดุลระยะเวลาหนึ่ง

……

ห้องข้างห้องโถงในยอดเขาเมฆาหยก ชายหน้าขาวที่อายุราวๆ สามสิบกว่าปี กำลังมองดูแผ่นหยกส่งสารในมือด้วยสีหน้าตกใจ เขาก็คือผู้ควบคุมยอดเขาที่แซ่หลูผู้นั้น

“หลิ่วหมิงทะลวงเขตแดนระดับผลึกได้แล้วจริงๆ หรือ? ดูท่าวันนั้นข้าคงดูถูกเจ้าเด็กนี่ไปหน่อย” ผ่านไปซักพัก ผู้ควบคุมหลูผู้นี้ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา

“ศิษย์พี่หลู วันนั้นท่านกับข้าต่างก็วินิจฉัยว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ไม่สามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงพวกเราจึงพลาดโอกาสหลายครั้งในการรับเขาเข้ายอดเขา การประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก และการบุกทะลุเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ในคราเดียวของเขานั้น ท่านกับข้าก็รู้ดี ช่างน่าเสียดายจริงๆ” เฮ่าเยวี่ยที่มีรูปร่างเล็กเหมือนเด็กน้อยกล่าวออกมา และส่ายหน้าด้วยความเสียดาย

“ผู้ที่อาศัยสามชีพจรจิตวิญญาณทะลวงคอขวดระดับผลึกได้ภายในทีเดียวนี้ มีปรากฏน้อยมากในประวัติศาสตร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะมีคุณสมบัติที่ไม่ชัดแจ้ง ซึ่งข้ากับเจ้าไม่อาจค้นพบได้” ผู้ควบคุมแซ่หลูคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“สำหรับจุดนี้ ข้าเองก็เคยคาดเดาอยู่ แต่ได้ยินมาว่าหลังจากงานประลองใหญ่ คนของยอดเขาอื่นๆ ก็เคยไปตรวจสอบดูแล้ว พบว่าเขามีสามชีพจรจิตวิญญาณอย่างแน่นอน คงไม่มีร่างจิตวิญญาณแฝงอะไร บางทีเขาอาจจะบังเอิญโชคดีก็ได้” เฮ่าเยวี่ยส่ายหน้ากล่าวอีกครั้ง

“อืม! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าหลิ่วหมิงจะบังเอิญโชคดีสักกี่หมื่นครั้ง ก็คงก้าวสู่ขั้นต่อไปได้ยากแล้ว เจ้ากับข้าก็ไม่ต้องเสียดายไป” ผู้ควบคุมแซ่หลูถอนหายใจเบาๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

เฮ่าเยวี่ยได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับมีสีหน้าครุ่นคิด

………………………………