ตอนที่ 1318 ตัวเลือกระหว่างศูนย์กับห้าสิบเปอร์เซ็นต์ โดย Ink Stone_Fantasy
“เจ้ามั่นใจว่าจะชนะ?” ไนท์แมร์ไม่ได้หลบสายตาของเขา
ทั้งสองคนจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นโรแลนด์จึงตอบกลับมาว่า “ข้าเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้แน่ ถ้ามีเวลาอีกซักร้อยปี ต่อให้พวกเจ้าหลบอยู่ในเขตแบล็คสโตน พวกเจ้าก็ต้องถูกมนุษย์บดขยี้แน่ แต่ข้ารอขนาดนั้นไม่ได้ คำเตือนของเทวทูตบอกว่าวิกฤติที่ว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว ข้าต้องรีบไปให้ถึงบ็อตทอมเลสแลนด์ ซึ่งนี่จำเป็นต้องมีความช่วยเหลือจากเจ้า”
“อะไร…นะ?”
“ช่วยข้ารีบเอาชนะปีศาจ หรือพูดอีกอย่างก็คือราชาทางตะวันตกของพวกเจ้า” โรแลนด์นั่งไขว่ห้าง “อย่างเช่นวิธีการสกัดหินอาญาสิทธิ์ ความสามารถของจักรพรรดิและราชา จุดอ่อนของปีศาจแมงมุม ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า ขอเพียงเจ้าคิดได้….”
ปัง! วัลคีรีย์เอามือตบลงไปบนโต๊ะ กาแฟที่อยู่ในแก้วกระฉอกออกมา
“อย่าอวดดีให้มันมากนัก เจ้าตัวผู้!” เธอกดเสียงให้ต่ำลง “เจ้าฆ่าข้าได้ แต่อย่าหวังว่าข้าจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเจ้า อย่างน้อยเรื่องที่จะให้ข้าทรยศเผ่าพันธุ์! แล้วช่วยเจ้าเอาชนะกองทัพตะวันตก? ฝันไปเถอะ!”
“สามหาว!”
“ห้ามเสียมารยาทต่อฝ่าบาท!”
เหล่าแม่มดเองก็ตะคอกขึ้นมาพร้อมกัน บรรยากาศพลันเหมือนน้ำเดือดขึ้นมาทันที
“โต๊ะนั้นทำอะไรเนี่ย?”
คนที่อยู่โต๊ะข้างๆ พลันกระซิบกระซิบขึ้นมา
“คู่รักทะเลาะกันมั้ง?”
“เอ่อ….ดูจำนวนแล้วไม่น่าใช่มั้ง”
“แต่จะว่าไป สาวๆ ที่อยู่ข้างเขานี่สวยจริงๆ เลย!”
“คนคาร์การ์ดนั้นก็ไม่เลวเลย บ้าเอ้ย เจ้านั่นมันเป็นใครกันแน่เนี่ย?”
“อิจฉาจัง…”
โรแลนด์แอบกรอกตาอยู่ในใจ ไอสังหารครุกรุ่นขนาดนี้ มันดูโรแมนติกอะไรตรงไหนเนี่ย? “พอได้แล้ว คุมอารมณ์หน่อย” เขาแสร้งทำเป็นโบกมืออย่างไม่ถือสา แล้วสั่งให้เหล่าแม่มดหยุดมือ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้มองดูไนท์แมร์ “เจ้าไม่คิดว่าการปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงมันเป็นการทรยศต่อเผ่าพันธุ์เหรอ?”
“ความจริง?”
“ถูกต้อง!” เสียงของโรแลนด์พลันคร่ำเคร่งขึ้นมา “ถ้าคำเตือนของเทวทูตไม่ใช่คำพูดโกหก อย่างนั้นเส้นทางที่อยู่ตรงหน้าอารยธรรมทั้งหมดก็จะมีอยู่แค่สองเส้นทาง หนึ่งคือสงครามแห่งโชคชะตาดำเนินไปจนถึงท้ายที่สุด สองคือจบสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ผ่านทางโลกแห่งจิตสำนึก! และการตัดสินใจของเจ้าจะก่อให้เกิดผลอย่างไร อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น!”
เขาพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสโต้แย้ง “อยู่ในโลกแห่งความฝันมานานขนาดนี้ เจ้าน่าจะรู้แล้วนะว่าข้าสามารถยกระดับความแข็งแกร่งของมนุษย์ไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าไม่มีชิ้นส่วนสืบทอดอันใหม่ ด้วยความสามารถของพวกเจ้าในตอนนี้นั้นไม่มีทางที่จะต่อกรกับข้าได้เลย! ถ้าสู้กันไปหลายสิบปี เผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าจะต้องสูญเสียไปเท่าไร? หรือว่านั่นคือผลลัพธ์ที่เจ้าอยากเห็น?”
“พวกเขาก็จะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ตายในสนามรบ”
“ไม่ เป็นแค่คำโกหกของการตายโดยไร้ความหมาย!” โรแลนด์พูดแก้ “ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากการมีอยู่ของชิ้นส่วนสืบทอด ดังนั้นสงครามครั้งนี้ไม่มีวันที่จะจบลงด้วยดีแน่นอน ความแค้นและความสงสัยจะทำให้ไฟแห่งสงครามลามเลียเข้าไปในเขตแบล็คสโตน จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าไม่มีเหลืออยู่อีก! คนเดียวที่จะหยุดมันได้นั้นมีแค่ข้าเพียงคนเดียว ทันทีที่ข้าไม่อยู่ ช้าเร็วปีศาจก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้น เมื่อเทียบกับการสูญเสียทัพหน้าเพียงกลุ่มเดียวแล้ว การทำแบบไหนถึงจะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ แค่มองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“…..” วัลคีรีย์ทำสีหน้าคร่ำเคร่งโดยไม่พูดอะไรออกมา
“ความจริงแล้วเวลาของพวกเราอาจจะเหลืออยู่ไม่เท่าไร ถ้าพลาดโอกาสที่จะหยุดยั้งสงครามไป เส้นทางนี้ก็จะไม่มีทางออกอื่นอีก” เขาวางขาข้างหนึ่งลง ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าเล้กน้อย “ตอนนี้เจ้ายังยืนยันความคิดของตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
หลังนิ่งเงียบไปครู่ ไนท์แมร์จึงพูดเสียงเยือกเย็นออกมา “เจ้าตัวผู้ ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย? จากที่เจ้าพูดมา หลังจากที่เจ้ากลายเป็นพระเจ้า ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าเจ้าจะปล่อยเผ่าพันธุ์ข้าไป? อาศัยเพียงแค่คำพูดของเจ้าน่ะเหรอ?”
“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว ด้านหนึ่งคือโอกาสที่เผ่าพันธุ์จะอยู่รอด อีกด้านหนึ่งคือเผ่าพันธุ์ต้องดับสูญแน่นอน มีแค่สองทางนี้เท่านั้น” โรแลนด์ค่อยๆ ผ่อนน้ำเสียงลง “เป้าหมายของสงครามได้เปลี่ยนไปแล้ว เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในอดีตไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะทำไม่ได้ ขอเพียงแค่เพียงมุมมองในการคิด ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้”
วัลคีรีย์ไม่พูดอะไรออกมา
โรแลนด์เองก็ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก “ข้ารู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้หวังว่าเจ้าจะให้คำตอบในทันที เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
มันเงยหน้าขึ้นมองเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “…..แค่นี้เหรอ?”
“ไม่งั้นล่ะ? จับเจ้าไว้แล้วทรมานหรือไม่ก็ฆ่าเจ้างั้นเหรอ? ข้าเคยบอกแล้วไง…อย่างน้อยตอนนี้ เจ้าก็ยังเป็นอิสระอยู่” โรแลนด์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “เออใช่ เอาเบอร์มือถือของเจ้ามาให้ข้า ข้าจะได้โทรบอกเจ้าเรื่องสถานการณ์การรบทางเหนือได้ บางทีมันอาจจะทำให้เจ้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อย่าลืมซะล่ะ อนาคตของปีศาจอยู่ในมือของเจ้านะ”
ถึงแม้จะทำหน้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายวัลคีรีย์ก็บอกเบอร์โทรเขา
ในขณะที่มันกำลังจะลุกออกไป โรแลนด์พลันเรียกมันเอาไว้
“ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย เจ้าคิดว่าสิ่งที่ ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ทำเมื่อพันปีก่อนมันผิดหรือเปล่า?”
ร่างกายของวัลคีรีย์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา
“ฝ่าบาท พระองค์จะปล่อยให้ราชาปีศาจไปไหนมาไหนอย่างอิสระในโลกแห่งความฝันจริงๆ เหรอเพคะ?” ฟิลลิวพูดอย่างกังวล
“ไม่ใช่แบบนั้น” โรแลนด์ส่ายหัว “พวกเจ้าไม่สังเกตเหรอ? นางไม่ใช่ราชาปีศาจตนนั้นอีกแล้ว” ปีศาจสูญเสียหินเวทมนตร์ไป แต่กลับยังไม่ตาย แถมยังมีร่างกายที่เหมือนเดิมอีก นี่แสดงให้เห็นว่า “ตอนนี้นางได้รวมเป็นหนึ่งกับโลกแห่งความฝันไปแล้ว”
โรแลนด์ไม่สงสัยเรื่องชัยชนะของมนุษย์ แต่การเอาชนะในเวลาหนึ่งร้อยปีกับเอาชนะในเวลาสิบปีมันเป็นคนละเรื่องกัน เขาจำเป็นต้องรีบเอาชนะปีศาจด้วยเวลาที่สั้นที่สุด มันให้พวกมันสูญเสียจิตใจที่จะต่อสู้ แล้วก็เปิดทางให้เขาเข้าไปทางบอทธ่อมเลสแลนด์ ไนท์แมร์นั้นเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจแบบไหน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการที่วางเอาไว้ได้
แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกันคือในเวลาสำคัญแบบนี้ การมีไพ่อยู่ในมือเยอะๆ ย่อมต้องดีกว่า ถ้าสามารถเอาปีศาจระดับราชามาเป็นพวกได้ แบบนั้นความกดดันของกองทัพที่หนึ่งจะต้องลดลลงอย่างมากแน่นอน
เพราะเวลาคือสิ่งที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้
….
“ผู้ชนะคือ…..เฟยอวี่หาน!”
ทั่วทั้งสนามมีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นมา
เธอโบกมือให้ผู้ชมนับหมื่นพร้อม ก่อนจะเดินลงมาจากบนเวทีท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนของผู้เข้าแข่งขัน นี่คือการแข่งขันที่ถูกกำหนดผลการแข่งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้คู่ค่อสู้ไม่ได้ออมมือให้เธอตามที่ผู้คุมสั่งกำชับเอาไว้ เธอก็ยังเอาชนะเขาได้ภายในหนึ่งเวลานับตั้งแต่เริ่มแข่งขันประลอง
ที่ผ่านมาการขึ้นเวทีแบบนี้ไม่ได้ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความสุขใดๆ เลย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าเธอเห็นวัลคีรีย์ที่เดินออกจากสนามประลองไปเป็นเวลานานกลับเข้ามาในสนามประลองแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง อีกฝ่ายออกไปจากสนามประลองพร้อมๆ กับโรแลนด์
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เฟยอวี่หานก็ขึ้นรถบัสของสมาคม ก่อนจะนั่งรอวัลคีรีย์อยู่อย่างเงียบๆ
ความรู้สึกเฝ้ารอภายในใจไม่ยอมสงบลงไป เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน
ในตอนที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น เธอถึงขนาดได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตึกๆ
วัลคีรีย์นั่งลงข้างๆ เธอเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
“วันนี้ฉันแข่งชนะด้วล่ะ”
“อ่า…ยินดีด้วยนะ” วัลคีรีย์ดูเหมือนใจลอย สำหรับเธอแล้ว นี่เรียกได้ว่าเป็นสีหน้าที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก
“ขอบคุณนะ เสียดายที่เธอไม่ได้ลงแข่งด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ลิ้มลองความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของคาบสมุทรคาร์การ์ดแล้ว”
“มีโอกาสแน่นอน” เธอตอบ
“ใช่ ต้องมีโอกาสแน่นอน” เฟยอวี่หานยิ้มเล็กน้อย
ต่อให้ไม่ต้องสังเกตดูสีหน้า เฟยอวี่หานก็มองออกว่าวัลคีรีย์แค่บอกปัด แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาจากอีกโลกหนึ่ง แถมโลกนั้นยังดูเหมือนจะค่อนข้างล้าหลังด้วย เธอจึงสามารถใช้อีกวิธีนึ่งที่จะทำให้เธอได้รับข้อมูลได้ง่ายขึ้น
หลังคนที่จะกลับไปยังสถานพักฟื้นขึ้นรถมาจนครบแล้ว รถบัสก็ออกเดินทาง
ในตอนที่รถขับออกมาถึงชานเมือง เฟยอวี่หานค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมาแล้วชี้ไปทางกระเป๋าสะพายไหล่ของอีกฝ่าย กระเป๋าใบนี้เป็นของขวัญออกจากโรงพยาบาลที่เธอซื้อให้วัลคีรียี์ และก่อนหน้านี้เธอก็พลิกดูกระเป๋านี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เรียกได้ว่าเธอรู้ถึงลักษณะของกระเป๋าใบนี้ดี
ช่วงระหว่างถนนในเมืองกับถนนที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นมีช่วงถนนที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ช่วงหนึ่ง แต่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการเดินทาง อย่างมากก็แค่สั่นสะเทือนกับมีฝุ่นเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ล้อรถเหยียบไปบนพื้นที่ขรุขระจนรถกระเด้งตัวขึ้นมา พลังแห่งธรรมชาติที่รวมตัวกันอยู่ที่ปลายนิ้วของเธอพลันสว่างวาบขึ้นมา จากนั้นเธอจึงตวัดนิ้วเล็กน้อย
เหมือนกับเป็นการกระเด้งตัวลงมาตามธรรมชาติเท่านั้น
ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ประดับอยู่บนกระเป๋าชิ้นหนึ่งตกลงมาในมือของเธอ
และสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นก็คือเครื่องอัดเสียงขนาดเล็ก
‘ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน ขนาดเล็กกะทัดรัด ตัดเสียงรบกน รับรองคุณภาพ’ นี่คือคำโฆษณาของร้านที่ขายเครื่องอัดเสียงบนอินเทอร์เน็ต ต่อไปก็คือช่วงเวลาที่จะพิสูจน์มันแล้ว
……………………………………………………