บทที่ 592 ถึงเวลาเก็บกวาด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เมื่อล้านปีที่แล้ว เย่เจียงไห่เองก็บ่มเพาะไปถึงระดับที่รู้ดีว่าอาวุธเต๋าคืออะไรและมีมูลค่าแค่ไหน

แม่ว่าตอนนี้เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเขามันจะดูแข็งแกร่ง แต่มันก็ยังห่างไกลจากคำว่าอาวุธเต๋าราวฟ้ากับเหว ซึ่งถ้าหากพูดกับตามจริงแล้ว ถ้าสิ่งที่อยู่ในเขตแดนหมอกเป็นอาวุธเต๋าจริง ๆ ต่อให้เย่เจียงไห่จะกลับไปมความแข็งแกร่งเหมือนชีวิตก่อนหน้านี้ เขาก็ยังคงไม่มีทางต่อกรอะไรกับอาวุธเต๋าได้อยู่ดี

ส่วนเรื่องของพริกหยกเพลิงเจ็ดสีนั้น เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าการที่เขาไม่มอบมันให้กับหลิงตู้ฉิง มันจะส่งผลกระทบมากมายถึงขนาดนี้?

เย่เจียงไห่ถามขึ้น “น้องเขย ความสำเร็จของเจ้าในชีวิตที่แล้วคงจะไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าแน่นอน ทำไมเจ้าจะต้องมาชิงตำหนักและเตาของข้าไปด้วย? เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของข้านั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับอาวุธเต๋า ต่อให้เจ้าเอามันไป มันก็ใช่ว่าเจ้าจะใช้มันไปตลอดซะเมื่อไหร่จริงไหม?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าแทนที่เพลิงในเตาของเจ้าด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ 6 สุริยะ แถมหลังจากที่ข้าเจอดอกบัว ข้าก็มอบเพลิงพิพากษาให้กับเตาของเจ้าอีก เอาล่ะตอนนี้เจ้าลองตอบข้าที ถ้าข้าคืนเตาให้เจ้าตอนนี้ เจ้าจะติดค้างข้าอีกเท่าไหร่?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่เจียงไห่ใจหนึ่งก็ดีใจใจหนึ่งก็รู้สึกหดหู่ เขามองไปที่หลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ถ้างั้นเจ้าบอกมาตรง ๆ เลยได้ไหมว่าเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

ในตอนนี้เมื่อเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้รับไปทั้งเพลิงศักดิ์สิทธิ์ 6 สุริยะ และเพลิงพิพากษา ในอนาคตมันน่าจะมีโอกาสเป็นอย่างมากที่มันจะพัฒนาไปเป็นอาวุธเต๋าได้

แต่ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือ เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเขามันยังอยู่ในมือคนอื่น!

ถึงแม้ว่าท่าทีของหลิงตู้ฉิงจะเต็มใจพร้อมที่จะคืนมันให้กับเขา แต่ราคาเท่าไหร่กันที่เขาต้องจ่ายให้?

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ตราบใดที่เจ้ายอมรับว่าเป็นหนี้ข้าทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา! ข้อแลกเปลี่ยนของข้าคือ ข้าจะขอแบ่งสมบัติในคลังของเจ้าไปครึ่งหนึ่งและข้าต้องเป็นคนเลือกสมบัติด้วยตัวเองว่าจะเอาอะไรไปบ้าง ข้าสัญญาว่าข้าจะเลือกอย่างยุติธรรมและสุดท้าย หากสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ในทุ่งสมุนไพรของเจ้าต้องการติดตามข้าไป เจ้าห้ามพูดขัดขวางออกมาแม้เพียงครึ่งคำ…”

เมื่อได้ยินข้อต่อรองขนาดนี้ เย่เจียงไห่ถึงกับเงียบไปอยู่พักใหญ่ จากนั้นเขาตอบกลับว่า “เฮ้อ น้องเขย ข้าไม่น่าติดค้างพริกหยกเพลิงเจ็ดสีกับเจ้าเลยจริง ๆ มันเป็นข้าเองที่ผิดต่อเจ้าก่อน เอาเป็นว่าข้ายอมรับข้อแลกเปลี่ยนของเจ้าก็ได้ แต่เจ้าห้ามแทรกแซงกับการจัดการปัญหาส่วนตัวของข้าหลังจากนี้เจ้าตกลงไหม?”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว และพูดว่า “ข้าไม่ใส่ใจในธุระกงการของเจ้าอยู่แล้ว! แต่เจ้าเองก็ต้องรอให้ข้าคิดบัญชีของข้าก่อนเช่นกัน จื่อรุ่ย เข้ามาหาข้าและชี้ตัวว่าใครคนไหนที่ตัดหน้าแย่งสมบัติที่เจ้าเลือกไป”

เมื่อได้ยินคำสั่ง หยุนจื่อรุ่ยก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที จากนั้นนางก็มองไปยังภาพของผู้คนที่ถูกขังเอาไว้ในคุกที่เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังฉายให้นางดูอยู่ ซึ่งเมื่อนางดูไปสักพักนางก็ชี้นิ้วไปที่ชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุคนหนึ่งและพูดว่า “นายท่าน เป็นคนนี้!”

ด้วยการส่งสัญญาณของหลิงตู้ฉิง เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็นำตัวชายที่ขโมยสมบัติที่หยุนจื่อรุ่ยเลือกเอาไว้มาปรากฏตรงหน้าพวกเขาทันที

ชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุ เมื่อถูกพาที่ห้องโถงใหญ่และได้เห็นกลุ่มของหลิงตู้ฉิงที่อยู่กลางห้อง เขาก็รู้สึกงุนงงและพูดว่า “เอ๋? พวกเจ้าเองงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกกับเจ้าแล้วใช่ไหมว่าสมบัติของข้ามันไม่มีใครสามารถชิงไปได้ง่าย ๆ จื่อรุ่ย ปล้นทรัพย์ของเขาออกมาให้หมดทุกอย่าง”

หลังจากได้รับคำสั่ง หยุนจื่อรุ่ยก็รีบวิ่งไปหาชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุและเริ่มทำการถอดแหวนมิติของเขาออกทุกวงและปล้นสมบัติทุกอย่างที่เขามีติดตัวเอาไว้

ชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุได้แต่มองการกระทำของหยุนจื่อรุ่ยด้วยสายตาแค้นเคือง แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ เนื่องจากในตอนนี้ทั้งร่างของเขาถูกผนึกไว้โดยเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์

ส่วนทางด้านของหยุนจื่อรุ่ย เมื่อนางได้เหล่าสมบัติมาแล้ว และหลังจากที่ตรวจสอบดูด้านในแหวนมิติและเห็นว่าข้างในมันเต็มไปด้วยสมบัติ นางก็กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี

เย่เจียงไห่มองไปที่ชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุด้วยสายตาดุดัน จากนั้นเขาพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าคืนเตาของข้ามาได้แล้วใช่ไหม?”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “แน่นอน!”

หลังจากนั้น เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็กลับไปอยู่กับเจ้าของเดิม ซึ่งสิ่งแรกที่เย่เจียงไห่ทำหลังจากได้เตาของตัวเองคืนมาแล้วก็คือ การเผาชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุจนเหลือแต่เถ้าถ่านเพื่อระบายอารมณ์ของตนเอง

หลังจากฆ่าชายที่มาจากสำนักเบญจธาตุไปแล้วสักพัก เย่เจียงไห่ก็หันมาที่หลิงตู้ฉิง และถามขึ้นว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลับคำพูดหรือยังไง?”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะในลำคอ จากนั้นเขาหยิบกิ่งไม้ของต้นเทวะศาสตราขึ้นมาและโยนมันขึ้นไปเหนือศีรษะของเขา ซึ่งหลังที่มันถูกโยขึ้นไปมันก็สำแดงอำนาจโดยการสร้างกำแพงพลังวิญญาณที่ดูทรงอานุภาพเหนือกว่าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนขึ้นมาล้อมรอบร่างของหลิงตู้ฉิงและคนของเขา

เมื่อแสดงเช่นนี้แล้ว หลิงตู้ฉิงก็ไม่พูดอะไรต่อ เขายืนมองหน้าเย่เจียงไห่อย่างเงียบ ๆ แทน

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เย่เจียงไห่นั่งไม่ติดเก้าอี้ทันที เขาดีดตัวขึ้นยืนและตะโกนว่า “เอามันคืนมาให้ข้า! เจ้าเป็นคนบอกเองว่ามีคนมอบมันให้ข้า คืนมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจกับเรื่องตำหนักและเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเขาจนมองข้ามกิ่งไม้อันนี้ไปซะสนิท แต่ตอนนี้เมื่อเขารู้แล้วว่ามันมีค่าแค่ไหน เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งจนแทบอยากจะเอาหัวโขกพื้น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “นี่เจ้าลืมไปแล้วงั้นเหรอ? เจ้าเองที่เป็นคนปฏิเสธมันเมื่อครู่ ดังนั้นมันก็หมายความว่าเจ้าและกิ่งไม้นี้ไร้ซึ่งวาสนาต่อกัน!”

“ข้า…” ในตอนนี้เย่เจียงไห่ไม่ได้ดูดีใจเหมือนเมื่อครู่ที่เขาได้รับเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเขาคืนอีกแล้ว เขาก้มหัวด้วยความเศร้าสร้อยอยู่สักพัก จากนั้นเขากัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดและตะโกนใส่เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ว่า “นำตัวพวกคนนอกทุกคนมาที่นี่!”

หลังจากสิ้นเสียงคำสั่งของเขา เหล่าผู้คนที่เข้ามาหาสมบัติในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนต่างก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเขาถูกพลังงานลึกลับบางอย่างยกตัวของพวกเขาจนลอยขึ้นจากพื้นและบินมายังทิศทางของห้องโถงใหญ่ทันที

เมื่อเหล่าคนนอกทุกคนถูกนำตัวมาอยู่ในห้องโถงใหญ่จนครบ เย่เจียงไห่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เจ้าตำหนักก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าคงมีความสุขมากสินะที่เข้ามาปล้นของในบ้านข้าได้อย่างตามใจชอบ?”

“ลูกสาม?” เย่ชางคงรู้สึกตกตะลึง

มู่หลงหยานรีบส่งโทรจิตบอกกับเย่ชางคงในทันที “เขาคือเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนไปแล้วในตอนนี้ จงระวังคำพูดของท่านด้วย!”

เมื่อได้ยินคำเตือน เย่ชางคงก็หุบปากของตัวเองลงทันที

แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ดีที่ในตอนนี้ลูกชายคนที่สามของเขากลายเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนไปแล้ว แถมระดับการบ่มเพาะในตอนนี้ยังอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิอีกต่างหาก

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ที่นี่เป็นบ้านของเจ้างั้นเหรอ?” ชายชราผู้หนึ่งจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

เย่เจียงไห่เหลือบมองไปที่ชายชราผู้นั้นและตอบว่า “จงใช้น้ำเสียงให้มันนอบน้อมกว่านี้เมื่อคุยกับข้า จงรู้ไว้ว่าเมื่อล้านปีที่แล้วที่ข้าจารึกชื่อของข้าไว้บนโลกใบนี้ บรรพบุรุษของเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”