GGS:บทที่ 955หัวผักกาดหนึ่งหัว
“พระเจ้า นี่มัน….”
ในตอนนี้เหล่าผู้คนในงานที่กำลังล้อมวงดูชุดเกราะหยกไหมทองคำและซากศพอายุกว่าห้าพันปีหันไปทางต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลในทันที
พวกเขาได้เห็นชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเสียความเป็นตัวเองและทำการเม้มปากไว้นั่นทำให้คำพูดที่เขาเกือบจะพูดออกมานั้นไม่ได้หลุดออกมาจากปาก แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะเรียกให้คนอื่นสนใจได้แล้ว
“อะไรล่ะนั่น” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาอย่างสงสัย จากจุดที่เขายืนอยู่ตอนนี้ สิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงกล่องกระจกขนาดใหญ่มากๆโดยมีของบางอย่างอยู่ช้างใน แต่หลังจากที่เพ่งอยู่เพียงพักหนึ่ง สายตาของเขาก็เบิกโพลงพร้อมอุทานออกมาดังลั่นว่า “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ พระเจ้า”
หากมองผ่านๆนั้น สิ่งที่อยู่กล่องกระจกอันใหญ่นั้นมันก็เป็นเพียงหัวผักกาดที่ดูใหญ่มากเท่านั้น ความสูงของมันอยู่ที่สามไม่ก็สี่เมตรเลยทีเดียว แต่เมื่อลองดูดีๆจะพบว่าสิ่งที่เห็นมันคือหัวผักกาดที่แกะมาจากหยก มันดูสดใสราวกับหัวผักกาดจริงๆ ดูจากสีขาวและสีเขียวที่ทำให้มันดูสดได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าช่างผู้แกะสลักมันนั้นย่อมต้องไม่ใช่ช่างฝีมือธรรมดา
“พระเจ้า หัวผักกาดหยกที่ดูเหมือนจริง…ใหญ่โคตร……………..” ผู้อาวุโสเซี่ยอุทานออกมาอุทานออกมายาวๆจนแทบจะหมดลมหายใจของเขา
สิ่งเนี่ยเรียกกันโดยทั่วไปว่าหัวผักกาดหยก ประเมินจากสีสันที่ดูสดใหม่นี้หยกที่ใช้ต้องเป็นหยกสองสีครึ่งเขียวและครึ่งขาวเป็นวัตถุดิบอย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงหัวผักกาดหยกนี้คนส่วนใหญ่จะนึกถึงหัวผักกาดหยกที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหัวผักกาดหยกที่ดีที่สุดสองหัว
หัวหนึ่งนั้นเป็นหัวผักกาดหยกที่เกาะสลักตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉิง มันมีความยาว 18.7 เซนติเมตร กว้าง 9.1 เซนติเมตร และหนา 5.07 เซนติเมตร
หัวผักกาดหัวนี้นั้นแกะสลักได้ราวกับว่ามันคือหัวผักกาดจริงๆทั้งๆที่จริงๆแล้วมันคือหยกก้อนหนึ่ง หยกก้อนหนึ่งที่สีเขียวเข้าราวกับผักกาดและสีขาวสะอาดราวกับก้านผักกาด จนทำให้ทุกคนที่มองผ่านๆต่างก็นึกว่าเป็นผักกาดจริงๆ
บนใบของหัวผักกาดหยกใบหนึ่งยังได้มีตั้กแตนและจิ้งหรีดอยู่บนใบราวกับว่าเป็นเด็กๆกำลังนั่งรอปู่นั่งเล่านิทานอยู่
อีกหนึ่งหัวถูกรู้จักกันในนามหัวผักกาดหยกสามตัน ในช่วงปี 2012 บริษัทคุนหมิงอินเตอร์เนชั่นแนลได้จัดแสดงหัวผักกาดหยกที่มีความความกว่า 1.8 เมตรและหนักถึง 3 ตัน ส่วนน้ำหนักของหยกดิบที่นำมาใช้เองนั้นมีน้ำหนักกว่า 7 ตัน
การแกะสลักหยกนี้ได้ใช้ช่างแกะสลักหยกสองคนและใช้เวลาไปกว่าสามปีเพื่อที่จะทำให้มันสำเร็จ และนี่เองทำให้ราคาของมันนั้นพุ่งสูงไปถึง 480 ล้านหยวน
ถึงแม้จะราคาของมันจะขึ้นไปสูงขนาดนั้นแต่รายละเอียดของหัวผักกาดที่แกะสลักเองก็ดูธรรมดาไม่ได้ดูเหมือนจริงแต่อย่างใด มีเพียงขนาดเท่านั้นที่พอจะเทียบกับชิ้นแรกที่ว่ามาได้
เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว หัวผักกาดหยกที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นนอกจากจะมีรายละเอียดที่ดีราวกับเป็นหัวผักกาดจริงๆและเหมือนจริงเสียยิ่งกว่าหัวที่แกะในสมัยราชวงศ์ฉิงเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของมันยังใหญ่มากชนิดที่ไม่มีงานหัวผักกาดหยกชิ้นไหนที่เขาเห็นเทียบได้ จึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสหวู่และผู้อาวุโสเซี่ยตกใจจนอุทานออกมา
“ไม่เพียงจะดูเหมือนหัวผักกาดจริงๆ มันยังใหญ่ยักษ์อีกด้วย ลองดูที่รายละเอียดการแกะสลักนี่สิ” ผู้อาวุโสหวู่ได้แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
“เดี๋ยวนะ” ผู้อาวุโสซี่ได้ลองเข้าไปดูใกล้ๆจนหน้าแทบจะแนบกับกระจก ยิ่งเขาจ้องหัวผักกาดนี่นานเท่าไหร่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งเบิกกว้างเมื่อถึงที่สุดเขาก็ได้พูดออกมาด้วยความตกใจว่า “พระเจ้า หยกนี่มันใส ส่วนสีเขียวนี่มันคือหยกเขียวจักรพรรดิ์ บ้าไปแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ”
ถึงจะเรียกว่าหยกเหมือนกันแต่เมื่อคุณภาพต่างกันแล้วยังไงราคาย่อมต่างกันเป็นธรรมดา หยกที่มีความแวววาวประดุจแก้วนั้นจะเรียกว่าหยกจักรพรรดิ์ยิ่งมันกระจ่างใสมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถือว่าคุณภาพดีเท่านั้น ความกระจ่างใสนี่ก็อีกเรื่องหนึ่งนั่นก็เพราะหยกจักรพรรดิ์ยังมีการแบ่งตามสีและสีที่เป็นที่นิยมมากที่สุดนั่นก็คือสีเขียวจักรพรรดิ์
สีเขียวจักรพรรดิ์เป็นสีที่หาได้ยากยิ่ง แน่นอนว่ามันเป็นเพราะสีของหยกประเภทนี้หาได้ยาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าเพียงกำไลหยกจักรพรรดิ์ที่ดีๆหนึ่งวงจะราคาพุ่งสูงถึงสิบล้านหยวนและนี่ก็ยังถือว่าเป็นเพียงราคาขั้นต่ำอีกด้วย
และในตรงหน้าของเขาตอนนี้นั้นก็คือหยกจักรพรรดิ์ขนาดสูงเกือบจะสี่เมตรซึ่งมันเป็นหยกที่ใหญ่ราวกับยักษ์ แน่นอนว่าต่อให้ไม่ได้แกะออกมาเป็นหัวผักกาดแบบนี้แค่ตัวมันเองราคาก็น่าสะพรึงแล้ว
ลองคิดดูสิว่าหยกก้อนขนาดนี้จะทำกำไลหยกหรือไม่ก็ลูกประคำได้มากมายขนาดไหน หากเป็นช่างฝีมือทั่วไปแล้วบอกได้เลยว่าไม่มีทางที่จะเสี่ยงแกะสลักหยกก้อนนี้ให้กลายเป็นหัวผักกาดยักษ์สูงเสียดฟ้าแบบนี้ได้อย่างแน่นอน
“พระเจ้า นี่มันหัวผักกาดหยกไม่ใช่เหรอ” เอี้ยป๋อที่เดินตามมาทีหลังเมื่อเห็นหัวผักกาดนี้ก็ได้พูดออกมา
“นี่…มัน…ไม่ใหญ่ไปเหรอ” โจวฉือเซียนที่ตามมาติดตามก็ยืนอึ้งไม่ต่างกัน
“พระเจ้า” อลันเองที่สับเท้าเดินมาอย่างไวได้แต่อึ้งจนอุทานออกมา
“ตอนแรกที่เห็นฉันก็นึกว่ามันเป็นแค่หัวผักกาดอันใหญ่ยักษ์เท่านั้น ไม่นึกเลยว่าพอมองดูดีๆแล้วมันจะเป็นหยกแบบนี้ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” แอนนาพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หัวผักกาดนี่มันสุดยอด….” ชายเจาะหูเองก็แสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างเต็มที่ ขนาดเขานั้นไม่ใช่คนในวงการก็ยังคิดเลยว่าหัวผักกาดหยกนี่ช่างน่ามหัศจรรย์ มันดูเหมือนจริงจนเขาต้องถามออกมาว่า “พี่เฉิน หัวผักกาดนี่คงไม่ใช่สุดยอดสมบัติอีกนะ ราคามันเท่าไหร่กัน”
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ได้ยินคำตอบชายเจาะหูจึงได้หันไปหาว่าชายใส่แว่นกำลังทำอะไร ภาพที่เขาเห็นก็คือชายใส่แว่นยืนนิ่งอึ้งไปแบบจริงจัง มีอีกหลายๆคนเองก็ไม่ต่างกัน
“เฮ้ พี่ชาย” ชายเจาะหูได้สะกิดเรียกชายใส่แว่น
“ราคาเท่าไหร่…” หลังจากพูดออกมาเบาๆชายใส่แว่นก็ได้หัวเราะเล็กน้อยอย่างน่าสยดสยองก่อนจะพูดออกมาว่า “แกไม่ต้องมองฉันเลย และอย่าว่าแต่ฉันเลย นักประเมินหยกจากทั่วโลกเองก็ไม่มีทางประเมินค่ามันได้อย่างแน่นอน ต่อให้มันแตกหรือหัก ราคาของมันก็ยังประเมินไม่ได้อยู่ดี”
คำพูดของหนุ่มแว่นนี้ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด หากใช้หยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ไปผลิตเป็นสร้อยคอ กำไร หรือเครื่องประดับอื่นๆ ลองนึกดูสิว่ามันจะทำได้กี่ชิ้นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงประเมินค่าหยกก้อนนี้ไม่ได้
และยิ่งไปกว่านั้นหยกก้อนนี้ยังถูกนำมาแกะสลักเป็นหัวผักกาดหยกที่สมบูรณ์สุดๆ หากจะมีคนอยากจะแยกส่วนหยกหัวผักกาดนี้ไปทำเป็นเครื่องประดับ แน่นอนว่าคนๆนั้นจะต้องถูกตามล่าจากคนทั้งโลกอย่างแน่นอน
แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วนำออกขายแบบนี้ไปเลย จะมีสักกี่คนที่สามารถซื้อมันได้ ต่อให้เป็นสิบคนรวยที่สุดในโลกก็ต้องมีเข้าเนื้อกันบ้างล่ะ หากสมบัติชิ้นนี้ถูกนำไปขายแน่นอนว่าย่อมมีคนอยากได้ แต่ราคาของมันจะประเมินยังไง
ผู้คนที่เข้ามาชมห้องนี้ในตอนนี้ต่างก็เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว หากบอกกันตรงๆแล้วโดยปกติการเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์นั้นจะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าอาการชาชิน มันเป็นอาการของคนที่เห็นของสุดยอดติดๆกันจนไม่แสดงอาการอะไรหลังจากที่เห็นของอื่นในพิพิธภัณฑ์ช่วงท้ายๆ
แต่กับพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งแห่งนี้ พวกเขานั้นได้เห็นของสุดยอดมากมาย แต่กับไม่มีท่าทีชาชินเลยสักนิด อย่างน้อยๆเมื่อทุกคนได้เห็นหัวผักกาดหยกนี้ก็ตื่นตะลึงไปทั่วกันทุกคน
การใส่สร้อยคอหยกจักรพรรดิ์นั้นเพียงแค่นี้ก็สามารถเดินอวดโฉมในโลกได้แล้ว จะมีใครสักกี่คนกันที่ได้ครอบครองหยกจักรพรรดิ์ แต่ต่อหน้าฉันในตอนนี้กลับหยกจักรพรรดิ์ที่สูงและใหญ่ประหนึ่งดังจรวดแบบนี้ ต่อให้เอาทั้งหมดไปทำสร้อยคอก็ยังเอาไปโยนทับช้างให้ตายยังได้เลย
จะให้เปรียบเทียบง่ายๆหน่อยก็คงจะเรียกว่าคนละระดับกันก็ว่าได้ สำหรับคนอื่นนั้นหยกจักรพรรดิ์แบบนี้มีเพียงแต่ชั่งเป็นกรัมขาย แต่กับซูจิ้งนั้นมีเพียงชั่งเป็นตันขายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าคนละระดับกัน
“นี่ฉันแพ้อย่างราบคาบเลยสินะ” โจวฉือเซียนที่แทบจะคลั่งออกมาในทันทีที่เห็นหยกนี่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ต่างจากที่เขาคิดไว้มากนัก เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าของที่ซูจิ้งจัดแสดงนั้นเป็นเพียงการนำของมาหลายๆชนิด ชนิดละอย่างสองอย่างเพื่อให้มันดูเยอะเท่านั้น ความจริงเขาก็คิดถูกครึ่งหนึ่งเพราะถ้าไม่นับเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ฉิงล่ะก็ ของๆซูจิ้งที่นำมาจัดแสดงมีเพียงชนิดละไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
แต่ในทุกๆชิ้นนั้นกับสามารถสร้างความตื่นตะลึงและแรงกระเพื่อมให้กับวงการได้อย่างง่ายดาย บางชิ้นถึงขนาดที่ว่าสร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งโลกได้
“…นายน้อยฮัวของเราจะเปิดพิพิธภัณฑ์ที่ดีกว่านี้สิบเท่าได้จริงๆเหรอ?” หนุ่มเจาะหูพูดออกมาก่อนที่จะพยายามกลืนน้ำลายที่แห้งผากลงคอ
“………” หนุ่มใส่แว่นเองที่ได้ยินคำถามนี้เหมือนเขายากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำได้เพียงแค่เม้มปากเอาไว้ แค่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ให้ดีเท่านี้ก็ยากพอๆกับได้ขึ้นสวรรค์ ต่อให้คนที่รวยที่สุดในโลกมาเห็นก็ยังไม่กล้าพูดคำนี้ออกมาเลย
แล้วนายน้อยฮัวที่อยู่ห่างไกลจากคนที่รวยที่สุดในโลกนับพันเท่ายังจะบอกว่าเขาจะเปิดพิพิธภัณฑ์ที่ดีกว่านี้สิบเท่าเนี่ยนะอย่ามาถามเลยดีกว่า หากมีคนมาได้ยินล่ะก็คงถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน