เวลาผ่านไปห้าหกวัน ในที่สุดเรือขนาดยักษ์ก็บินออกจากดินแดนรกร้าง มีเนินเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า

มีเนินสีดำและสีเขียวขึ้นๆ ลงๆ และมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

เรือยักษ์พุ่งทะยานขึ้นสู่บนท้องฟ้าเหนือกลุ่มเนินเขา และหลังจากส่องแสงเปล่งประกาย เรือยักษ์ก็หายไปในท้องฟ้า

หนึ่งเดือนต่อมา ในพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยเนินเขา ทันใดนั้น เมืองขนาดใหญ่ที่สร้างจากหินสีเหลืองก็ปรากฏขึ้น ครอบคลุมพื้นที่กว่าพันลี้ ครึ่งหนึ่งสร้างขึ้นบนภูเขา และอีกครึ่งหนึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงสูงมากกว่าร้อยจั้ง

ท้องฟ้าเหนือเมืองใหญ่ทั้งเมือง ถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีเหลืองขมุกขมัวชั้นหนึ่งเหมือนก้นหม้อ และมีเขตอาคมต้องห้ามขนาดใหญ่ที่ลึกลับมากวางไว้อย่างชัดเจน

หานลี่ยืนอยู่บนหัวเรือของเรือบิน พลางมองไปยังเมืองใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“สหายหาน นี่คือเมืองฮ่วนเย่ที่ตระกูลไป๋ของข้าตั้งอยู่ แม้ว่าเมืองนี้จะเทียบไม่ได้กับเมืองมหึมาเหล่านั้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่เล็กในที่ห่างไกลเช่นนี้ ตัวตนระดับจอมมารมีเพียงสิบคน ตระกูลไป๋ของเราเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลหลักในเมืองนี้ ไม่ว่าสหายจะต้องการสิ่งใดหรือประสบปัญหาใด ตราบใดที่เอ่ยชื่อตระกูลไป๋ออกไป คนทั่วไปจะก้มหัวให้” ไป๋อวิ๋นซินยืนอยู่ข้างหานลี่ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณท่านสำหรับเจตนาที่ดี ข้าวางแผนที่จะซื้อของบางอย่างจากเมืองของท่านจริงๆ” สีหน้าหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้องเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“สหายหานตัวคนเดียว มาพักที่หอเค่อชิงของตระกูลไป๋เราดีกว่า ด้วยพลังยุทธ์ของสหาย ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่ดูแลตระกูลจะไม่คัดค้าน” ดวงตาที่สวยงามของไป๋อวิ๋นซินเป็นประกาย และถามหานลี่คร่าวๆ

“หอเค่อชิง! ท่านเซียนไม่คิดจะล้มเลิกเชื้อเชิญข้าเลยสินะ” หานลี่แย้มยิ้มเมื่อได้ยิน

“พลังยุทธ์ของสหายมาถึงขั้นสุดท้ายของระดับหลอมสุญตาแล้ว และอยู่ห่างจากระดับผสานอินทรีย์เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น มิเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะสังหารฝูงค้างคาวมารนั้นอย่างง่ายดาย พลังยุทธ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ ประกอบกับฐานะผู้บำเพ็ญเพียนสันโดษของท่าน ไม่ว่าตระกูลใดพบเห็นก็ต้องเชื้อเชิญเป็นแน่ ตระกูลไป๋ของพวกเราก็เช่นกัน” ไป๋อวิ๋นซินกล่าวด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจจะอ้อมค้อมแต่อย่างใด

“แต่คำตอบของข้าก็ยังคงเหมือนเดิม ข้าไม่มีแผนที่จะผูกมัดตัวเองกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในขณะนี้ ข้ากำลังเผชิญกับปัญหาคอขวด และข้าต้องเดินทางไปทั่วทุกสารทิศระยะหนึ่งก่อน จึงจะมีความหวังว่าก้าวไปสู่ระดับจอมมารได้ เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ข้าจะไม่เข้าขุมอำนาจใดๆ แต่สัญญาได้ว่าหากข้าต้องการเข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในอนาคตจริงๆ ข้าต้องพิจารณาตระกูลไป๋ก่อน” หานลี่ตอบอย่างคลุมเครือ

“คำพูดของสหายหาน ข้าจะจดจำไว้ ตระกูลไป๋ของเราจะเปิดประตูรับสหายหานทุกเมื่อ ส่วนเรื่องไปเยี่ยมบรรพชนฟู่เทียน ข้าจะรายงานให้ท่านทราบทันทีหลังจากกลับมา ด้วยความเมตตาของสหายหานที่มีต่อข้าในดินแดนรกร้าง ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่” ไป๋อวิ๋นซินถอนหายใจและกล่าวอย่างเสียดาย

“ข้าได้ยินมาว่าหากต้องการข้ามทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ควรมีกิ้งก่ามารแปดขาในการเดินทางจะดีที่สุด ข้าสงสัยว่าตระกูลไป๋เลี้ยงอสูรมารเช่นนี้หรือไม่” หลังจากทาหานลี่ยิ้ม เขาก็เปลี่ยนเรื่องและถามคำถาม ราวกับว่าเขาแค่ถามเฉยๆ

“กิ้งก่ามารแปดขา! เหตุใดสหายหานจึงอยากพบอสูรมารชนิดนี้และเข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว” ไป๋อวิ๋นซินตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พร้อมทั้งถามด้วยความประหลาดใจ

“ข้าหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะใช้เวลานานเกินไปในการเดินทางผ่านทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ทำไมรึ ตระกูลไป๋จึงไม่มีอสูรมารชนิดนี้หรือ” หานลี่ถามอย่างสุขุมด้วยแววตาเป็นประกาย

“มีน่ะมี แต่ถ้าสหายหานอยากได้สักตัว ข้าเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่ตระกูลไป๋ แต่ตระกูลอื่นๆ จะไม่ขายกิ้งก่ามารแปดขาให้คนภายนอก” ไป๋อวิ๋นซินขมวดคิ้ว พลางตอบกลับอย่างลำบากใจ

“โอ้ เป็นเช่นนี้หรือ หากปัญหาอยู่ที่ราคา ข้ายังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง สามารถนำเงินออกมาซื้อสักตัวได้” หานลี่ไม่แปลกใจ พร้อมทั้งถามอย่างไร้อารมณ์

“ไม่ว่าจะมีศิลามารกี่ก้อน ก็ไม่มีตระกูลใดของพวกเราจะขายกิ้งก่ามาร เหตุผลข้อหนึ่งก็คืออสูรมารชนิดนี้หายาก แต่เหตุผลหลักก็คือกิ้งก่ามารเหล่านี้เป็นรากฐานของตระกูลของเราในเมืองฮ่วนเย่ จะมอบให้ผู้อื่นได้โดยง่ายได้อย่างไร” ไป๋อวิ๋นซินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางกล่าวอย่างมีความหมาย

“เป็นรากฐาน นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ แม้กระทั่งอสูรมารที่ดุร้ายก็ยังเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ได้!” การแสดงออกของหานลี่เปลี่ยนไป เขาไม่เข้าใจจริงๆ

“แม้เหตุผลจะไม่ใช่ความลับที่สำคัญมาก หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสในตระกูล ข้าก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ สหายหานต้องรอจนพบบรรพชนฟู่เทียนก่อนแล้วจึงค่อยถามท่าน หากบรรพชนเป็นผู้บอก ก็คงไม่มีปัญหา และเรื่องของกิ้งก่ามารแปดขามีเพียงบรรพชนของตระกูลเท่านั้นที่สามารถตัดสินได้” ไป๋อวิ๋นซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างสุขุม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าถ้าต้องการกิ้งก่ามารแปดขา ข้าคงต้องขอคำแนะนำจากบรรพชนฟู่เทียนเสียแล้ว” หานลี่กล่าวอย่างครุ่นคิด

ไป๋อวิ๋นซินพยักหน้า และไม่พูดอะไร

ในเวลานี้ เรือยักษ์แล่นไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงท้องฟ้าใกล้กับเมืองฮ่วนเย่ จากนั้นก็ร่อนลงจอดที่หน้าประตูเมืองซึ่งมีความสูงหลายสิบจั้ง

มีมารเข้าๆ ออกๆ เป็นครั้งคราว เมื่อเห็นเรือยักษ์สีเหลืองจอดอยู่ใกล้ๆ พวกเขาจะหลบเลี่ยง ส่วนใหญ่จะมีท่าทีกลัวเกรง

ดูเหมือนว่ามารเหล่านี้ล้วนรู้จักที่มาของเรือยักษ์ลำนี้!

ในเวลานี้ หานลี่และมารตระกูลไป๋ก้าวลงจากเรือยักษ์

ด้วยการร่ายอาคมมือเดียวของไป๋อวิ๋นซิน เรือยักษ์หดตัวลง เปลี่ยนเป็นแสงสีเหลืองยาวประมาณหนึ่งจั้ง และหายไปในร่างของนางในชั่วพริบตา

กลุ่มคนรวมทั้งไป๋อวิ๋นซินเดินตรงไปยังประตูเมืองด้วยความตื่นเต้น

ถึงอย่างไร คนที่ห่างหายจากบ้านไปนานเหล่านี้ เวลานี้พวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงบ้านมาก

หานลี่มักจะมีรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าของเขาเสมอ และเขาไม่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน

มีทหารในชุดเกราะหลายสิบคนที่ประตูเมือง เมื่อพวกเขาเห็นไป๋อวิ๋นซินและคนอื่นๆ พวกเขาก็เข้าต้อนรับทันที จากนั้นจึงทำความเคารพและเปิดทางให้คนตระกูลไป๋เดินเข้าเมืองไป

มารคนอื่นๆ ที่ผ่านไปผ่านมาไม่สนใจเรื่องนี้เลย เกรงว่าพวกเขาคงจะชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว

หลังจากที่ไป๋อวิ๋นซินพยักหน้าเล็กน้อย นางก็นำกลุ่มคนเข้าไปในเมือง

ทันทีที่เข้าประตูเมือง ด้านหน้าของหานลี่เต็มไปด้วยบ้านดินสีเหลืองทรงสี่เหลี่ยมหรือทรงกลมเต็มไปหมด ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด

ระหว่างบ้านเหล่านี้ มีถนนกว้างสองสามสายตัดกัน ดูเหมือนจะมีน้อยกว่าเมืองทั่วไปมาก

ในบ้านเหล่านี้ มีอาคารขนาดยักษ์หลายหลังที่เห็นได้ชัดว่าสูงกว่าปกติจำนวนมาก หรือไม่ก็เจดีย์ยักษ์ หรือไม่ก็ห้องใต้หลังคาขนาดยักษ์ที่มีความสูงมากกว่าสิบชั้น

หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ

เมืองนี้ไม่เพียงแต่วางเขตอาคมเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเขตอาคมที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีจิตสัมผัสอันแก่กล้า ทว่ากลับสามารถแผ่ออกไปได้ไม่กี่ลี้เท่านั้น

แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าหานลี่จะไร้หนทางในการแผ่จิตสัมผัสออกไปให้ไกล ทว่าในกรณีนี้ คงจะไปกระตุ้นเขตอาคมต้องห้ามเหล่านั้น แล้วก็จะเปิดเผยพลังยุทธ์ที่แท้จริงของเขา

ในขณะนี้ ทันทีที่คนตระกูลไป๋เดินไปบนถนนใกล้ๆ พวกเขาก็หยุดที่ข้างถนนทันที

หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ถามอะไร

ไม่นานนัก รถเทียมอสูรที่ลากโดยอสูรประหลาดหลายสิบตัว ดูเหมือนกวางแต่ไม่ใช่กวาง เหมือนม้าแต่ไม่ใช่ม้า ปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของถนน คล้ายกับว่าจู่ๆ ก็มีลมกระโชกแรงพัดปะทะหน้าหานลี่และคนอื่นๆ พวกเขาจึงหยุดกะทันหัน

ข้างรถเทียมอสูร มีตัวอักษรโบราณคำว่า ‘ไป๋’ สลักอยู่ ด้านหน้ามีชายในชุดคลุมหนังนั่งขี่อสูรอยู่

“คารวะฮูหยิน ข้ามาต้อนรับฮูหยิน กลับบ้านตามคำสั่งของนายท่าน” ชายผิวคล้ำคนหนึ่งกระโดดลงจากรถเทียมอสูร และคารวะไป๋อวิ๋นซิน พร้อมกล่าวด้วยความเคารพ

“ข้ารู้แล้ว สหายหานจะไม่ไปตระกูลไป๋ก่อนจริงๆ หรือ แม้ว่าท่านจะไม่ได้วางแผนที่จะเข้าร่วมกลุ่มในตอนนี้ แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะหาที่พักอาศัย! หากไปที่ตระกูลไป๋ บางทีอาจจะเจอบรรพชนในวันนี้!” ไป๋อวิ๋นซินโบกมือให้ชายร่างใหญ่ จากนั้นหันกลับมาและพูดกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“ไม่เป็นไร ท่านเซียนไป๋เพิ่งกลับมาถึงตระกูล เกรงว่าจะมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกเยอะ ข้าวางแผนไว้ว่าจะไปดูรอบๆ ในเมืองก่อน ข้าจะไปเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการในวันหลัง” หานลี่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมทั้งยกมือคารวะ

“เมื่อสหายหานได้ตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรมาก จี้หยกนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของข้า สหายหานจงเก็บมันไว้ให้ดี เมื่อถึงเวลานั้น เพียงแค่ท่านมีสิ่งนี้ ท่านสามารถมาหาข้าที่ตระกูลไป๋ได้เมื่อต้องการ”

ไป๋อวิ๋นซินเผยสีหน้าเสียดาย เมื่อนางพลิกมือข้างหนึ่ง แผ่นหยกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของนาง และมอบให้หานลี่

หานลี่รับจี้หยกอย่างไม่เกรงใจ พร้อมทั้งเลื่อนสายตาลงต่ำเพื่อมองดูหยก

จี้หยกนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ทำขึ้นมาจากหยกธรรมดา มีเส้นโลหิตอยู่ในผลึกใสแวววาว มีรูปสตรีทะยานอยู่บนฟ้าสลักไว้บนพื้นผิว รูปลักษณ์ของหญิงสาวบนหยกนั้น คล้ายกับไป๋อวิ๋นซิน

หานลี่หัวใจเต้นแรง เขาเก็บจี้หยกอย่างดีหลังจากที่เขาพยักหน้า

ในเวลาต่อมา ตระกูลไป๋ได้นั่งรถเทียมอสูรหลายตัว และออกไปตามถนนทันที

ครั้นเมื่อหานลี่เห็นด้านหลังของรถเทียมอสูรที่กำลังออกไป เขาสะบัดแขนเสื้อ พลันหันกลับมาและเดินไปยังถนนอีกสายหนึ่ง จากนั้นหายตัวไปในชั่วพริบตาท่ามกลางเผ่ามารมากมาย

แม้ว่าในเมืองฮ่วนเย่จะไม่มีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็สามารถรวบรวบจอมมารได้มากกว่าสิบคนในเมืองเดียวกัน มีชื่อเสียงในแดนมาร อีกทั้งจำนวนมารระดับสูงยังมีมากกว่าเมืองใหญ่ทั่วไป

ไม่เหมือนกับเมืองเซวี่ยยาที่หานลี่เคยอยู่มาก่อน จำนวนอาคารในเมืองนี้เหนือจินตนาการมาก

ไม่เพียงแต่มีร้านวัตถุดิบ ร้านอาวุธฝึกฝน และร้านค้าทั่วไป ยังมีตำหนักฝึกวิทยายุทธ์โดยเฉพาะ มารระดับธรรมดาเข้าออกตำหนักนี้บ่อยครั้ง

สิ่งนี้ทำให้เขาอดประหลาดใจไม่ได้

ตำหนักฝึกวิทยายุทธ์นี้คล้ายกับตำหนักบางแห่งในแดนวิญญาณ เชี่ยวชาญในการสอนคาถาพื้นฐาน ไม่รู้ว่าเดิมทีมีมาจากเผ่ามารหรือเลียนแบบมาจากแดนวิญญาณกันแน่

เมื่อหานลี่เดินไปใกล้เจดีย์ยักษ์ เขาเหลือบมองแผ่นป้ายโลหะที่แขวนอยู่บนนั้น ความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา