“ฮ่า ๆ ๆ หลัวจื้อเลี่ย หลัวจื๋อยิน ไม่ได้พบพวกเจ้ามานานนับพันปี ดูเหมือนว่าพลังของพวกเจ้าจะไม่พัฒนาขึ้นเลย !”
น้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉยดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่กลุ่มหมอกสีดำจะปรากฏท่ามกลางพื้นที่ว่างเปล่า ภายในหมอกทะมึนประหลาดดังกล่าวคือร่างหนึ่งที่ยืนอยู่อย่างเลือนรางจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าหรือสัมผัสถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้
อย่างไรก็ตาม หลัวจื้อเลี่ยและหลัวจื๋อยินเคยประจันหน้ากับผู้นำฝ่ายมารในสงครามครั้งใหญ่เมื่อพันปีก่อน เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงตระหนักถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นของเขาเป็นอย่างดี ผู้มาใหม่ที่ปรากฏตัวท่ามกลางหมอกมืดนี้ เพียงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเขาก็มากพอที่จะยืนยันให้หลัวจื๋อยินและหลัวจื้อเลี่ยมั่นใจได้ว่าเขาคือผู้นำของขุมกำลังมารร้ายอย่างแท้จริง
“โอ้ ไม่เหมือนเจ้าหรอก ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจากสงครามครานั้นจะยังไม่หายดีด้วยซ้ำ !”
หลัวจื้อเลี่ยแสยะยิ้มและกล่าวตอบโต้ แม้จะสัมผัสถึงแรงกดดันอันทรงพลังได้อย่างชัดเจน เขาก็ไม่แสดงความกังวลหรือหวั่นใจใด ๆ ถึงแม้ผู้นำฝ่ายมารจะแกร่งกล้าอย่างแท้จริง เขาก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
หากเป็นช่วงเวลาที่ผู้นำฝ่ายมารมีพลังอยู่ในระดับสูงสุด ต่อให้หลัวจื้อเลี่ยและราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินร่วมมือกัน ทั้งสองก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทว่าเห็นได้ชัดว่าผู้นำฝ่ายมารที่ปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้ไม่ได้ทรงพลังมากเช่นนั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงครามเมื่อพันปีก่อนและนั่นเป็นบาดแผลที่ไม่สามารถฟื้นฟูจนหายดีได้ง่าย ๆ
“โอ้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกเจ้า ข้าเก็บตัวฟื้นฟูพลังมาตลอดพันปีที่ผ่านมา แม้ยังไม่หายสนิทและฟื้นฟูไม่เต็มที่ ทว่าความแข็งแกร่งของข้าก็พัฒนาขึ้นกว่าตอนนั้นมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในวันนี้ก็ต่างจากเมื่อพันปีก่อน เรามีบุปผาแห่งความมืดที่ใกล้วิวัฒนาการสมบูรณ์ ในไม่ช้า เมื่อข้าออกจากสภาวะจำศีลนี้ ข้าจะได้สะสางความแค้นที่รอคอยมานานและมอบความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมานกลับคืนให้กับพวกเจ้าอย่างสาสม !”
ผู้นำฝ่ายมารหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อประมาณพันปีก่อน ฝ่ายมารเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการต่อสู้ หากมิใช่เพราะการปรากฏตัวของเทพมายา ราชินีเหมันต์ ราชินีเอลฟ์ เทพอสูรและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ขุมกำลังมารร้ายก็จะไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ในวันนี้ที่เวลาล่วงเลยมานานนับพันปี พลังอำนาจโดยรวมของขุมกำลังมารร้ายก็แกร่งกล้ากว่าในอดีตมากนัก และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือศัตรูสำคัญหลายคนของพวกเขาก็ได้หายไปจากดินแดนแล้ว
เทพมายาหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ราชินีเหมันต์ก็ล่มสลายไป ส่วนเทพอสูรในปัจจุบันก็ผูกมิตรกับฝ่ายมารแล้ว เรียกได้ว่าในเวลานี้มีเพียงราชินีเอลฟ์เท่านั้นที่ยังคงอยู่
ขุมกำลังจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่ในดินแดนนี้ก็ล้วนอ่อนแอกว่าเมื่อพันปีก่อนมาก
ผู้นำฝ่ายมารมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมและเชื่อว่าสุดท้ายแล้วขุมกำลังมารร้ายของตนจะเอาชนะสงครามและยึดครองดินแดนเทพมายาได้สำเร็จ
“ข้าก็ตั้งตารอวันนั้น ! มันถึงเวลาแล้วที่พวกคนชั่วอย่างฝ่ายมารจะต้องหายสาบสูญไปจากดินแดนของเราทุกคนเสียที !”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น
“ท่านผู้นำ หากปล่อยให้สองคนนั้นพัฒนาและเติบโตต่อไป พวกเขาจะต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของฝ่ายมารแน่ ๆ หากเป็นไปได้ เราควรหาวิธีกำจัดทั้งสองให้ได้เสียก่อน !”
เจี้ยนเหินชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างก่อนกล่าวอย่างระแวดระวัง
สายตาของผู้นำฝ่ายมารก็เลื่อนไปบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และลมหายใจของเขาก็ติดขัดไปเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ เทพมายาคนใหม่และบุรุษหนุ่มผู้ครองกายโกลาหล ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ในป่านอกนครเวหาก่อนหน้านี้ ข้าไม่ทันได้สังเกตดูพวกเจ้ามากนัก ทว่าวันนี้ข้าได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว”
ผู้นำฝ่ายมารหัวเราะเบา ๆ และแววตาที่มองคนหนุ่มสาวทั้งคู่แสดงถึงจิตสังหารไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธ์ทั้งสองยอดเยี่ยมและมากพรสวรรค์ยิ่งนัก หากปล่อยให้พัฒนาและเติบโตต่อไป เชื่อได้เลยว่าต่อไปในภายภาคหน้าทั้งสองจะกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของฝ่ายมารอย่างแน่นอน !
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้นำฝ่ายมารก็มีความคิดผุดขึ้นในใจ ในเมื่อวันนี้ปรากฏกายขึ้นมาในชนเผ่าเอลฟ์แล้วและได้พบกับศัตรูทั้งสองคนนี้ เขาก็ควรที่จะใช้โอกาสนี้ในการกำจัดศัตรูตัวร้ายของฝ่ายมารให้หมดสิ้นไปซะ !
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความมุ่งร้ายที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายทว่าก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
แม้ผู้นำฝ่ายมารจะเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกตนจะยอมปล่อยให้ถูกรังแกได้ง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าพลังของผู้ที่อยู่ตรงหน้ามิได้อยู่ในระดับสูงสุดด้วยซ้ำ สำหรับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ต่อให้อีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใดเพื่อกำจัดตน ทั้งสองก็ไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำอย่างแน่นอน !
“เหอะ หากคิดจะรังแกสหายอวี้โม่ของข้า ผ่านข้าไปให้ได้ก่อนเถอะ !”
ไป๋ฉี่แค่นเสียงเย็นชาและปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่เพื่อขวางสายตาของผู้นำฝ่ายมาร ในเมื่อมีเขาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์จะทำร้ายฉินอวี้โม่แม้แต่ปลายเล็บ
“วิญญาณของหอคอยวิญญาณรึ ?”
ทันทีที่ไป๋ฉี่ปรากฏตัว ผู้นำฝ่ายมารก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเขาและเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
วิญญาณหอคอยคือสิ่งมีชีวิตในตำนาน แม้แต่เขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากกว่าพันปีก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไป๋ฉี่ตรงหน้าในตอนนี้คือวิญญาณหอคอยในร่างมนุษย์ตนแรกที่เขาเคยเห็น
“ถูกต้อง หากเจ้าคิดจะรังแกนายหญิงละก็ ข้ามศพพวกเราไปให้ได้เสียก่อน !”
มารยาและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็ปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่เพื่อประจันหน้ากับอีกฝ่ายเช่นกัน พวกมันจงเกลียดจงชังผู้นำของขุมกำลังมารร้ายผู้นี้อย่างที่สุด !
“หยกขาวพันปี พลับพลึงแดง อสูรน้ำแข็ง มังกรทองเก้าเล็บ หงส์แดง… ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความสามารถยิ่งกว่าเทพมายาคนก่อนเสียอีก !”
เมื่อเห็นอสูรมายาทรงพลังมากมายปรากฏตัวถัดจากฉินอวี้โม่ ผู้นำฝ่ายมารก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากพอสมควร เห็นได้ชัดว่าผู้สืบทอดกายเทพมายาตรงหน้าเขารับมือได้ยากยิ่งกว่าเทพมายาคนก่อนที่เคยประจันหน้าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก
เพียงเฉพาะกองทัพอสูรมายานี้ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาต้องหวั่นใจแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่ประหลาดเหนือมนุษย์เช่นนี้ จิตสังหารของเขาที่แผ่ออกไปก็รุนแรงมากขึ้นอย่างทวีคูณ
ทันใดนั้น บุปผาสีดำขนาดใหญ่ที่ดูแปลกประหลาดก็ปรากฏตรงหน้าผู้นำฝ่ายมาร ซึ่งมันก็คือบุปผาแห่งความมืดนั่นเอง
พลังความมืดทรงพลังแผ่ออกมาจากบุปผาแห่งความมืดและปกคลุมทั่วบริเวณส่งผลให้หลัวจื้อเลี่ย ฉินอวี้โม่และฝ่ายชนเผ่าเอลฟ์ทุกชีวิตรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่กดข่มลงมาจนเริ่มรู้สึกอึดอัดและหายใจยากลำบาก
ในทางกลับกัน จอมยุทธ์ฝ่ายมารที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็ล้วนฟื้นตัวดีขึ้นทีละคนและพลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็กลับคืนสู่ปกติ ราวกับว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา
“มิติทมิฬกลืนกิน !”
ผู้นำฝ่ายมารก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนพื้นที่โดยรอบจะถูกครอบงำโดยม่านพลังความมืดขนาดใหญ่และทั้งเมืองราชวงศ์ของชนเผ่าเอลฟ์ราวกับถูกดึงดูดเข้าไปในห้วงมิติที่เต็มไปด้วยพลังความมืด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?! เหตุใดจู่ ๆ ข้าจึงรู้สึกว่าพลังมายาภายในร่างของข้ากำลังสลายหายไป ?!”
หลัวหมิงซีและคนอื่น ๆ กลับมารวมตัวอยู่ใกล้ฉินอวี้โม่ขณะสัมผัสถึงความผิดปกติและสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ๆ หากถูกครอบงำในมิติทมิฬกลืนกินของท่านผู้นำ พลังมายาของพวกเจ้าจะค่อย ๆ สลายหายไปจนกระทั่งกลายเป็นคนไร้พลัง ข้าต้องยอมรับว่าพวกเจ้ามีฝีมือมากทีเดียว…ทว่าหากปราศจากพลังมายา พวกเจ้าก็เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกเจ้าจะสู้กับพวกเราอย่างไร ? ฮ่า ๆ ๆ !”
เจี้ยนเหินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและสีหน้าบ่งบอกถึงความสุขใจอย่างที่สุด ตอนนี้ฝ่ายคู่ต่อสู้ติดอยู่ในมิติทมิฬกลืนกินแล้ว พวกเขาไม่มีทางที่จะดิ้นรนขัดขืนอะไรได้อีก
หลัวจื้อเลี่ยและหลัวจื๋อยินก็มองหน้ากันก่อนใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเพื่อฝ่าทำลายมิติทมิฬดังกล่าว
โครมมม !
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขากระทบเข้ากับม่านพลังสีดำ มันก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาโดยที่ไม่ได้สร้างผลกระทบใด ๆ
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย มิติทมิฬกลืนกินนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับวิชาแดนทมิฬกลืนกินที่เคยพบก่อนหน้านี้ พลังความมืดรอบตัวค่อย ๆ กลืนกินพลังมายาในร่างของพวกนางอย่างไม่หยุดหย่อน หากไม่สามารถหาทางกำจัดมันไป พวกนางจะกลายเป็นคนธรรมดาไร้พลังและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป
เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าโจมตีที่ทรงพลังของหลัวจื้อเลี่ยและราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมิติทมิฬกลืนกินได้แม้แต่น้อย สีหน้าของหลายคนก็กลายเป็นเหยเกทันที ต้องกล่าวเลยว่าผู้นำฝ่ายมารไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าพวกเด็กเหลือขอ ลองรับการโจมตีของข้าสักหน่อยเถอะ !”
ผู้นำฝ่ายมารหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่ก้อนแสงสีดำขนาดใหญ่จะพุ่งออกไปโจมตีฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
“เหอะ !”
ไป๋ฉี่แค่นเสียงเย็นชาและม่านพลังสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินอวี้โม่และทุกคนเพื่อขัดขวางก้อนแสงสีดำนั้นอย่างรวดเร็ว
ตูมมม !
ด้วยเสียงดังสนั่น พลังแห่งแสงและพลังความมืดก็ปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดแสงจ้าส่องไปทั่ว
ร่างของไป๋ฉี่ถอยออกไปเล็กน้อย แม้สามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ทว่าเขาก็ยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
สีหน้าของผู้นำฝ่ายมารไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและเห็นได้ชัดว่าการปะทะเมื่อครู่ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อเขาเลยสักนิด ทว่าสิ่งที่น่าหวั่นใจยิ่งกว่านั้นคือฉินอวี้โม่และทุกคนต่างก็ทราบดีว่าผู้นำฝ่ายมารยังไม่ได้แสดงพลังอำนาจที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ
“หึ ภายในมิติทมิฬกลืนกินของข้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเจ้าก็ไม่มีทางแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ !”
ผู้นำฝ่ายมารแสยะยิ้มชั่วร้ายและยังคงปล่อยการโจมตีต่อไป
สำหรับจอมยุทธ์ฝ่ายมารจำนวนมาก ภายใต้การนำของเจี้ยนเหิน พวกเขาก็กระหน่ำโจมตีเข้าใส่หลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ อย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ภายในเวลาครู่ใหญ่ ทุกคนจากฝ่ายเอลฟ์และกลุ่มของฉินอวี้โม่ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย !
“พลังของเราสลายเร็วจนเกินไป เราต้องหาทางฝ่าทะลวงออกไปจากมิติทมิฬกลืนกินนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นเราจะต้องเป็นฝ่ายแพ้แน่ !”
สีหน้าของหลัวหมิงเฟยในตอนนี้เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด แม้คาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าผู้นำฝ่ายมารอาจปรากฏตัว แต่พวกเขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าพลังของอีกฝ่ายจะน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นนี้
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือผู้นำฝ่ายมารสามารถควบคุมพลังของบุปผาแห่งความมืดได้อย่างชำนาญแล้ว และพลังของบุปผาแห่งความมืดก็น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง!
“อวี้โม่ ท่านใช้ต้นโพธิ์เพื่อทำลายมิติบัดซบนี่ได้หรือไม่?”
หลัวอวิ๋นซีเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์คือศัตรูตัวฉกาจของบุปผาแห่งความมืด อย่างไรก็ตาม ต้นโพธิ์ที่อยู่ในการครอบครองของพวกตนในตอนนี้ยังไม่โตเต็มวัยและเกรงว่าอาจจะยังต่อกรกับพลังอำนาจของบุปผาแห่งความมืดมิได้
“ไม่ การที่ผู้นำฝ่ายมารทำเช่นนี้ เกรงว่าจุดมุ่งหมายของเขาก็คือต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่ต้นโพธิ์ถูกทำลายไปก่อนที่มันจะโตเต็มวัย พวกเราก็จะไม่มีสิ่งใดต่อกรกับพวกเขาได้อีก !”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะเอ่ยตอบ หลัวหมิงเฟยก็ส่ายศีรษะเบา ๆ พลางกล่าวอธิบายและคาดเดาความคิดของศัตรูได้ เกรงว่าพวกเขาเพียงต้องการให้ฉินอวี้โม่นำต้นโพธิ์ออกมาก่อนคิดหาทางทำลายมัน
“ถ้าเช่นนั้นทุกคนเข้าไปในคฤหาสน์ของอวี้โม่ดีรึไม่ ?”
หลัวหมิงซีกล่าวถามเสียงเบา แม้ทราบว่าข้อเสนอนี้อาจไร้ประโยชน์ ทว่าเขาก็ไม่สามารถคิดหาหนทางอื่นอีกแล้ว
“หากไม่มีทางอื่นแล้วจริง ๆ เกรงว่ามันคงเป็นทางเดียวที่เราจะทำได้ !”
ฉินอวี้โม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของหลัวหมิงซี หากไม่มีหนทางอื่น นางและทุกคนก็ทำได้เพียงเข้าไปซ่อนตัวในคฤหาสน์เฟิงหัว ทว่าถึงอย่างไรมันก็มิใช่หนทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว หากไม่สามารถทำลายมิติทมิฬกลืนกินนี้ พวกนางก็จะออกมาข้างนอกไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เจ้าแก่หนังเหนียว ยังจดจำข้าผู้นี้ได้รึไม่ ?”
ทันใดนั้น น้ำเสียงทรงพลังก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคนและทำให้ทุกคนตกตะลึงขึ้นมาทันที
สีหน้าของผู้นำฝ่ายมารที่อยู่กลางอากาศก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นถึงความตื่นตระหนกที่พบได้ยาก…
.