[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 32 เรื่องกลุ้มใจของเทพเซียน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เห็นได้ชัดว่าหลี่เค่อยังไม่โต แค่ฟังเสียงกรนของจั่งซุนชง หลี่หวยเหริน และลูกเศรษฐีคนอื่นๆ ก็จะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วกับคนที่ยังเป็นเด็ก ตระกูลใหญ่ตระกูลโตทั้งโลกล้วนแต่รู้ว่าพระภิกษุจะต้องต่อสู้กับลัทธิเต๋า ฮ่องเต้เองก็รู้ พระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋าไม่ได้อยู่ในรายชื่อของราษฎร บัญชีภาษีของขุนนางก็ไม่มีชื่อของพวกเขา เช่นนี้จึงไม่ถือว่าเป็นราษฎรของฮ่องเต้ ดังนั้นหลี่ซื่อหมินจึงไม่สนใจการตายของพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋าสองสามคน 

 

ตอนนี้หลี่ซื่อหมินใช้เหตุผลมากขึ้น เจ้าจ่ายภาษีให้ข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้า มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่หลอกลวงเด็กและผู้เฒ่า ดังนั้นการตายของราษฎรหนึ่งคนคือเรื่องใหญ่ จะต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทว่าพระภิกษุหรือนักบวชลิทธิเต๋าตายไปกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตั้งแต่ครั้งก่อนที่อวิ๋นเยี่ยเล่าเรื่องสัญญาแห่งวิญญาณให้เขาฟัง เขาจึงบอกว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่เคารพในคำมั่นสัญญา 

 

ช่วงแรกของการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ครั้งนี้ หลี่ซื่อหมินได้ปล่อยตัวนักโทษทั้งหมดในคุกให้กลับบ้าน ปล่อยให้พวกเขากลับไปอยู่กับครอบครัวสามวัน หลังจากผ่านไปสามวันพวกเขาต้องกลับมารับโทษตายด้วยตัวเอง เรื่องแบบนี้โจวเหวินอ๋องก็เคยทำ ได้รับการยกย่องจากราษฎรว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดี หลังจากได้รับหมวกใบใหญ่ของเทียนเค่อหันแล้ว หลี่ซื่อหมินก็อยากจะลองดูว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่ นักโทษมากกว่าสามร้อยคนร้องไห้กลับบ้าน ซาบซึ้งในความเมตตาของเขาเป็นที่สุด  

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ฮ่องเต้ของต้าถังคือฮ่องเต้ที่ดี สามวันต่อมา นักโทษประหารล้วนแต่พากันกลับมาที่คุกด้วยตัวเอง แต่งตัวเรียบร้อยรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ ราษฎรทั้งโลกต่างชื่นชมในความมีเมตตาของฮ่องเต้ หลี่ซื่อหมินที่กำลังรู้สึกพึงพอใจโบกไม้โบกมือ ให้อภัยนักโทษประหารทั้งหมด ทำเอาขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึง 

 

คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือหัวหน้าของหน่วยข่าวกรอง เพื่อชื่อเสียงที่งดงามของฮ่องเต้ เขาและคนของตัวเองต้องจับตาดูนักโทษประหารพวกนั้นอย่างลับๆ เป็นเวลาสามวัน คนในกวนจงมักจะมีอารมณ์ร้อน คนที่ฆ่าคนจะมีคนดีอยู่สักกี่คนกัน หากพวกเขาไม่หนีคงเป็นเรื่องแปลก หน่วยข่าวกรองพยายามจับคนที่กำลังจะหลบหนีทีละคนกลับมา ชายที่ดุร้ายที่สุดวิ่งไปถึงถงกวน และเพื่อจะจับเขากลับมา คนของหน่วยข่าวกรองตายไปคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บอีกสี่คนถึงจะจับเขาได้ แม้ว่าจะต้องให้เขาลำบากหน่อย แต่เพื่อหน้าตาของฮ่องเต้ เขาจึงพาคนผู้นั้นกลับเข้าไปในคุก 

 

เมื่อชายคนนั้นได้ยินว่าตัวเองได้รับการอภัยโทษ เขายิ้มหน้าบานและจะไปหอนางโลม ไม่สนใจสีหน้าที่ซีดเซียวของเหล่าหน่วยข่าวกรองเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะตายไปบนเตียงของนางรำในคืนนั้นแล้ว แต่นั่นก็คือความโศกเศร้าที่เกิดจากความสุข ว่ากันว่าได้ตายไปอย่างมีความสุข 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเชื่อว่านักโทษประหารจะกลับมารับโทษตายด้วยตัวเองเพราะความกตัญญูที่มีต่อฮ่องเต้ บนโลกใบนี้จะมีเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร หากเป็นตัวเอง เขาคงจะวิ่งเร็วกว่าคนที่วิ่งไปถงกวนเสียอีก 

 

นี่เป็นเรื่องมงคลที่ยิ่งใหญ่ เหล่าขุนนางต้องแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลอยู่ทั้งคืน เขาอยากจะวาดภาพหัวหมูส่งไปให้ แต่เขาก็ไม่กล้า เขาจึงมอบหมายภารกิจนี้ให้เสี่ยวอู่ จะต้องเขียนฎีกาประจบประแจงที่สวยสดงดงามให้อาจารย์ พรุ่งนี้อาจารย์ต้องใช้ อย่ารอช้า 

 

เว่ยเจิงล้มป่วยเพราะเรื่องนี้ตั้งสิบวัน อวิ๋นเยี่ยมองดูเขาตอนอยู่ที่ราชสำนักด้วยความเยาะเย้ย เว่ยเจิงจะหลบก็หลบไม่ได้ทำได้แค่เอาแขนเสื้อปิดหน้าและหนีไป 

 

ตอนนี้ก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว หลี่เค่อที่ยังไม่ถูกแพร่เชื้อ เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองมีนักรบกลุ่มใหญ่ เขาควรจะไปหยุดการเกิดโศกนาฏกรรมนั้น และเขาก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอจะหยุดมันได้ 

 

“ที่แคว้นหนานจ้าว มีเรื่องแปลกประหลาดบางอย่าง ชนเผ่าบางชนเผ่าที่นั่นชอบเก็บเอาสัตว์มีพิษห้าชนิดมาเลี้ยงไว้ในกะละมัง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเหลือสัตว์มีพิษเพียงชนิดเดียว จากนั้นก็เอาสัตว์มีพิษที่ชนะในกลุ่มนี้ไปรวมกับสัตว์มีพิษที่ชนะกลุ่มอื่น จากนั้นก็เลี้ยงไว้ในกะละมังอีกอันหนึ่ง หลังจากผ่านการต่อสู้เช่นนี้ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง สัตว์มีพิษที่หลงเหลืออยู่จึงเป็นสัตว์มีพิษที่น่ากลัวที่สุด ถึงตอนนั้น เจ้าของสัตว์มีพิษชิ้นนั้นก็จะใช้เลือดที่หัวใจของตัวเองมาเลี้ยงสัตว์มีพิษชิ้นนั้นเอาไว้ ว่ากันว่าเลี้ยงจนสามารถมีจิตสัมผัสกับของมีพิษได้ สุดท้ายก็ทำให้สัตว์มีพิษนั้นตายทั้งเป็น ทำให้แห้งและบดเป็นผง มันก็จะกลายเป็นยาพิษ ยาพิษที่เอาไว้ทำร้ายคน?” 

 

“เยี่ยจึ ตำนานแบบนี้ข้าก็รู้ แล้วข้ายังรู้เรื่องราวของจินฉานกู่กวาดบ้าน เจ้าอยากฟังหรือไม่” ความสนใจของหลี่เค่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะถามอวิ๋นเยี่ย 

 

“ในเมื่ออยากจะเล่าแล้วก็ได้เวลาหุบปาก นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว ใครอยากฟังเรื่องผีอะไร ขอแค่เจ้าไม่คิดเกี่ยวกับที่ที่ไฟไหม้ เจ้าจะคิดอะไรก็แล้วแต่เจ้าเลย” 

 

“เจ้ากำลังรังแกข้า เล่าเรื่องที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ ดึงดูดความคิดของเค้าขึ้นมา เจ้ายังจะอยากนอนหลับอีก ไม่ได้ เจ้าต้องฟังข้าเล่าให้จบก่อน” 

 

“ไอ้บ้า อยู่ให้ห่างจากข้า เป็นผู้ชายจะมาเค้าอะไรกัน พูดจนข้าขนลุกทั้งตัว ลูกผู้ชายดีๆ ทำตัวอย่างกับผู้หญิง อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ” 

 

หลี่เค่อทำอะไรไม่ได้จึงมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง มองดูดวงจันทร์ดวงใหญ่บนท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ฝูงนกบินผ่านไป เสียงกรีดร้องที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆ สงบลง จนกระทั่งไฟที่ลุกโชนดับลง ภูเขาฉินหลิ่งก็กลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง 

 

เมื่อท้องฟ้าสว่าง อวิ๋นเยี่ยก็เปล่าประกาศว่าวันนี้จะกลับบ้าน เหล่าลูกเศรษฐีต่างซ่อนความสุขของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ บ่นว่าการเดินทางออกมาภูเขาฉินหลิ่งครั้งนี้ยังเที่ยวไม่พอ เฉิงฉู่มั่วเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่กลับหุบปากไป การเดินทางมาภูเขาฉินหลิ่งในครั้งนี้ เหล่าลูกเศรษฐีถือว่าทำได้ดีพอสมควร 

 

ช่วงเวลาอาหารเช้า เหล่าลูกเศรษฐีล้วนแต่นั่งรวมตัวกันซุบซิบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ตัวเองนอนหลับอยู่ในผ้าห่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าองครักษ์ของตระกูลจะไม่ได้ถูกส่งออกไปดู เอาข่าวที่ตัวเองได้มามารวมกัน วาดภาพออกมาว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

 

“เช่นนั้น ที่ที่ถูกโจมตีเมื่อคืนนี้คือวัดจินเก๋อหรือ ผู้เฒ่าของวัดจินเก๋อเคยมาที่บ้านของข้า มาสวดมนต์ให้ท่านยายของข้า เขาถือว่าเป็นพระภิกษุที่มีศีลธรรม องครักษ์บอกข้าว่ามีคนตายและบาดเจ็บมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่าหนึ่งในนั้นจะมีผู้เฒ่าหรือไม่ หากมีคงน่าเสียดาย พวกที่มาโจมตีคือนักบวชลัทธิเต๋า เหล่าองครักษ์ได้ยินคำว่าจ๋าเหมากับทูหลูสองคำนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาแตกหักกันแล้วจริงๆ ตั้งแต่ถกเถียงกันด้วยปาก พัฒนามาจนถึงการต่อสู้ด้วยดาบและปืนจริงๆ แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราอยู่ดี เรากลับบ้านกันดีกว่า 

 

เยี่ยจึ ช่วงนี้ข้าไปอาศัยอยู่ที่เขาอวี้ซันของเจ้าดีกว่า ไม่มีอะไรทำก็จะได้ไปฟังเหล่าอาจารย์สอนหนังสือ ไม่รู้ว่าอาจารย์หลี่กังยังสอนหนังสือด้วยตัวเองอยู่หรือไม่” 

 

เห็นได้ชัดว่าจั่งซุนชงมีเรื่องอื่นที่ไม่ยอมพูดออกมา วิเคราะห์เรื่องเมื่อคืนให้ทุกคนฟังอย่างส่งๆ จากนั้นก็พูดเรื่องอื่น ก่อนจู่ๆ จะพูดถึงเรื่องเขาอวี้ซันขึ้นมา 

 

ล้วนแต่เป็นตระกูลที่ร่ำรวย ถึงแม้ว่าจะไม่มีบ้านอยู่ในเขาอวี้ซัน ก็ไปหยิบยืมจากคนที่สนิทสนมกันได้ เหล่าลูกเศรษฐีเบื่อหน่ายกับชีวิตในภูเขารกร้างเต็มที พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะไปเพลิดเพลินกับชีวิตที่สุขสบายในหมู่บ้านอันงดงามแล้ว 

 

ในภูเขาฉินหลิ่งขี่ม้าไม่ได้ ม้าของทุกคนล้วนแต่อยู่ที่เกาะเอ้อหลัง ให้นายทะเบียนของเขตหลานเถียนเป็นคนดูแลให้ ตัวเองกลับไปแล้วค่อยไปจัดการค่าใช้จ่ายให้เขา นายทะเบียนไม่มีทางลดหย่อนเรื่องนี้ 

 

ไฉหลิ่งอู่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ อ้าปากมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย ทิวทัศน์ของภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงช่างสวยงาม มีอะไรน่ามองเต็มไปด้วย อยู่ที่ฉางอันนานๆ ก็ค่อนข้างน่าเบื่อจริงๆ 

 

เมื่อเขาเห็นนกที่ออกมาจากฝูงโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จู่ๆ เขาก็กระโดดออกมาจากเก้าอี้ จับมืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดไม่หยุด มองไปทางที่เขาชี้ จู่ๆ น้ำตาของอวิ๋นเยี่ยก็ไหลลงมา ระหว่างตีนเขากับยอดเขาที่อยู่ข้างหน้า ซุนซือเหมี่ยวที่สวมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ถือไม้เท้า กำลังยิ้มแล้วมองดูพวกเขาอยู่ 

 

พวกเขาบ้าคลั่งขึ้นมาทันที ตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งเข้าไปหาเขา เฉิงฉู่มั่วมาถึงคนแรก อยู่ห่างออกไปประมาณสิบฟุต เขาก็แทบจะกระแทกหัวลงกับพื้น จั่งซุนชง หลี่หวยเหริน อวี้ฉือ รวมถึงหลี่เค่อ พวกเขาล้วนแต่โค้งคำนับอย่างไม่ลังเล เวลานี้อยู่ต่อหน้าซุนซือเหมี่ยว ไม่มีคำว่าองค์ชายองค์หญิง มีแค่คำว่าลูกหลานและผู้สูงอายุ 

 

อวิ๋นเยี่ยจับมือซุนซือเหมี่ยวแล้วพูดว่า “ท่านเป็นเช่นไรบ้าง สุขภาพยังคงดีอยู่หรือไม่” 

 

ซุนซือเหมี่ยวยิ้มแล้วพยุงเหล่าลูกเศรษฐีให้ยืนขึ้นทีละคน คนนี้ตบที่ท้ายท้อยทีหนึ่ง คนนั้นสั่งสอนไปทีหนึ่ง สุดท้ายก็ขอบคุณในความกตัญญูกตเวทีของพวกเขา เหล่าชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง 

 

อวิ๋นเยี่ยเห็นคนลองยาห้าคนที่อยู่ข้างหลังซุนซือเหมี่ยว แต่ละคนไว้หนวดไว้เคราจนจำไม่ได้ ราวกับกองหญ้าที่ยุ่งเหยิงอย่างไรอย่างนั้น แต่อารมณ์ของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว แบกตะกร้าไม้ไผ่ ข้างในเต็มไปด้วยสมุนไพร 

 

“พวกเขาทั้งห้าคนตัดสินใจว่าจะตามข้าไปปรุงยา เจ้าช่วยไปย้ายครอบครัวของพวกเขาให้ไปที่เขาอวี้ซัน ครั้งนี้ข้าทำผิดต่อพวกเขา พวกเขาล้วนแต่เป็นคนดี” 

 

ตามหาซุนซือเหมี่ยวจนเจอ จิตวิญญาณของกลุ่มก็แข็งแกร่งขึ้นโดยธรรมชาติ เดิมทีจั่งซุนชงมีสีหน้าที่มืดมน ตอนนี้เขาก็ร่าเริงขึ้นไม่น้อย ซุนซือเหมี่ยวไม่อยากเห็นพระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าฆ่าฟันกัน เขาถึงยอมออกมาจากภูเขา ความสำเร็จเรื่องไข้ทรพิษได้เพิ่มบารมีให้กับซุนซือเหมี่ยวนับไม่ถ้วน ตอนนี้บอกว่าเขาไม่ใช่เทพเซียนก็คงไม่มีใครเชื่อแล้ว 

 

เชิญซุนซือเหมี่ยวไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ ลูกเศรษฐีผลัดกันแบกเหล่าซุน ไฉหลิ่งอู่ที่ท้องไส้ปั่นป่วนเดินตามอยู่ข้างๆ เล่าถึงความลำบากของตัวเองและคนอื่นๆ ให้เหล่าซุนฟังไม่หยุด แต่ตอนจบสุดท้ายก็ต้องพูดว่าถึงแม้ว่าจะเหนื่อยตายก็คุ้มค่า การเดินทางเข้ามาในภูเขาครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่ยากลำบากที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ตามหาอาจารย์ซุนเจอ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา 

 

เหล่าซุนเอามือเขามาจับชีพจร หยิบเม็ดยาออกจากแขนเสื้อ เอาให้ไฉหลิ่งอู่กลืนลงไป ไม่ต้องดื่มน้ำตาม เพียงแค่กลืนลงไปก็พอ มันมีประโยชน์ในการรักษาท้องร่วง 

 

เมื่อผ่านวัดจินเก๋อ เห็นกำแพงมีร่องรอยไหม้เกรียม ซุนซือเหมี่ยวก็ถอนหายใจแต่กลับไม่ได้หยุดเดิน สายตาของพระภิกษุเหล่านั้นมองมาที่เขาด้วยความเคียดแค้น มันทำให้หัวใจของเหล่าซุนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที 

 

ระหว่างทางที่เดินมา ไม่ได้มีแค่วัดเท่านั้นที่ถูกเผา ยังมีสำนักอีกมากมายที่ถูกเผา เหล่านักบวชลัทธิเต๋าที่ไม่มีที่ไป เมื่อเห็นซุนซือเหมี่ยวพวกเขาต่างพากันร้องไห้โฮขึ้นมา ชี้ไปทางวัดและบอกว่าเหล่าพระภิกษุโหดเ**้ยมแค่ไหน ขอให้ซุนซือเหมี่ยวโปรดช่วยสำนัก ช่วยลัทธิเต๋าที่กำลังเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา ซุนซือเหมี่ยวก็ยังคงไม่พูดไม่จา ขอยารักษาแผลที่ดีที่สุดพันแผลให้พวกเขา และยังไปทำความสะอาดแผ่นจารึกที่ถูกทุบแตกหน้าทางเข้าด้วยตัวเอง ท่ามกลางความช่วยเหลือของเหล่าลูกเศรษฐี ซ่อมแซมบูรณะรูปปั้นทีละชิ้น จากนั้นเขาก็ไปนั่งสมาธิอยู่ในห้องโถงตามลำพังสองชั่วโมง รูปลักษณ์ภายนอกยังคงเหมือนเดิม แต่จิตใจกลับไม่สงบ ไม่พูดไม่จาทั้งวันเหมือนเคย อวิ๋นเยี่ยยกข้าวต้มมาให้ เขาก็กินไปแค่ครึ่งเดียว ไม่มีความอยากอาหาร เทพเซียนเองก็มีเรื่องให้กลุ้มใจไม่รู้จักจบจักสิ้น