เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเจ้าอ้วนน้อยก็เปลี่ยนไปทันที ในใจโกรธเคืองอย่างมาก เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างหน้าเงินเสียจริง นอกจากเขาแล้วในโลกนี้ยังมีคนที่ละโมบขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!
ไม่ใช่แค่เจ้าอ้วนน้อย พอมหาศิษย์แห่งเต๋าด้านนอกได้ยินราคาที่หวังเป่าเล่อประกาศ พวกเขาแต่ละคนก็มองเรือที่ถูกฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่องแล้วก็ทำสีหน้าอัปลักษณ์ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด แต่การถูกคนขู่กรรโชกขนาดนี้และยังดูเหมือนจะไม่จ่ายไม่ได้ด้วยทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าจนปัญญา ขณะเดียวกันก็หงุดหงิดหวังเป่าเล่อเอามากๆ
แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เวลาห้าวันดูเหมือนจะนาน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าทุกครั้งที่เกิดความล่าช้าล้วนทำให้โอกาสไปถึงฝั่งลดลง โดยเฉพาะตอนที่หวังเป่าเล่อเหาะออกจากเรือไปก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ต่อกรด้วยได้ง่ายๆ
หากทุกคนร่วมมือกันก็สิ้นเรื่อง หากสู้ด้วยตัวคนเดียวมองไปทางไหนก็มีแต่ศัตรู และถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันได้ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะช่วยเหลือกันและกัน ถึงจำนวนคนมากจะได้เปรียบ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่พวกเดียวกันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดต่างกัน
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวทุกคนอย่างรวดเร็ว แต่เพราะศักดิ์ศรี ต่อให้มีสนใจก็ไม่มีใครอยากเป็นคนแรกที่ยอมก้มหัวเอ่ยปาก ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไร
เจ้าอ้วนน้อยเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองหวังเป่าเล่อและกำลังจะชวนคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตรงหน้าสักหน่อย ส่วนหวังเป่าเล่อเห็นความลังเลของผู้คนด้านนอกก็แค่นเสียงในใจ ก่อนจะเติมเขื้อเพลิงเข้าไปอีก
“เรือรับคนได้จำกัด เวลาในการช่วยก็มีจำกัด เวลาหนึ่งก้านธูป ข้าจับได้สามสิบครั้งเท่านั้น หากชักช้าจนไม่ได้ขึ้นเรือจะมาโทษข้าไม่ได้นะ!”
ทันทีที่เขาพูดออกมา ทุกคนด้านนอกก็เริ่มลน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวาสนาแห่งโชคจากสุสานดวงดารา พวกเขาต่างดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะได้รับสิทธิ์ครั้งนี้มา จะมาพ่ายแพ้เพราะผลึกสีชาดเพียงหนึ่งแสนเม็ดและต้องกลับไปด้วยความรู้สึกไม่คุ้มค่าได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อได้ยินกำหนดเวลาของหวังเป่าเล่อพวกเขาก็ร้อนใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแทรกมาจากฝูงชน
“ข้าซื้อ! หนึ่ง!”
คนแรกที่เอ่ยคือชายหนุ่มร่างผอม เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้มีไหวพริบ เขาพูดขึ้นมาพร้อมตัวเลข ด้วยวิธีนี้ต่อให้มีคนมากกว่าสามสิบคนกับเขาพูดออกมาพร้อมกัน เขาก็ยังคงได้รับสิทธิ์นั้น
หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ไม่เลวเลทีเดียว สีหน้าเผยรอยยิ้มชื่นชม ขณะที่เขากำลังจะพยักหน้า คนอื่นๆ ต่างก็ร้อนใจ ก่อนที่จะมีเสียงดังกระจายออกไปเป็นวงกว้างทันที
“ซื้อ สอง!”
“ซื้อ สาม!!”
เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เสียงตอบรับราคาของหวังเป่าเล่อก็พุ่งขึ้นไปที่ลำดับ 70-80 แล้ว เพียงแต่การจำกัดตัวเลขที่ 30 ย่อมทำให้หลายคนขัดแย้งกันเอง แม้จะเกิดสายตาฟาดฟันกัน แต่หวังเป่าเล่อก็พอใจกับบรรยากาศร้อนแรงตรงหน้า
เขายืนมีอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข แต่เจ้าอ้วนน้อยกลับตัวสั่นเทิ้ม ตอนนี้เขาเองก็เริ่มตอบสนองบ้างแล้วไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเขายังงกไม่ยอมจ่ายต่อไปก็จินตนาการจุดจบของตัวเองไว้ได้เลย ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนด้านนอกนับตัวเลขกันหยิบบัตรผลึกสีชาดออกมาจากกระเป๋าทันทีอย่างไม่ลังเล ก่อนจะโยนให้หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว
“สหาย เจ้าคือคนที่มีเมตตาที่สุดในโลก เพื่อสนับสนุนเจ้า ข้าโจวหลินเฟิงเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นคนแรก! “
หลังจากรับบัตรผลึกสีชาดไป หวังเป่าเล่อก็เหลือบมองเจ้าอ้วนน้อยราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด
“หวังว่าทุกคนบนโลกจะเข้าใจข้าได้อย่างเจ้า ข้าเซี่ยต้าลู่จะละโมบอยากได้เงินเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร ข้ากำลังช่วยพวกเจ้าอยู่ต่างหาก เพียงแต่วิถีเต๋าสวรรค์ส่งผลเสียต่อเต๋ามนุษย์ ข้ากำลังต่อต้านสวรรค์ จำเป็นต้องใช้สิ่งของนอกกายต้านทานภัยที่มองไม่เห็น”
ขณะมองอารมณ์เล่นใหญ่ของหวังเป่าเล่ออยู่ เจ้าอ้วนน้อยก็หน้ากระตุกและแอบพูดในใจว่าคนผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว คำพูดก็น่าขยะแขยงยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงทำสีหน้าจริงใจและพยักหน้าไม่หยุด
พวกหลี่หลินจื่อที่อยู่บนเรือเห็นว่าเขายังสามารถหาเงินได้มากในสถาณการณ์เช่นนี้ แม้จะรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อมีสถานะพิเศษบนเรือลำนี้ แต่ใจก็ยังอดเต้นแรงไม่ได้ โดยเฉพาะหลี่หลินจื่อ เขาไม่ได้ต้องการเงิน แต่รู้สึกว่าหากตัวเองเป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้สร้างบุญคุณกับทุกคน หากทำได้ ในอนาคตคงจะได้รับความช่วยเหลือตอบแทน
“เจ้าโง่ การสานสัมพันธ์ต่างหากที่สำคัญที่สุด!” หลี่หลินจื่อหรี่ตา ตอนนี้เขาไม่อยากทำให้หวังเป่าเล่อขุ่นเคืองมากนักจึงปัดความคิดที่จะด่าอีกฝ่ายออกไป ถึงอย่างไรผู้คนด้านนอกก็ไม่ได้โง่ หากเขามีวิธีทำให้ทุกคนขึ้นเรือมาได้บ้างละก็พฤติกรรมอันน่ารำคาญเช่นนั้นของหวังเป่าเล่อก็มีแต่จะเป็นผลดีต่อเขาไปโดยปริยาย
แต่หากไม่มีวิธีให้พวกเขาเข้ามา ทำได้เพียงแค่พูด ความกังขาต่อการให้ความช่วยเหลืออันว่างเปล่าก็จะเกิดขึ้นล้นหลาม ไม่เพียงจะไม่บรรลุเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น แต่ยังจะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามอีกด้วย
คิดได้เช่นนี้ เขาก็ลุกขึ้นและพูดกับผู้คนด้านนอกทันที
“สหายทั้งหลาย ข้าหลี่หลินจื่อจากสำนักเมฆาเยือกแข็ง ทุกคนอย่าเพิ่งรีบร้อนจ่ายเงิน ข้าอยากจะลองดูสักหน่อยว่าคนที่อยู่บนเรือแล้วอย่างพวกข้าสามารถเชิญคนอื่นขึ้นได้อย่างเซี่ยต้าลู่หรือไม่”
“สหายทุกท่าน หากข้าทำสำเร็จ ข้าจะไม่ขอสิ่งใดตอบแทน การนี้ได้ทำให้สหายเซี่ยขุ่นเคืองแล้ว ดังนั้นหากข้าทำไม่สำเร็จ สหายทุกท่านโปรดอย่าตำหนิข้าเลย”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่หลี่หลินจื่อพูด ทุกคนด้านนอกก็ตอบรับทันที คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและจริงใจจนแม้แต่หวังเป่าเล่อยังหรี่ตามองหลี่หลินจื่อ เขาเข้าใจความคิดของคนคนนี้ได้ในชั่วพริบตา
“จะทำได้หรือไม่ก็ล้วนเอาดีเข้าตัวได้ คิดจะสร้างรากฐานการสานสัมพันธ์หรือ กลเม็ดของเจ้าหลี่หลินจื่อไม่เลวเลย” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ดวงตาของหลี่หลินจื่อก็เป็นประกาย หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้คนภายนอก เขาก็หันหน้ามากำปั้นคำนับหวังเป่าเล่อ
“สหายเซี่ย โปรดอย่าขัดขวางความพยายามของข้าเลย!”
ประโยคนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอยากบีบคออีกฝ่ายอยู่ในใจลึกๆ คำพูดของหลี่หลินจื่อร้ายกาจนัก หากไม่ใช่ก็แล้วไป ความโกรธที่คนอื่นมีต่อหวังเป่าเล่อแม้จะไม่ลดน้อยลง แต่ก็จะไม่เพิ่มขึ้นอยู่ดี
แต่ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะตอบอย่างไรล้วนผิดทั้งนั้น หากเขาขัดขวางก็ย่อมเพิ่มความโกรธของผู้คน หากเขาไม่ขัดขวางก็จะกลายเป็นการให้หลี่หลินจื่อสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นแทน
“เจ้าหลี่หลินจื่อหัวไวชะมัด!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ความจริงการดึงคนอื่นขึ้นเรือเพื่อสานสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งที่เขาเคยคิดมาก่อน แต่เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ทั้งมั่นคงและเปราะบางที่สุดในโลก ที่บอกว่ามั่นคงก็เพราะทันทีที่มีการแลกเปลี่ยนกัน ก็จะต้องแลกเปลี่ยนกันไปตลอดชีวิต
การแลกเปลี่ยนแบบนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าอารมณ์ความรู้สึก คุณค่า และผลประโยชน์
ส่วนที่บอกว่าเปราะบางก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันก็จะเป็นเพียงบุปผาในคันฉ่อง[1]เท่านั้น มีผลเพียงน้อยนิดและกลายเป็นความล้มเหลวได้มากกว่า!
ดังนั้นแค่ดึงคนอื่นขึ้นเรือเพื่อสร้างสัมพันธ์ ยังถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่มากพอ ทันทีที่ทำเช่นนั้นก็เท่ากับกำหนดบุคลิกของตัวเองไว้แล้ว ต่อไปก็ต้องพยายามทำตัวเช่นนั้นไปตลอด
หากหวังเป่าเล่อเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ทรงพลังจริงๆ เขาย่อมมีศักยภาพพอที่จะทำได้ และมีวิธีทำให้เรื่องนี้จบลงอย่างสวยงาม แต่เขาไม่ใช่
ทรัพยากรที่มาอยู่ในมือเขาได้ถึงจะถือเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้!
ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการกระทำเช่นนี้ของหลี่หลินจื่อ หวังเป่าเล่อจึงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและไม่พูดอะไร หลี่หลินจื่อที่กำลังภูมิใจจึงก้าวออกไปและลองดึงคนเข้ามาในเรือ
และแน่นอนว่าจุดจบก็คือความล้มเหลว แม้ในใจหลี่หลินจื่อจะหดหู่ แต่ถึงจะล้มเหลว คำพูดก่อนหน้านี้ก็คงจะมีผลอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ ทำได้แค่สร้างรากฐานเล็กๆ เท่านั้น
เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นทันที
“จ่ายผลึกสีชาดให้ข้าสิบล้านเม็ด แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าดึงคนข้างนอกเข้ามาให้หมดดีไหม” คำพูดนี้ร้ายกาจกว่าคำพูดของหลี่หลินจื่อก่อนหน้านี้เสียอีก หลังจากพูดออกไป ร่างของหลี่หลินจื่อก็สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเขาดูน่าเกลียดในฉับพลัน จิตใจเขาก็พลันสับสน เขาไม่ยอมจ่ายสิบล้านเม็ดเพื่อแลกกับการสานสัมพันธ์อยู่แล้ว เพราะเขาคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเสียเลย ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงและเมินหวังเป่าเล่อ แล้วจึงหันไปกำมือคำนับทุกคนด้านนอก
“สหายทุกท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วย แต่เงินไม่พอจริงๆ …”
แม้จะมีการตอบรับ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าด้านนอกมีท่าทีเย็นชาขึ้น ทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้ความคิดของหลี่หลินจื่อดี หากหลี่หลินจื่อทำสำเร็จก็แล้วไป แต่หากไม่สำเร็จอย่างตอนนี้ก็ย่อมไร้ประโยชน์กับพวกเขา
แต่คำพูดของหวังเป่าเล่อกลับมีน้ำหนักขึ้นมาทันที
ถึงราคาที่เขาเสนอจะสูง แต่อย่างน้อยเขาก็ทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ในช้าการแลกผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ดก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เหลือบตามองหลี่หลินจื่อแล้วแอบส่ายหน้า หากอีกฝ่ายตกลงขึ้นมาจริงๆ เขาจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนคนคนหนึ่ง แต่พอดูอย่างนี้แล้วก็เป็นแค่การพูดเอาใจสาธารณชนเท่านั้น
………………………………………………..
[1] บุปผาในคันฉ่อง หมายถึง สิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้