ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกปี
สตรีชุดเขียวและเด็กหนุ่มชุดขาวไม่ได้เดินทางกลับขึ้นเหนือไปพร้อมกับขบวนใหญ่ แต่กระโดดลงจากเรือข้ามฝากที่เมืองหงจู๋
จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเท้ากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน
พวกเขาก็คือหร่วนซิ่วและชุยตงซาน
ในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งของเมืองหงจู๋ ชุยตงซานที่ว่างจัดจึงหาข้ออ้างหยอกเย้าลูกค้ากลุ่มหนึ่งเล่น
ลูกค้าคนหนึ่งในนั้นโดนปั่นหัวจนโมโห ไม่ทันสนใจว่าข้างกายเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวยังมีแม่นางหน้าตางดงามชวนให้คนหลงใหลยืนอยู่ด้วย เขารีบพูดอย่างร้อนใจว่า “เห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดี ยังไม่อนุญาตให้ข้าอิจฉา? เห็นคนอื่นมีชีวิตไม่เป็นสุข ยังไม่อนุญาตให้ข้าเบิกบานใจ? เจ้าเป็นใครกัน มายุ่งอะไรด้วย?”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ได้ๆๆ นี่คือนิสัยที่ดี อย่าเปลี่ยนๆ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่พ่อแม่เจ้าสักหน่อย เจ้ามีนิสัยดีๆ แบบนี้แล้วข้าจะต้องพูดโน้มน้าวให้เจ้าเปลี่ยนนิสัยไปทำไม?”
หร่วนซิ่วทั้งไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจ
ชุยตงซานเห็นว่านางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเปิดแล้วเริ่มกินขนมอีกครั้งก็รีบพานางจากไป พลางพูดบ่นเบาๆ ไปด้วย “ช่วยอย่ามากินเจ้านี่ต่อหน้าข้าได้ไหม? เจ้าเอาขนมนี่ออกมาทีไร ข้าใจคอไม่ดีทุกที”
ดวงตาหร่วนซิ่วเป็นประกาย “เจ้ารู้หรือ?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างระอาใจ “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเป็นขอบเขตบินทะยาน แม้ว่าสภาพการณ์ของข้าในตอนนี้จะน่าอนาถไปสักหน่อย แต่วิสัยทัศน์ก็ยังมีอยู่บ้าง อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้าใจรากฐานของคนอย่างพวกเจ้าได้ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ข้าจะไม่รู้ได้หรือ?”
หร่วนซิ่วยิ้มบางๆ
ยามที่อยากกินอาหารเลิศรสที่แท้จริงบนโลก แต่กลับกินเข้าไปไม่ได้ ควรจะทำอย่างไร? นางเลยคิดหาวิธีอื่น นั่นคือกินอย่างอื่นแทน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้กินเลย
คนทั้งสองออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง ระหว่างทางก็ผ่านภูเขาฉีตุน
คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนยอดเขา ชุยตงซานทอดสายตามองไกลไปทางทิศใต้
ฮ่องเต้ต้าหลี อันที่จริงควรเรียกว่าอดีตฮ่องเต้แล้ว
อีกไม่นานข่าวนี้ก็จะเป็นดั่งกระดาษที่ห่อไฟไม่อยู่ และคนในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็จะรับรู้ข่าวนี้กันอย่างรวดเร็ว
ทายาทสกุลซ่งต้าหลี ในบรรดาองค์ชาย แน่นอนว่าชื่อเสียงของซ่งเหอย่อมมีมากที่สุด ซ่งมู่องค์ชายที่ราวกับหล่นลงมาจากฟ้าผู้นั้นไร้รากฐานไร้ที่พึ่งในราชสำนัก กองงานฝ่ายเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ต้าหลีเก็บงำเรื่องนี้ไว้อย่างลึกล้ำ ไม่มีใครกล้าแพร่งพรายออกมาแม้แต่ครึ่งคำ และหากมีใครที่เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็จะหายไปจากโลกนี้เหมือนไอร้อนที่ระเหิดหายไป หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกผู้เฒ่าหลายคนในกองงานฝ่ายเชื้อพระวงศ์ที่ไม่อาจข้ามผ่านความร้อนแผดเผาและความหนาวเหน็บทรมานไปได้ สุดท้ายก็ต้อง ‘ป่วยตายไป’
เมื่อฮ่องเต้ ‘สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังหนุ่ม’
ความจริงจึงถูกกุมอยู่ในมือของคนสามคนเท่านั้น เหนียงเนียงที่ถูกเนรเทศให้ไปฝึกตนอยู่ที่ตำหนักฉางชุน เสด็จแม่แท้ๆ ขององค์ชายทั้งสอง ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ชุยฉานซิ่วหู่ผู้ช่วยประคับประคองแว่นแคว้น
คนหนึ่งได้ยึดครองหลักธรรมเนียมและระบบสายเลือดที่ถูกต้อง อีกคนหนึ่งควบคุมกองทัพต้าหลีทั้งหมด อีกคนหนึ่งคือราชครูที่ช่วยวางแผนให้แก่ต้าหลีมานานนับร้อยปี
คนทั้งสามยังคงสามารถรักษาสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างราชสำนักและบนภูเขาล่างภูเขาของต้าหลีเอาไว้ได้
ก่อนหน้าที่จะยึดครองราชวงศ์จูอิ๋งมาได้ก็ห้ามเกิดปัญหาใดๆ เด็ดขาด
หลังจากที่ยึดครองมาได้แล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหนียงเนียงผู้นั้นจะต้องลำเอียงเข้าข้างซ่งเหอที่เติบโตมาข้างกายตัวเองตั้งแต่เด็กอย่างสุดจิตสุดใจ และในความเป็นจริงแล้วซ่งเหอก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในสำนักของเจ้าตะพาบเฒ่า
ซ่งมู่ หรือควรจะเรียกว่าซ่งจี๋ซิน กลับเป็นลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน
ทว่าคนที่จะสามารถตัดสินใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีได้อย่างแท้จริง มีเพียงคนเดียว ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง
ต่อให้เขาจะไม่พอใจกับการทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วขึ้นมาเป็นฮ่องเต้เสียเอง เจ้าตะพาบเฒ่าก็ยินดี เพราะนี่ก็คือหนึ่งในผลลัพธ์ที่ ‘ซิ่วหู่’ ทั้งแก่และหนุ่มวางไว้ตั้งแต่ปีนั้น
แต่หากดูจากตอนนี้ ปณิธานของซ่งจ่างจิ้งไม่อยู่ที่เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงถอดเสื้อเกราะ หันมาสวมชุดคลุมมังกรตั้งนานแล้ว
ลมภูเขาโชยมาเป็นระลอก พัดพาเอากลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าต้นฤดูใบไม้ผลิลอยตามลมมาด้วย
ชุยตงซานหรี่ตาลง
ช่างซวยซ้ำซวยซ้อนซวยแปดชาติจริงๆ มีใจอยากปักบุปผา บุปผาไม่บาน ไร้ใจจะปักกิ่งหลิว ต้นหลิวกลับงอกงาม ก่อนหน้านี้ตอนอยู่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็แค่พูดถึงเรื่องเส้นสายกับอาจารย์ไปอย่างนั้นเอง ผลกลับกลายเป็นว่าเกือบจะหลงเข้าไปบนมหามรรคาของเจ้านักพรตจมูกโคผู้นั้น
ชุยตงซานตบปากตัวเองฉาดใหญ่
แล้วยังมีแผนการที่ผู้เฒ่าเหยาเก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้ำนั่นอีก หยางเหล่าโถวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเรื่องจึงยิ่งลุกลามไปใหญ่โต
ชุยตงซานตบบ้องหูตัวเองอีกที
สำหรับเรื่องนี้ หร่วนซิ่วเคยชินมานานแล้ว
ชุยตงซานชำเลืองตามองไปที่หน้าผาแวบหนึ่ง คิดแล้วก็รู้สึกว่าช่างมันเถอะ กระโดดลงไปก็ไม่ตายหรอก แต่จะต้องขายหน้าอย่างมาก
ชุยตงซานพลันแสยะเขี้ยวกางเล็บ สบถด่าเสียงดัง “เจ้าตะพาบเฒ่า แพ้ก็แพ้สิ ข้ากับอาจารย์ล้วนยอมรับ! แต่เจ้าไม่ควรไร้มโนธรรมพูดเรื่องการช่วงชิงของวิญญูชนกับผายลมสุนัขอะไรนั่น! ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว อาจารย์ของข้าแพ้อนาถขนาดนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมาในทะเลสาบซูเจี่ยน ยังต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง นั่นก็ไม่ต่างจากเจ้าเล่นหมากล้อมกับคนตาย การช่วงชิงของวิญญูชน ช่วงชิงกับท่านปู่เจ้าสิ เจ้าไสหัวออกมาเลยนะ ให้ข้าได้ตบปากเจ้าสักสองฉาดใหญ่ๆ ดูสิว่าในปากสุนัขของเจ้าจะมีงาช้างงอกออกมาได้หรือไม่…”
หร่วนซิ่วหัวเราะจนตาหยี
ชุยตงซานกลืนน้ำลาย เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้า กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พระจันทร์คืนนี้กลมโตจริงๆ”
ที่แท้ข้างกายเขาก็มีผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่ ซึ่งก็คือราชครูชุยฉาน
ชุยตงซานหันหน้ามาช้าๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? บังเอิญอะไรขนาดนี้?”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “ทำไมไม่พูดว่ายามที่บุปผาร่วงโรย ได้พบเจ้าคนคุ้นเคย*(ประโยคหนึ่งจากบทกลอน)*ด้วยเล่า?”
ในเมื่อโดนจับได้แล้ว ชุยตงซานก็ไม่สนอะไรอีก เขาชี้หน้าชุยฉาน เต้นผางสบถด่า “เจ้าตะพาบเฒ่า ทำไม ไม่ยอมงั้นหรือ มีประโยคไหนที่ข้าพูดไม่ถูกบ้าง? หากเจ้าบอกได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ชุยเหมือนเจ้า เจ้าก็คือหลานของข้า!”
หร่วนซิ่วส่ายหน้า
คนที่รนหาที่ตายแล้วยังกล้าเปลี่ยนลูกไม้มาหาที่ตายแบบนี้ เคยพบเห็นมาไม่เยอะจริงๆ
ชุยฉานกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ปีนั้นตอนที่อยู่บนหอสูงของนครน้ำบ่อริมทะเลสาบซูเจี่ยน เขาก็พอจะเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง
ชุยฉานชี้ไปทางทิศใต้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเส้นสายตามองไปทางทิศตะวันตก “รู้หรือไม่ว่ากระดานหมากที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?”
ชุยตงซานขมวดคิ้ว “แผ่นดินกลาง? ซิ่วไฉเฒ่ามีวิธีการอะไรบางอย่างงั้นหรือ?”
ชุยฉานหัวเราะหยัน “ตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่งเท่านั้น”
ชุยตงซานร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วตบไหล่ชุยฉาน “ไหนตะพาบเฒ่าที่ปีนขึ้นมาบนปากบ่อลองพูดให้กบที่อยู่ใต้บ่ออย่างข้าฟังหน่อยสิ?”
ชุยฉานสะบัดมือของชุยตงซานออก เอ่ยเนิบช้าว่า “กระดานหมากของข้ากับฉีจิ้งชุนคือใต้หล้า ใต้หล้าทั้งหมด ทะเลสาบซูเจี่ยนที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกแห่งเดียวจะนับเป็นอะไรได้?”
ต่อให้เป็นชุยตงซาน เวลานี้ก็ยังรู้สึกว่าเส้นหัวใจถูกดีดให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หร่วนซิ่วไม่ไปคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางคร้านจะสนใจ
ชุยฉานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ข้าจะบอกแค่นี้แหละ เจ้ารอดูไปก็แล้วกัน แต่ต่อให้เป็นเจ้าก็ยังต้องรออีกนานหลายปีถึงจะเข้าใจกุญแจสำคัญของสถานการณ์หมากครั้งนี้ ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่เป็นคนในสถานการณ์ ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานช่วงหนึ่ง หรืออาจถึงขั้นชั่วชีวิต เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าปีนั้นเขาทำอะไรลงไปกันแน่”
ชุยตงซานไม่มีท่าทางถากถางเยาะเย้ยอะไรอีกแล้ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียด พูดเสียงหนัก “ชุยฉาน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอดู!”
ร่างของชุยฉานพุ่งวูบหายไป
ชุยตงซานทอดถอนใจหนึ่งที
แล้วออกเดินทางไปพร้อมหร่วนซิ่วต่ออีกครั้ง
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกตลอดทาง
เพียงแต่ว่าพอเข้าไปในอาณาเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีฝนเม็ดบางๆ ตกลงมาพร้อมอากาศขมุกขมัว
ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ชุยตงซานจะอารมณ์ดีขึ้นมา เขายื่นมือออกไปรองรับน้ำฝน พึมพำเบาๆ ว่า “ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา ดอกซิ่งเบ่งบานสายฝนพร่างพรม”
…….
ท่ามกลางกลุ่มเทือกเขาที่อยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน
จากฤดูใบไม้ผลิก็เข้าสู่ฤดูร้อนอีกครั้ง
คนทั้งกลุ่มถึงเพิ่งจะเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ได้ครบถ้วน
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสองครั้งก่อนหน้านี้ ได้มีกู้ช่านมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
ดังนั้นยิ่งเดินทางก็ยิ่งเชื่องช้า ยิ่งพบเจอกับอุปสรรคปัญหา
ส่วนความขัดแย้งระหว่างพวกผู้ฝึกตนผีผู้ฝึกตนนอกรีตเจ้าถิ่นทั้งหลาย เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้วกลับไม่เจ็บไม่คัน
ในอาณาเขตแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋ง ไฟสงครามได้กระจัดกระจายไปทั่วแล้ว
การเดินทางครั้งนั้น แม้แต่เจิงเย่ก็ยังค้นพบความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาภูตผีสัตว์ประหลาดที่ท่องอยู่ตามกลุ่มเทือกเขา ขอแค่ท่านเฉินปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพวกมันแล้วเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย พวกมันก็จะต้องเกิดความเคารพยำเกรงท่านเฉินกันแทบทุกตน บางส่วนที่ขี้ขลาดหน่อยก็ยิ่งถอยหนีวิ่งแตกฮือไปโดยตรง
ส่วนกู้ช่านยิ่งนานวันก็ยิ่งพูดน้อย ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ระหว่างนี้กู้ช่านก็เคยเกิดความหวาดกลัว ดิ้นรน โกรธแค้น และยังมีถึงสองครั้งที่เกือบจะเลือกละทิ้งความตั้งใจเดิม
ท่านเฉินที่เปลี่ยนจากชุดผ้าฝ้ายสีเขียวมาสวมเสื้อสีเขียวตัวบางแล้วก็กลับมาสวมชุดผ้าฝ้ายอีกครั้งไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายกู้ช่าน บางครั้งก็เอ่ยถ้อยคำบางอย่าง บางครั้งก็เงียบงัน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอิสระ ผู้ฝึกตนผีที่คิดจะฆ่าคนชิงทรัพย์ทั้งหลาย บ้างก็ออกหมัด บ้างก็ออกกระบี่
ทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอ จิตวิญญาณแกว่งไกว ทว่าการออกหมัดออกกระบี่ในแต่ละครั้งกลับรวดเร็วอย่างถึงที่สุด
บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ต่อให้เป็นอาวุธกึ่งเซียนที่มีชื่อว่า ‘เจี้ยนเซียน’ เล่มนั้นก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนว่าง่าย ทุกครั้งที่ออกจากฝักหรือก่อนจะกลับเข้าฝักก็จะต้องบินอ้อมวนอยู่รอบกายเจ้าของ ทิ้งกระแสลมปราณให้ไหลวนอย่างเชื่องช้า ประหนึ่งนกน้อยที่แอบอิงคน
สิ้นปีของปีนี้
ระหว่างที่เดินทางกลับ
ในที่สุดก็เจอกับหิมะตกหนักที่ใหญ่เท่าขนห่าน
และท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชย พวกเขาก็ย้อนกลับคืนมาที่ทะเลสาบซูเจี่ยน
บนภูเขาสูงแห่งหนึ่งพอจะมองเห็นน้ำทะเลสาบสีเขียวมรกตได้เลือนราง
กู้ชานพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ต่อจากนี้ให้ข้าเดินทางไปด้วยตัวเองเถิด”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองกู้ช่านที่มีสายตาเด็ดเดี่ยว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คิดดีแล้วหรือ? อาจตายได้นะ ข้าสามารถเดินทางเป็นเพื่อนเจ้าได้อีกหนึ่งปี”
กู้ช่านส่ายหน้า “แค่นี้ก็พอแล้ว!”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของเขา
กู้ช่านเอ่ย “แต่ถ้าหากมีวันหนึ่ง ข้าพูดว่าถ้าหาก เจ้าเฉินผิงอันถูกคนฆ่าตาย ข้าจะต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยไปฆ่าคนทั้งครอบครัวของเขา ไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาออกมา ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ไม่มีเจ้าคอยคุมข้าแล้ว แล้วเจ้าก็ด่าข้าไม่ได้ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างระอาใจ
เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ที่ได้ยินกลับอกสั่นขวัญผวา
ต้องรู้ว่าหลังจากที่กู้ช่านตัดสินใจฝึกตน ความเร็วในการฝึกตนของเขาก็เร็วจนทำให้หม่าตู่อี๋รู้สึกว่าตัวเองคือคนขาเป๋ที่เดินอยู่บนถนน กู้ช่านไม่ได้เดินเลยสักนิด อย่างเขาต้องเรียกว่าโดยสารเรือข้ามฝากตระกูลเซียนแล้ว
เพราะตอนนี้กู้ช่านเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว อีกทั้งใกล้จะฝ่าทะลุคอขวดเต็มที
เฉินผิงอันจึงแยกย้ายกับพวกกู้ช่านตรงนี้ เขาขี่ม้าไปเพียงลำพัง บอกว่าจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือ แต่วันใดอาจจะโดยสารเรือตระกูลเซียนกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนให้เร็วหน่อย
หนึ่งคนหนึ่งม้า
เดินทางผ่านริมอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน เดินเข้าไปในอาณาเขตของแคว้นสือหาว
มักจะมีคนผ่านทางได้เห็นจอมยุทธพเนจรชุดเขียวที่สะพายกระบี่อยู่เป็นประจำ ทั้งคนและม้าต่างก็ผอมแห้งราวกับต้นไผ่ลำหนึ่ง ทว่าคนหนุ่มที่ขี่อยู่บนหลังม้ากลับมีดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า
หลังจากนั้นมา เฉินผิงอันก็ไม่ขี่ม้าอีก แต่เดินช้าๆ ขึ้นเหนือไปแทน
เพียงไม่นานม้าผอมแห้งก็กลับคืนมาแข็งแกร่งกำยำ เพียงแต่ว่าเจ้าของของมันยังคงผอมอยู่อย่างนั้น
วันนี้เฉินผิงอันจูงม้าเดินไปบนถนนดินเส้นหนึ่ง เดินผ่านแปลงปลูกดอกน้ำมันที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เฉินผิงอันหยุดเดิน ม้าตัวนั้นที่จิตใจเชื่อมโยงกับเขาก็หยุดขยับกีบม้าแทบจะเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนคันดิน ส่วนม้าก็เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายเขา
เฉินผิงอันเกาหัว ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก จากนั้นก็กอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในอ้อมอก “อาจารย์ฉี ท่านไม่อยู่แล้วจริงๆ หรือ ข้ายังนึกว่าจะสามารถได้พบท่านอีกสักครั้ง”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
ก็ดีเหมือนกัน หากเห็นสภาพน่าสังเวชของตนในเวลานี้ ไม่แน่ว่าเขาคงไม่ได้เป็นแม้แต่ศิษย์น้องเล็กของอาจารย์ฉีกระมัง?
……
ในค่ำคืนที่เกิดพายุหิมะของปีหนึ่ง บนทางสะพานไม้เลียบริมหน้าผา
หลังจากนายท่านไป๋พร้อมกับสาวใช้คนหนึ่งแยกทางกับเด็กหนุ่มผู้นั้น และสาวใช้คนนั้นก็หางขาดไปหนึ่งหางแล้ว
บนสะพานไม้ก็มีชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาคลี่ยิ้มบางๆ รอคอยอยู่
ตอนนั้นนายท่านไป๋แย้มยิ้มเอ่ยว่า “ดีนักนะ ตอนอยากพบเจ้า เจ้าไม่ปรากฏตัว แต่ตอนที่ไร้ความหวังว่าจะได้พบเจ้า เจ้ากลับมาหาเองเสียนี่”
ปีศาจจิ้งจอกใหญ่ที่แต่งกายเหมือนสตรีชาววังตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว เป็นฝ่ายเดินห่างไปจากคนทั้งสอง ทิ้งระยะห่างมาไกล
ก่อนที่ชาวลัทธิขงจื๊อชุดเขียวจะแยกย้ายกับไป๋เจ๋อ เขาได้ยื่นลูกน้ำทรงกลมที่รวบรวมแก่นของโชคชะตาน้ำลูกหนึ่งให้แก่ไป๋เจ๋อเบาๆ พลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อีกหลายปีให้หลัง อาจจะสองสามปี หรืออาจจะสี่ห้าปี ตอนนี้ข้ายังไม่อาจระบุเวลาที่แน่ชัดได้ ดังนั้นจึงต้องขอรบกวนนายท่านไป๋ช่วยคอยสังเกตให้หน่อย เมื่อเห็นแล้ว นายท่านไป๋ค่อยตัดสินใจ”
ไป๋เจ๋อสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตอบรับ แล้วรับสิ่งนั้นมา
เพราะชาวลัทธิขงจื๊อท่านนี้ก็คือฉีจิ้งชุน
ดังนั้นเมื่อมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตอนที่อยู่ริมลำคลองใหญ่ใกล้กับนครจักรพรรดิขาว ไป๋เจ๋อถึงได้พูดกับผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ผู้นั้นว่า ‘ขอข้าดูอีกหน่อย’
บนเกาะที่ตั้งตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวนอกมหาสมุทร
หลังจากมองส่งจ้าวเหยาจากไป
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อยื่นน้ำถ้วยหนึ่งส่งให้กับบัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ผิดหวังต่อโลกมนุษย์อย่างถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอเดิมพันกับท่านอาจารย์แล้ว”
บัณฑิตผู้นั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ “คนอื่นคงไม่ได้ แต่ให้เดิมพันกับเจ้าฉีจิ้งชุน ย่อมได้”
ดังนั้นหลังจากที่ฉีจิ้งชุนจากไป บัณฑิตคนนั้นจึงไม่คิดจะพบผู้อำนวยการใหญ่สายของหย่าเซิ่งเช่นกัน
เขาเองก็จะคอยดู
สุดท้ายที่แคว้นไฉ่อี การพบกันครั้งสุดท้าย แล้วก็เป็นการจากลาครั้งสุดท้าย
ฉีจิ้งชุนยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า จะต่อยหมัดเป็นเพื่อนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย
เด็กหนุ่มออกหมัด
ฉีจิ้งชุนที่อยู่ด้านข้างก็ออกหมัดอย่างผ่อนคลาย ทว่าในใจกลับเอ่ยช้าๆ ว่า “ศิษย์น้องเล็ก ลำบากเจ้าแล้ว ภาระยิ่งใหญ่ขนาดนี้กลับถูกข้านำไปวางไว้บนบ่าของเจ้าด้วยตัวเอง ขอโทษนะ”
นาทีนั้นเด็กหนุ่มเพียงแค่ปล่อยหมัดออกไปด้วยความเสียใจ
โดยที่ไม่รู้เลยว่า อาจารย์ฉีที่ตัวเองเคารพนับถือที่สุดน้ำตาไหลอาบใบหน้า ในใจเต็มไปด้วยความละอาย
……
ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ไป๋เจ๋อออกมาจากหอพิทักษ์เมือง เป็นฝ่ายมาเยือนศาลบุ๋นดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อด้วยตัวเอง
บัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในใต้หล้าขี่กระบี่เดินทางไกลมาอย่างสง่างาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเซียนกระบี่ของใต้หล้าแห่งใด ก็ไม่มีใครเทียบข้าได้ติด
ส่วนแจกันสมบัติทวีปกลับมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งหลับอยู่บนหลังม้า
บุปผาผลิบานบนคันดินอีกครั้ง ท่านอาจารย์หวนคืนกลับไปอย่างเชื่องช้า