เซี่ยอู๋เฉียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
พวกเขาใช้การโจมตีทางจิตวิญญาณเหมือนกัน หลิงฮันทำได้เพียงให้วิญญาณล่าถอย แต่การโจมตีของเขาสามารถทำให้วิญญาณสลายไป นี่แสดงให้เห็นถึงความแต่งต่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง
หลิงฮันชำเลืองมองด้วยท่าทีดูถูก ทักษะจิตเจ็ดสังหารเมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้ด้วยพลังเต็มที่ เขาแค่ต้องการทดสอบพลังของวิญญาณเท่านั้น
แต่ในความคิดของเซี่ยอู๋เฉียนคือหลิงฮันนั้นอ่อนแอกว่าตนเอง
หลิงฮันเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย หลังจากที่ยุบกลุ่มแล้ว เขาจะทำให้อีกฝ่ายเห็นแน่นอนว่าใครกันแน่ที่เหนือว่าจนอีกฝ่ายต้องรู้สึกอัปยศไปเอง
“วิญญาณเมื่อครู่คืออะไรกัน?” เส้าซือซือเอ่ยถาม
นางเป็นสตรีแถมยังงดงาม ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยถามเรื่องที่ไม่รู้ออกมา ในทางกลับกัน ถ้าเป็นบุรุษคนอื่นในกลุ่มที่มีเรื่องที่ไม่รู้ พวกเขาคงไม่มีทางเอ่ยปากถามขึ้นมาง่ายๆแน่ อัจฉริยะเช่นพวกเขาจะยอมเสียหน้าได้อย่างไร?
ทุกคนนิ่งสนิทเนื่องจากไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าวิญญาณเมื่อครู่คืออะไร
หลิงฮันถอนหายใจและกล่าว “วิญญาณเมื่อครู่มีอาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“ว่าไงนะ!” ทุกคนอุทานออกมา ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอย่างไร?
“หลิงฮัน เจ้าอย่างสร้างเรื่องให้คนอื่นตกใจ!” เซี่ยอู๋เฉียนแย้งทันที
หลิงฮันคร้านจะมองไปยังอีกฝ่ายและกล่าวต่อ “ช้าไม่ได้คาดเดามั่วๆ วิญญาณเมื่อครู่สมควรเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพ”
วิญญาณเมื่อครู่ทำให้เขานึกถึงจักรพรรดิจอมอสูรที่เป็นสิ่งมีชีวิตไร้กายหยาบและมีความสามารถในการคุกคามจิตวิญญาณ
แต่วิญญาณเมื่อครู่ดูแล้วไม่น่ามีสัญชาตญาณ มันโจมตีราวกับเป็นเพียงเครื่องจักรไร้ชีวิต ถ้าหากเปลี่ยนจากวิญญาณเมื่อครู่เป็นจักรพรรดิจอมอสูรอาจจะทำพวกเขาปวดหัวได้
“ดินแดนใต้พิภพ!”
พวกเขานั้นนับว่าชคีมากที่จักรวาลของพวกเขามีกำแพงกั้นสองโลกที่แข็งแกร่งไร้ช่องโหว่ และเพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงไม่เคยประจันหน้ากับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเลยสักครั้ง พวกเขาเพียงเคยได้ยินเรื่องราวมาเท่านั้น
ขนาดปรมาจารย์สามวิถียังปลดตัวออกมาจากสนามรบสองดินแดน แม้แต่ปรมาจารย์เช่นนั้นยังไม่สามารถจัดการผู้บุกรุกจากดินแดนใต้พิภพได้ แสดงให้เห็นว่าดินแดนใต้พิภพแข็งแกร่งขนาดไหน
“น้องชายหลิงแน่ใจรึ?” ใบหน้าของซู่จิงเคร่งเครียด ถ้าวิญญาณนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจริงๆคงจะไม่ดีแน่ แม้วิญญาณเมื่อครู่จะอ่อนแอ แต่บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนอื่นที่แข็งแกร่งอยู่ก็ได้
นั่นมันถึงในจักรวาลของพวกเขามีสนามรบสองดินแดน!
สงคราม ต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่แน่!
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ต่อให้วิญญาณนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจริงๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสนามรบสองดินแดน บางทีผู้สร้างสุสานแห่งนี้อาจจะเป็นคนนำสิ่งมีชีวิตใต้พิภพมาเองก็ได้”
ใช่ว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้สร้างสุสานแห่งนี้สมควรจะตายไปนานแล้ว สิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เขาจับมาจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้เลยรึ?
หลิงฮันส่ายหัว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีทางหาคำตอบได้ คิดไปก็เสียเวลา
วิญญาณที่ปรากฏออกมานั้นโง่เขลาไร้สติปัญญา ดังนั้นพวกเขาตึงโจมตีวิญญาณตนอื่นๆที่เหลืออยู่ด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณ
วิญญาณเหล่านี้แปลกประหลาดมาก หลังจากถูกสังหารสภาพของพวกมันจะสลายกลายเป็นหมอกและจางหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว
หลิงฮันสื่อสารกับจักรพรรดิจอมอสูรผ่านสัมผัสสวรรค์ จักรพรรดิจอมอสูรนั้นมีต้นกำเนิดมาจากดินแดนได้พิภพ
หลังจากฟังที่หลิงฮันเล่า จักรพรรดิจอมอสูรก็ตอบอย่างรวดเร็ว “จากที่นายท่านอธิบายมา จักรพรรดิมั่นใจราวๆเก้าส่วนว่าวิญญาณเหล่านั้นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เรียกว่า “จอมเขมือบเงา” ”
“จอมเขมือบเงา?” หลิงฮันประหลาดใจ
“ขอรับ มันคือสิ่งที่ชีวิตที่กลืนกินเงาคนอื่น มันสามารถสังหารเป้าหมายได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าว “เพียงแต่ว่าวิญญาณที่นายท่านบอกว่านั้นมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ราวกับว่าพวกมันสูญเสียสติปัญญาไปเหลือเพียงสัญชาตญาณในการตามติดเงาของคนอื่นและไม่อาจทำอันตรายต่อเป้าหมายได้”
หลิงฮันพยักหน้า วิญญาณนั่นสมควรเป็นจอมกลืนกินเงาจริงๆ แต่สติปัญญาของพวกมันคงหายไปเมื่อเข้ามาอยู่ในสุสานแห่งนี้ แม้แต่ความสามารถในการกลืนเงาเองก็ยังหายไปด้วย พวกมันทำได้เพียงติดตามเงาคนอื่นไปตามสัญชาตญาณ
“มุ่งหน้ากันต่อ วิญญาณนั่นจะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พวกเราสามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย” เฉียนหลี่เสวี่ยนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เฉียนหลี่เสวี่ยนและคนอื่นๆนั้นเป็นทายาทของขุมอำนาจที่ทรงพลัง พวกเขาจึงได้รับการฝึกฝนทักษะที่ใช้โจมตีทางจิตวิญญาณ
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หวาดกลัวเหล่าวิญญาณที่นี่แม้แต่นิดเดียว
พวกเขามุ่งหน้าต่อไป ผ่านไปไม่นานก็มีเงาเกินจำนวนคนปรากฏขึ้นที่พื้น
ครั้งนี้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเขาจัดการวิญญาณแต่ละตัวอย่างไร้ความหวั่นเกรง
ที่จริงไม่ใช่แค่การโจมตีทางจิตวิญญาณที่สามารถคุกคามเหล่าวิญญาณได้ แต่เปลวเพลิงหรือสาฟ้าและพลังธาตุอื่นๆก็สามารถคุกคามพวกมันได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าผลลัพธ์จะไม่รุนแรงเท่าการโจมตีทางจิตวิญญาณ
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็ง่ายๆแค่นี้” เมื่อเดินไปได้สักพักพวกเขาก็มองเห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ดูเหมือนประตูนี่จะเป็นทางผ่านด่านชั้นแรก
ทุกคนเผยรอยยิ้ม
สำหรับจอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไป การผ่านชั้นแรกไม่ใช่เรื่องง่าย จะมีจอมยุทธระดับภูผาวารีมากมายเท่าใดเชียวที่มาจากขุมอาจใหญ่และฝึกฝนการโจมตีทางจิตวิญญาณ?
เพราะงั้นหากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธกลุ่มอื่น ด่านที่หนึ่งคงไม่ง่ายเช่นนี้แน่
“ช้าก่อน!”
เมื่อพวกเขาเดินเข้าใกล้ประตู พวกเขาก็พบกับสัตว์อสูรยักษ์ที่ด้านหน้าประตู เนื่องจากสีของมันกับสีของพื้นหอคอยเหมือนกันจึงจำแนกได้อย่างเมื่อมองจากระยะไกล
สัตว์อสูรตนนี้… อธิบายได้ยากนักว่ามันมีรูปร่างเช่นไร สภาพของมันในตอนนี้กำลังนอนแบนราบกัลพื้นราวกับเป็นพรม
“พวกเจ้ารู้จักสัตว์อสูรเช่นนี้รึไม่?”
“ดูเหมือนเราต้องจัดการมันสินะ”
เส้าซือซือยิ้มและกล่าว “ให้ข้าจัดการเอง!”
นำนางคันศรและลูกสองออกมา ทั้งคันศรและลูกศรถูกสลักเอาไว้ด้วยอักขระศักดิ์สิทธิ์ สองสิ่งนี้คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
“ที่แท้น้องสาวเส้าก็เชี่ยวชาญในศาสตร์การยิงธนูด้วย!” ทุกคนกล่าวชม จอมยุทธที่เชี่ยวชาญศาสตร์การยิงธนูจะสามารถโจมตีอย่างรุนแรงได้จากระยะไกล
“ข้าฝึกฝนสำเร็จเพียงเล็กน้อย” เส้าซือซือถ่อมตัวและตั้งท่ายิง ทั้งลูกศรและคันศรส่องแสงสว่างที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ
จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน พลังของลูกศรนี้ไม่อาจดูถูกได้