บทที่ 691 เหตุการณ์นองเลือดบนวิหาร

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 691 เหตุการณ์นองเลือดบนวิหาร

วิหารประจำเมืองเจาฮุย

กลิ่นเลือดที่หาได้ยากยิ่งในวันปกติคาวคลุ้งไปทั่ววิหาร

ณ จัตุรัสหน้าวิหารส่วนกลางในขณะนี้ มีซากศพของนักบวชชายจำนวนมากมายกองทับถมกันอยู่เป็นภูเขาขนาดย่อม

เลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

บนขั้นบันไดหินของวิหารส่วนกลาง มือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีแดงเลือด กำลังยกมือขึ้นมาทาบหน้าอก หอบหายใจอย่างหนักหน่วง

บนหน้าอกของเขาปรากฏรูโหว่ขนาดเท่าชามข้าว ทะลวงจากด้านหลังมาสู่ด้านหน้า พลังลมปราณสวนสลายไปจากร่างกาย ทำให้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในทุกส่วน กระดูกทุกชิ้นในร่างกาย ผิวหนัง เสื้อผ้า หรือแม้แต่บาดแผล ก็เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะขึ้นมาแล้ว…

อีกไม่นานเขาต้องตายแน่นอน

ถึงจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย แต่เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ก็คงไม่มีทางรอดอีกแล้ว

ที่โจวติงป๋อยังอยู่รอดมาได้จนถึงบัดนี้ ก็นับว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากแล้ว

หัวหน้านักบวชหนุ่มเงยหน้ามองไปยังร่างของเด็กสาวที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นสูงสุด แววตาของเขาหมองหม่นด้วยความหมดหวัง

ต่อให้วิญญาณของนางจะกลับเข้าร่างได้แล้วจริงๆ แต่ถ้าไม่มีผู้คนคอยช่วยเหลือเป็นพิเศษ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เทพีกระบี่ในร่างเยว่เว่ยหยางจะสามารถฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาได้รวดเร็วถึงขนาดนี้

“ขะ… ข้ามันใช้การไม่ได้”

โจวติงป๋อพูดด้วยสีหน้าละอายแก่ใจ

นี่คือสถานการณ์ที่เขาไม่เคยคาดฝันมาก่อน เพราะนักบวชหนุ่มเข้าใจว่าวิหารประจำเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างเบ็ดเสร็จ

แผนการทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น

เทพีกระบี่ไม่ได้อยู่ในวิหารประจำเมืองเจาฮุยอีกต่อไปแล้ว

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเป็นเพราะความประมาทของเขาเอง เทพีกระบี่จึงได้กลับมาควบคุมวิหารประจำเมืองอีกครั้ง

นี่คือข่าวที่ยังไม่ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้าง

เพราะสำหรับผู้ที่เป็นสาวกของโจวติงป๋อ นี่ถือว่าเป็นอันตรายใหญ่หลวงทีเดียว

นักพรตใหญ่หลงเยว่ยืนอยู่ข้างกายเยว่เว่ยหยาง

หญิงชรากวาดตามองวิหารที่เนืองนองไปด้วยโลหิต แล้วแววตาของนางก็เป็นประกายเศร้าโศกขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากนั้น นักพรตใหญ่หลงเยว่ก็หันกลับมามองหน้ามือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อและดวงตาของหญิงชราก็เป็นประกายเวทนาขึ้นมาวูบหนึ่ง

หากตัดเรื่องที่เป็นนักบวชบ้าอำนาจออกไป ความฉลาดเฉลียวและสติปัญญาของโจวติงป๋อก็ควรค่าต่อการเคารพไม่ใช่น้อย

น่าเสียดายที่เขาใช้ความชาญฉลาดของตนเองไปในทางที่ผิด

แต่แน่นอนว่าในหัวใจของนักพรตใหญ่หลงเยว่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน

การกลับมาของเทพีกระบี่ในครั้งนี้ มีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งมากกว่าที่นางคิดเอาไว้หลายเท่า

ดังนั้น แม้แต่มือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อผู้มีพลังสูงสุดในกลุ่มนักบวชประจำเมือง ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่เยว่เว่ยหยางในไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น

ทว่า บัดนี้เยว่เว่ยหยางกำลังทอดสายตาจ้องมองไปนอกวิหารด้วยแววตาเย็นชา

เนื่องด้วยการต่อสู้กวาดล้างนักบวชชายบนวิหารเมื่อสักครู่ มีการกางอาณาเขตป้องกันไม่ให้พลังรั่วไหลไปสู่นอกเขตภูเขา เทพีกระบี่ในร่างเยว่เว่ยหยางจึงไม่ทราบเลยว่าในขณะนี้เกิดอะไรขึ้นนอกวิหารประจำเมืองบ้าง

ต่อเมื่อสลายอาณาเขตเหล่านั้นลงไปแล้ว เยว่เว่ยหยางจึงได้รู้สึกถึงแรงระเบิดจากผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียน และพลังนั้นก็พวยพุ่งออกมาจากกำแพงเมืองฝั่งตะวันตก

เป็นมวลพลังมหาศาลที่แม้แต่เทพีกระบี่ก็ต้องให้ความสนใจ

เพราะหากผู้ที่ลงมือไม่ใช่เกาเฉิงฮั่น ซึ่งเป็นคนเดียวภายในเมืองนี้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียน

เจ้าของพลังนี้ก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อนางก็เป็นได้

ด้วยว่าก่อนลงมือถอนรากถอนโคนฐานอำนาจของมือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อ เทพีกระบี่ได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหล่ายอดฝีมือประจำนครเจาฮุยครบถ้วนทั่วทุกตัวคน เพราะฉะนั้น นางจึงทราบว่าเกาเฉิงฮั่นมีพลังปราณธาตุน้ำ ซึ่งมวลพลังที่กำลังระเบิดออกมานี้ ไม่ใช่พลังปราณธาตุน้ำแน่นอน

นับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงเลยว่าในนครเจาฮุย ยังมีผู้มีพลังระดับเซียนคนที่สองอยู่อีกด้วย

การปรากฏตัวที่ไม่คาดคิดของผู้มีพลังระดับเซียนคนที่สอง ทำให้แผนการเดิมที่เทพีกระบี่วางเอาไว้ต้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด

แต่นั่นอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็ได้

มิหนำซ้ำ มันอาจเป็นโอกาสดี

ใบหน้าของเยว่เว่ยหยางยังคงนิ่งเฉยเย็นชาดังเดิม

ในดวงตาของนางยังคงเต็มไปด้วยประกายแห่งอันตรายและการฆ่าฟันอันแรงกล้า

ไม่ต่างจากปีศาจร้ายที่ได้หลุดออกมาจากขุมนรก และกลับขึ้นมาสู่โลกมนุษย์เพื่อแก้แค้นต่อผู้ที่กระทำผิดกับนางเอาไว้ในอดีต

“หลงเยว่ เจ้าลองไปตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่กำแพงเมืองเขตหนึ่งกันแน่” เยว่เว่ยหยางหันกลับมาจ้องมองนักพรตใหญ่หลงเยว่ด้วยแววตาแข็งกระด้าง “ยิ่งได้ข้อมูลกลับมาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดกระแสพลังแปลกประหลาดขึ้นนอกเขตวิหาร เมื่อได้ยินคำสั่งของเยว่เว่ยหยางหญิงชราจึงขมวดคิ้วด้วยความฉงนสงสัย แต่เมื่อเห็นสีหน้าดุดันของเด็กสาว นางจึงมิกล้าเชื่องช้าแม้แต่ลมหายใจเดียว นักพรตใหญ่หลงเยว่ก้มหัวคำนับรับคำสั่ง หมุนตัวเดินออกมา ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกลายเป็นลำแสงหายวับออกไปนอกเขตภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารประจำเมือง

ในเวลาเดียวกันนี้ เยว่เว่ยหยางก็หันกลับมามองมือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อ

โจวติงป๋อรู้ชะตากรรมของตนเองแล้วว่าวันนี้เขาคงไม่มีทางหนีรอดเด็ดขาด จึงฝืนยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น “ข้ายินดียอมรับความพ่ายแพ้และความตาย แต่ข้าอยากขอร้องท่านสักหน่อย ได้โปรดปล่อยบริวารของข้าไปเถิด พวกเขาล้วนติดตามข้าด้วยความศรัทธาจากใจจริง และข้าก็สอนให้พวกเขากลายเป็นคนดีจากใจจริงด้วยเช่นกัน…”

เยว่เว่ยหยางส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเย็นชา

“ผู้ที่ทรยศต่อข้าจะไม่ได้รับการให้อภัยเด็ดขาด”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

โจวติงป๋อถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงหมดหวัง “จิตใจของท่านหมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นมากเกินไป บัดนี้ท่านไม่ได้เป็นเทพเจ้าอีกแล้ว แต่เป็นมารร้ายกระหายเลือด ท่านไม่ควรค่าที่ผู้คนจะให้ความเคารพอีกต่อไป ดูเหมือนข้าคงมองท่านในแง่ดีมากไปแล้ว เพราะฉะนั้น…”

พลัน หัวหน้านักบวชหนุ่มก็เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาพยายามรวบรวมพลังลมปราณในร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง

เยว่เว่ยหยางหัวเราะเยาะ

แววตาของนางที่จ้องมองโจวติงป๋อ

เป็นแววตาที่ใช้มองมดปลวกตัวหนึ่ง

ทันใดนั้น โจวติงป๋อสามารถรีดเค้นพลังลมปราณในร่างกายซึ่งสมควรเหือดหายไปหมดแล้วออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เขาก็ไม่ได้โจมตีใส่เยว่เว่ยหยาง

หัวหน้านักบวชหนุ่มหมุนตัวหันหลังกลับ และกระโจนเข้าไปหานักบวชชายและนักบวชสาวกว่า 20 ชีวิตซึ่งหลบอยู่ด้านหลังของเขา

กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่ศรัทธาและติดตามโจวติงป๋อจากใจจริง

กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ที่เยว่เว่ยหยางมองว่าเป็นผู้ทรยศ และไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด

โจวติงป๋อใช้พลังเฮือกสุดท้ายของตนเองสร้างม่านพลังสีเงินขึ้นมาครอบคลุมบริวารของตนเองเอาไว้

กลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ขัดขืนหรือปฏิเสธ

สีหน้าของพวกเขาแสดงออกชัดเจนถึงความเวทนาและเศร้าใจ ทุกคนยืนปล่อยให้โจวติงป๋อใช้พลังของเขากลืนกินตนเองแต่โดยดี

ชีวิตของพวกเขา วิญญาณของพวกเขา ความศรัทธาของพวกเขา ทุกอย่างกลายเป็นมวลพลังงานไหลรินเข้าสู่ร่างกายโจวติงป๋อ

พลังเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งมหาศาล ทำให้เยว่เว่ยหยางเกิดความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาเล็กน้อย

ท้องฟ้าเปล่งประกายเป็นลำแสงสีเงิน มวลอากาศปั่นป่วน

“ทุกท่านจงสวดภาวนาเป็นครั้งสุดท้าย”

เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของโจวติงป๋อ เหล่าสาวกของเขาก็เริ่มสวดมนต์ขึ้นมาทันที

เยว่เว่ยหยางหัวเราะในลำคอ “เจ้าจะส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากพญามารหรืออย่างไร? ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เด็กสาวยกมือโบกสะบัด

เกล็ดน้ำแข็งปลิวว่อนในอากาศ

แต่ลมหายใจต่อมา นางก็หยุดชะงัก และล้มเลิกความตั้งใจของตัวเอง

เยว่เว่ยหยางเงยหน้ามองลำแสงสีเงินบนท้องฟ้า ลำแสงสีน้ำเงินเหล่านั้นแผ่ปกคลุมวิหารบนยอดเขา แผ่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพื้นดิน

แต่เมื่อลำแสงสีเงินจางหายไป โจวติงป๋อและเหล่าบริวารกว่า 20 ชีวิตก็ยืนตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้น สีหน้าของพวกเขาไม่มีชีวิตชีวาอีกแล้ว เมื่อสายลมพัดผ่านมาเพียงแผ่วเบา รูปปั้นหินกว่า 20 ตัวก็แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนปลิวไปกับสายลมเสมือนหมอกควันเบาบางกลุ่มหนึ่ง…