บทที่ 446 โรงงานล้มละลาย

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 446 โรงงานล้มละลาย

สะใภ้สามตระกูลหลินค้อนใส่เขาด้วยความรู้สึกขบขัน

หล่อนรู้สึกพอใจมาก ชีวิตครอบครัวของพวกเขาไม่มีเรื่องให้ต้องคับข้องใจเลย วันข้างหน้ามีแต่จะดีขึ้น

ถึงแม้ว่าฝั่งครอบครัวของสามีจะยังมีเรื่องยุ่งยากอยู่มาก แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่สามารถย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองได้อยู่ดี

แน่นอนไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการจะย้ายมา หลังจากที่รู้ว่าครอบครัวหล่อนซื้อบ้านใหม่ พ่อแม่สามีหล่อนทั้ง 2 คนซึ่งไม่เคยหยุดสร้างเรื่องก็ต้องการจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย

แต่หล่อนเป็นคนแรกที่คัดค้าน

หากพวกเขาเป็นผู้อาวุโสจิตใจดี หล่อนจะเป็นคนไปรับพวกเขามาอยู่ด้วยตนเองเลยทีเดียว แต่ผู้เฒ่าทั้ง 2 คนนี้เป็นคนแบบไหนกันเล่า?

ในอดีต ตอนที่หล่อนให้กำเนิดบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนรอง หล่อนไม่เคยได้กินอิ่มเลยสักมื้อ ต้องขอบคุณเนื้อและไข่ที่พี่สาวสามเป็นคนส่งมาให้ จึงทำให้หล่อนสามารถมีช่วงอยู่เดือนหลังการคลอดที่ดีได้โดยที่ร่างกายไม่อ่อนแอจนต้องเจ็บป่วยไปในระหว่างหลังการคลอด

ตอนนี้แม้ชีวิตจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะลืมเรื่องราวทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปได้

การที่พวกเขาส่งเงิน 10 หยวนให้ผู้เฒ่าทั้งสองทุกเดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สะใภ้สามตระกูลหลินก็รู้สึกว่าตนมีความเมตตาและมโนธรรมมากเพียงพอแล้ว อยากจะมาอาศัยอยู่กับหล่อนในเมืองอย่างนั้นหรือ?

อย่าได้แม้แต่จะคิด

ตอนที่พวกเขากลับไปหมู่บ้านในช่วงปีใหม่ปีที่แล้ว พ่อแม่สามีทั้ง 2 คนเอ่ยถึงเรื่องนี้เพื่อตั้งใจจะหยั่งเชิงพวกเขาดู

ต่อมาสะใภ้ทั้งสองคนก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เธอจึงแสดงจุดยืนของตนเองออกมาอย่างเผ็ดร้อน

ถ้ามีใครกล้าส่งผู้เฒ่าทั้งสองคนมาที่นี่ หล่อนจะส่งทั้งคู่กลับหมู่บ้านในวันเดียวกันนั้นทันที ไม่ว่าจะดึกดื่นหรืองานยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม!

ในประเด็นนี้ ทัศนคติของสะใภ้สามตระกูลหลินนั้นหนักแน่นมาก ไม่เปิดโอกาสให้มีข้อโต้แย้งใด ๆ ได้เลย!

อีกทั้งตัวหล่อนเองก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน(1) ดังนั้น ในช่วงปีใหม่ปีที่แล้วตอนที่พวกเขากลับไปที่หมู่บ้าน หล่อนมักจะไปพูดกับคนในหมู่บ้านว่า ครอบครัวตระกูลหลินคิดว่าเงิน 10 หยวนที่ได้นั้นน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องราวในอดีตที่หล่อนไม่เคยได้กินโจ๊กข้นเลยสักมื้อในระหว่างที่อยู่เดือนหลังคลอด

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพี่สาวสามเป็นคนนำของกินมาให้ ใครจะรู้ว่าตอนนี้หล่อนจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่!

แต่ทุกสิ่งที่หล่อนพูดออกไปก็เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ในตอนที่พวกเขาต้องย้ายออกจากบ้านในปีนั้น ก็เป็นเพราะถูกครอบครัวตระกูลหลินบีบบังคับจริง ๆ

ต้องขอบคุณความช่วยเหลือที่ได้จากหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาก้าวหน้าดีขึ้นไปทีละขั้น

คนในหมู่บ้านไม่ใช่คนโง่ พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร?

นอกจากนี้ คนในครอบครัวตระกูลหลินยังเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์แย่ คนในหมู่บ้านจึงมักได้เห็นพวกเขาทำเรื่องโง่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ

พวกเขาทำเรื่องโง่ ๆ อะไรน่ะหรือ?

แน่นอนก็เรื่องที่ลูกสาวของพวกเขา คนที่ถูกบีบให้ตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวทางบ้านแม่ของตน กลายมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและย้ายครอบครัวของตนไปอยู่ที่ปักกิ่ง

ลูกชายคนเล็กซึ่งถูกบังคับให้แยกบ้าน ก็ประสบความสำเร็จและย้ายครอบครัวของตนไปอยู่ในตัวอำเภอ

เห็นได้ว่าครอบครัวตระกูลหลินไม่มีโชคเอาเสียเลย พวกเขาบีบบังคับคนที่ดีให้จากไปและเก็บคนไม่เอาไหนไว้

กระนั้นน้องชายสามตระกูลหลินก็ยังเป็นลูกชายของพวกเขาอยู่ เขาจึงได้ให้เงิน 10 หยวนต่อเดือนสำหรับเป็นค่าใช้จ่าย แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดสร้างปัญหาอีก นี่พวกเขาต้องการจะบีบให้ลูกชายคนเล็กต้องตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวอย่างนั้นหรือ?

มีคนจำนวนไม่น้อยในหมู่บ้านต่างพากันหัวเราะเยาะในเรื่องนี้

น่าจะเป็นเพราะการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของหลินชิงเหอในครั้งนั้น ที่ทำให้ท่านพ่อหลินและท่านแม่หลินต้องลังเลใจในครั้งนี้ ลูกสาวคนนี้หันหน้าจากไปอย่างที่เธอพูดจริง ๆ หลังจากที่คิดถึงเรื่องที่พวกเขาเคยปฏิบัติต่อลูกสาวคนนี้และลูกสะใภ้สามในอดีตแล้ว พวกเขาจึงไม่ดึงดันที่จะมาอยู่ที่นี่อีกต่อไป

มิฉะนั้น พวกเขาคงมีแผนการจะทำเช่นนั้นจริง ๆ

ก็เมื่อคิดดูแล้ว มันจะดีมากขนาดไหนกันเล่าหากได้เข้าไปอยู่ในเมือง? ที่ชนบทนี่จะไปเทียบได้อย่างไรกัน? แต่ในเมื่อลูกชายและลูกสะใภ้ไม่อนุญาตให้พวกเขาไปอยู่ พวกเขาจะทำอะไรได้?

พวกเขามักจะเดินพูดไปทั่วหมู่บ้านว่า ลูกชายสามและสะใภ้สามอกตัญญู แต่ไม่มีใครฟังคำพูดของพวกเขาหรอก

ในชนบท เงิน 10 หยวนต่อเดือนที่ให้นั้นน้อยอย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครสามารถพูดว่าน้อยได้เลย ต้องไม่ลืมว่านี่ไม่ใช่ลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขา แต่เป็นลูกชายคนเล็กที่ให้เงินจำนวนนี้

ยังมีลูกชายอีก 2 คนที่โตกว่า แต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้ความเอาเสียเลย

โดยเฉพาะลูกชายคนรอง ที่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังแอบมีความสัมพันธ์กับหญิงหม้ายคนนั้น และมักจะทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาของตนในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ

สรุปได้ว่าครอบครัวตระกูลหลินมีแต่ความวุ่นวาย ใครก็ตามที่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วยจะถือว่าโชคร้าย

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ได้รับประทานอาหารมื้อใหญ่ร่วมกับพี่ชายสามและสะใภ้สาม

สะใภ้สามเอาใจใส่ในการเลี้ยงต้อนรับพวกเขาเป็นอันมาก มีไก่ทอด 1 ตัว นอกจากนี้ยังมีซุปบวบ ซุปแตงกวา ไข่คน ปลาและกุ้งอีก 1 จาน

มันเป็นมื้ออาหารที่อุดมสมบูรณ์มาก หลังจากอาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะ หลินชิงเหอก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าพี่สะใภ้สามมีฝีมือในการทำอาหารขนาดนี้!”

“ใช่สิจ๊ะ ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝีมือเลย จะใช้น้ำมันหมูสักนิดยังไม่กล้าเลย ตอนนี้พี่ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว เธอกับน้องสี่กินให้เต็มที่นะ พี่สัญญาว่ามีพอแน่ ๆ!” สะใภ้สามรีบบอก

เป็นธรรมดาที่หลิงชิงเหอจะทำตัวตามสบายเมื่ออยู่กับหล่อน ในระหว่างที่กินอาหาร โจวชิงไป๋และพี่ชายสามก็ดื่มเหล้าด้วยกัน

พี่ชายสามดื่มไป 2-3 แก้วก่อนที่จะเริ่มหวนนึกถึงความหลัง “อาสี่ ฉันยังจดจำความรักที่นายมีให้กับพี่น้องได้ พูดได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะในตอนนั้นที่พวกเราพี่น้องไปว่ายน้ำกันที่แม่น้ำ แล้วนายพูดคำพูดเหล่านั้นพร้อมทั้งทิ้งเงินไว้ให้ พี่สะใภ้สามของนายกับฉันคงไม่มีความกล้าที่จะออกมาลองทำธุรกิจหรอก”

ตั้งแต่เด็ก เขาก็ทำงานอยู่แต่ในทุ่งนาเท่านั้น มันต้องใช้ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมากขนาดไหนจึงจะก้าวออกมาทำเช่นนี้ได้? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจำเป็นต้องมีปัจจัยสนับสนุนเพื่อที่จะสามารถออกมาทำได้สำเร็จ

และหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็เป็นผู้ที่ให้ปัจจัยสนับสนุนส่วนใหญ่เหล่านั้นกับเขา

ในหัวใจของพี่ชายสามตระหนักดีในเรื่องนี้

“เป็นพี่น้องกัน ถ้าคนหนึ่งทำได้ดี ก็ต้องหวังให้คนที่เหลือทำได้ดีด้วยสิครับ ตราบใดที่พวกพี่เต็มใจทำงานหนัก จะมีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้?” โจวชิงไป๋ตอบ

“ฉันรู้ว่านายเป็นคนยังไง อาสี่ ถึงแม้ว่านายจะเป็นน้องคนเล็กในบรรดาพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้ดูแลนายเลย กลับเป็นนายที่คอยดูแลพวกเราอยู่เสมอ แล้วยังพ่อกับแม่อีก ตอนนี้นายก็เป็นคนคอยดูแลพวกท่านอยู่ทางนั้นด้วย” พี่ชายสามพูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของเราเหมือนกันนะคะ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว” หลินชิงเหอยิ้ม

“พี่รู้นิสัยของพ่อดี แต่แม่นี่สิ บางครั้งท่านก็อาจจะสับสนไปบ้าง น้องสะใภ้สี่ก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ ปล่อยท่านไป ในบรรดาหลาน ๆ แม่รักเจ้าใหญ่มากที่สุดแล้ว” พี่ชายสามกล่าว

“คุณแม่ก็รักทุกคนเท่ากันหมดนั่นละค่ะ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

นี่เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ระหว่างสะใภ้ทั้ง 4 คน ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันหมด ในขณะที่ลูกชายและหลายชายนั้น ท่านแม่โจวรักชิงไป๋และเจ้าใหญ่ของบ้านเธอมากที่สุด

ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ลูกชายคนเล็กและหลานชายคนโตอยู่ในครอบครัวของเธอทั้งคู่

ด้วยเหตุนี้ตอนที่อยู่ในปักกิ่ง แม้ว่าท่านแม่โจวจะสร้างปัญหาให้บ้างเล็กน้อยในบางครั้ง หลินชิงเหอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมากนัก

แค่เกือบจะสมบูรณ์แบบได้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปบังคับเพื่อให้ตนอยู่เหนือผู้อาวุโสในทุกเรื่อง แต่บางครั้งก็มีความจำเป็นต้องแข็งกร้าวกลับไปบ้าง

เพราะท่านแม่โจวซึ่งเป็นแม่สามีคนนี้ ค่อนข้างจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนัก

“ทำไมถึงพูดถึงอย่างนั้นคะ? คุณดื่มของคุณต่อไปเถอะ” สะใภ้สามพูด

ไม่ว่านางจะลำเอียงหรือไม่ พวกเขาก็ยังมีอะไรให้ได้กิน ในสมัยนั้น ด้วยสภาพเช่นนั้นแล้ว นางจะสามารถทำอะไรได้?

หล่อนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย

“ธุรกิจของเสี่ยวเหมยกับต้าหลินไปได้ดีไหม?” พี่ชายสามถามด้วยความเป็นห่วงน้องสาวและน้องเขยของตน

“ดีครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

“ฉันได้ยินว่าโรงงานที่เขาเคยทำอยู่ล้มละลายแล้ว คุณลุงของต้าหลินกับครอบครัวตอนนี้ตกงานอยู่ที่บ้าน” พี่ชายสามเอ่ย

“ไม่มีงานทำกันทั้งครอบครัวเลยหรือคะ?” หลินชิงเหอถาม

“อือ เพิ่งเกิดเรื่องเดือนนี้เอง ต้าหลินน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้” พี่ชายสามยืนยัน

………………………………………………………………………………………………