ตอนที่ 679 ภพก่อนและภพนี้ (1)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“อึกก…”

ซิวส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ และลำตัวขนาดมหึมาถูกฟาดกระเด็นลงบนพื้นโดยสายฟ้าอันทรงพลัง ตอนนี้ทั่วร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเล็กใหญ่จนดูน่าเห็นใจอย่างยิ่ง

“ซิว !”

เมื่อฉินอวี้โม่เห็นว่าสถานการณ์ของซิวในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก นางก็อุทานออกไปและตรงเข้าไปปรากฏข้าง ๆ มันทันที

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ?!”

หลังจากถ่ายเทพลังของตนไปสู่ร่างของอสูรคู่กาย ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่าซิวที่อ่อนแรงเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ และบาดแผลก็ค่อย ๆ สมานตัว

“ข้าไม่เป็นไร นายหญิง มันเป็นแค่สายฟ้าเส้นเล็ก ๆ เท่านั้น !”

ซิวยังคงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แม้สภาพของมันในตอนนี้จะดูน่าสงสารอย่างมาก มันก็ไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น สำหรับพลังอันน่าสะพรึงกลัวของทัณฑ์สายฟ้าสายที่แปดเมื่อครู่นี้ หากมิใช่เพราะจิตใจที่แกร่งกล้าและหนักแน่น มันก็อาจไม่สามารถทนรับได้ด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ สายฟ้าขั้นที่เก้าใกล้เข้ามาแล้ว นายหญิง…ถอยไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนเถอะ”

หลังจากฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมาระดับหนึ่ง ซิวก็กล่าวกับผู้เป็นนายก่อนค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นไปอยู่กลางอากาศอีกครา

แม้ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการทนมองดูซิวเผชิญกับวิกฤตเช่นนั้นเพียงลำพัง ทว่านางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ หากนางยังยืนกรานที่จะช่วยมันในตอนนี้ เกรงว่านางจะกระตุ้นให้ทัณฑ์สายฟ้าทรงพลังมากขึ้นและมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเท่านั้น

นางเดินกลับไปอยู่ข้างหานโม่ฉือและจับตาดูสถานการณ์ต่อไปอย่างเป็นกังวลและคอยเอาใจช่วยซิวอย่างเงียบ ๆ

กลางอากาศเวลานี้ กลุ่มเมฆจับตัวรวมกันอย่างหนาแน่นจนดูน่ากลัว กลุ่มเมฆหนาทึบประหลาดนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นใจได้ไม่ยาก

ครืนนน ! ครืนนนน !

เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างชัดเจนและสะท้อนในหูของทุกคน หลังจากสิ้นเสียงดังกล่าว หัวใจของทุกคนก็เริ่มกระสับกระส่ายอย่างมาก

เวลาสองก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็วทว่าสายฟ้าสายที่เก้าก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น ราวกับว่าการลงทัณฑ์สายฟ้าจบลงเพียงเท่านี้

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดกล้าออกไปทางลานกว้างแห่งนี้ ทุกคนล้วนทราบดีว่าทัณฑ์สายฟ้าของซิวยังไม่สิ้นสุดลง ความเงียบสงบในระยะสั้นนี้คือการที่ทัณฑ์สายฟ้ากำลังรวบรวมพลังงานอยู่และมันจะกลายเป็นสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

แปร๊บ !

แสงสว่างจ้ากะพริบขึ้นกลางอากาศและนำพาความสว่างมาทั่วท้องฟ้าก่อนที่จะมืดลง จากนั้นทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองและพบว่าเหนือลำตัวขนาดมหึมาของซิวในตอนนี้มีกลุ่มเมฆทะมึนที่จับตัวรวมกันซึ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าตัวของมันเสียอีก

ท่ามกลางกลุ่มเมฆหนาทึบมีแสงสลัวที่สร้างความหวาดกลัวในหัวใจของทุกคนและทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความอัศจรรย์ใจของการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์นี้

เปรี้ยง !

สายฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าห้าชุ่นฟาดลงมาอย่างน่าหวาดหวั่นโดยมีเป้าหมายคือร่างของซิว

ทัณฑ์สายฟ้านี้ราวกับเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์เบื้องบนที่ทั้งน่าพรั่นพรึงและน่าตกใจเป็นที่สุด

“เข้ามาเลย !”

ใบหน้าของซิวยังคงไร้ซึ่งความเกรงกลัว หากแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ ร่างมังกรขนาดใหญ่ในตอนนี้ปกคลุมด้วยไปพลังธาตุไฟที่แกร่งกล้าราวกับกลายเป็นกลุ่มเมฆเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังต่อกรกับกลุ่มเมฆทะมึนหนากลางท้องฟ้า

โครมมม !

สายฟ้าปะทะเข้ากับพลังธาตุไฟรอบตัวซิวจนเกิดเสียงดังสนั่น

ตูมมม !

พลังของทั้งสองฝ่ายต้านกันไปมาพักหนึ่ง ทว่าในที่สุดซิวก็ตั้งรับไม่ไหวอีกต่อไปขณะถูกฟาดลงพื้นอย่างรุนแรงและกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่

หลังจากฝุ่นฟุ้งสงบลง ร่างของซิวก็ไม่ปรากฏอยู่ในสายตาทุกคนอีกต่อไปและมีเพียงหลุมขนาดใหญ่สีดำปรากฏขึ้นบนพื้นดิน เพียงเท่านี้ก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยากว่าสายฟ้าเมื่อครู่นี้ทรงพลังเพียงใด

“ซิว !”

ฉินอวี้โม่เป็นห่วงสถานการณ์ของซิวอย่างที่สุด แม้สัมผัสได้ว่าสายใยระหว่างตนและอสูรแห่งโชคชะตายังคงอยู่ นางก็อดกังวลไม่ได้ ร่างของนางพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็วและกระโดดลงไปในหลุมใหญ่นั้นอย่างไม่รีรอ

“นายท่าน หยุดนางไว้ !”

ทันทีที่ร่างของฉินอวี้โม่พุ่งตรงออกไป เสียงของกิเลนอัคคีก็ดังขึ้นเพื่อเตือนหานโม่ฉือทันทีทว่ามันก็สายเกินไป

ฉินอวี้โม่กระโดดลงไปในหลุมดังกล่าวแล้วและม่านพลังสีม่วงปรากฏขึ้นปกคลุมรอบหลุมราวกับปิดผนึกทุกอย่างที่อยู่ข้างในและดูเหมือนมันกำลังป้องกันบางสิ่งบางอย่าง

“เกิดอะไรขึ้น ?!”

เมื่อหานโม่ฉือได้ยินคำเตือนของอสูรคู่กาย เขาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีนักและต้องการตามคนรักลงไปในหลุมใหญ่ตรงหน้า ทว่าเขากลับถูกขวางกั้นโดยม่านประหลาดสีม่วงที่ปรากฏอย่างกะทันหันเสียก่อน เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นเยือกเย็นในทันที

“นายท่าน ทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่สิบของซิวอาจจะเป็นดวงจิตสายฟ้า เมื่อครู่ข้าเห็นว่าสายฟ้าสายที่เก้าเป็นสีม่วงและนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนนี้นายหญิงอวี้โม่และซิวถูกกักขังอยู่ในหลุมใหญ่นี้แล้ว ทั้งสองจะกลับออกมาได้ก็ต่อเมื่อข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่สิบได้สำเร็จ”

กิเลนอัคคีสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเยือกเย็นที่แผ่มาจากผู้เป็นนาย มันถึงกับหดหัวด้วยความหนาวสั่น

แท้ที่จริงนี่ก็มิใช่ความผิดของมัน ถึงอย่างไรดวงจิตสายฟ้าก็เป็นหายนะที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างยิ่งในรอบพันปี การที่กิเลนอัคคีจะคาดไม่ถึงในตอนแรกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก

สีหน้าของหานโม่ฉือในตอนนี้ยังคงไม่ดีขึ้น เขาเพียงชำเลืองมองกิเลนอัคคีด้วยแววตาเยือกเย็นจนมันสั่นเทาและแข้งขาอ่อนแรง

“นายท่านโม่ฉือ ไม่ต้องกังวล แม้ม่านพลังสีม่วงนั่นจะแยกนายหญิงออกจากโลกภายนอกและเราเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของนางไม่ได้ ทว่าเรายังสามารถสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของนาง นายหญิงไม่ได้เป็นอะไร นางน่าจะกำลังเผชิญกับดวงจิตสายฟ้าดังกล่าว ตอนนี้เราเพียงต้องรออย่างใจเย็นเท่านั้น เชื่อว่านายหญิงจะหาทางเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน”

มารยากล่าวปลอบประโลมเพื่อให้หานโม่ฉือวางใจ ความเยือกเย็นที่แผ่จากร่างของเขาในตอนนี้ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบอย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถระงับอารมณ์ให้เขาสงบลงก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะทำสิ่งใดที่บ้าระห่ำหรือไม่

แม้ไม่มีอสูรใดที่สามารถเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่ได้ในตอนนี้ ทว่าพวกมันก็รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ข้างกาย ภายในนั้นก็ยังมีอสูรมายาอีกหลายตัว รวมถึงต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ หากเกิดอะไรขึ้นกับฉินอวี้โม่จริง ๆ เชื่อว่าพวกมันจะสามารถช่วยนางได้

หานโม่ฉือพยักศีรษะเบา ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาพยายามสงบสติอารมณ์ลงก่อนเดินไปนั่งลงใกล้ริมขอบหลุม หากฉินอวี้โม่ยังไม่กลับออกมา เขาก็จะไม่จากไปที่ใดเช่นกัน

มารยาและอสูรมายาอื่น ๆ ก็นั่งลงตามกันอย่างรวดเร็วขณะตั้งตารอให้ฉินอวี้โม่และซิวกลับออกมา

“ท่านอา ลูกพี่ลูกน้อง ท่านพ่อ ทุกคนแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตนเองก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันและรอนายหญิงเอง เมื่อนางกลับออกมาได้ ข้าจะส่งคนไปแจ้งทุกคน”

ในเวลานี้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างภายในชนเผ่าเอลฟ์ที่รอให้ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินและคนอื่น ๆ ไปจัดการให้เรียบร้อยอยู่ ในเมื่อมิอาจคาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่จะออกมาเมื่อใด พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารออยู่ที่นี่นานจนเกินไป

ดังนั้น สั่วซีหย่าจึงกล่าวกับหลัวจื๋อยินและคนอื่น ๆ เพื่อให้ทุกคนแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตนเองก่อน

“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว พวกเราจะแยกย้ายกันไปจัดการสิ่งต่าง ๆ ก่อนและจะรีบกลับมาที่นี่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย”

หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะเบา ๆ เขาเองก็ทราบเกี่ยวกับดวงจิตสายฟ้าขั้นที่สิบเช่นกันและไม่กังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากนัก จากที่ได้เห็นทั้งพรสวรรค์และความสามารถของนางที่ผ่านมา เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำไปง่าย ๆ

ราชินีเอลฟ์ก็เห็นด้วยกับสั่วซีหย่าเช่นกันและแยกออกไปจัดการดูแลเรื่องต่าง ๆ ของตนเอง ทว่าหลัวหมิงซีและหลัวอวิ๋นซีมิได้ออกไปไหนเนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่ต้องจัดการ พวกเขายังคงอยู่ใกล้กับขอบหลุมพร้อมกับมารยาและอสูรทั้งหลายเพื่อรอให้ฉินอวี้โม่และซิวกลับขึ้นมา…

ในเวลานี้ เมื่อฉินอวี้โม่กระโจนลงมาในหลุมใหญ่ยักษ์ นางก็มองเห็นร่างของซิวซึ่งถูกโจมตีจนกลับคืนเป็นร่างมนุษย์และนอนแน่นิ่งอยู่ที่ก้นหลุมในสภาพที่น่าสงสารอย่างยิ่ง

ร่างของซิวในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างและดูจะบาดเจ็บสาหัสทีเดียว ลมหายใจของมันในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก เห็นได้ชัดว่าทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เก้าทรงพลังอย่างยิ่งจนถึงขั้นสร้างความเสียหายให้กับมันได้เช่นนี้

ฉินอวี้โม่รีบถ่ายเทพลังส่วนหนึ่งของตนเข้าไปในร่างของซิว จากนั้นไม่นาน ซิวผู้ซึ่งนอนหมดสติก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา

“นายหญิง รีบออกไปเร็วเข้า !”

เมื่อมองเห็นห้วงมายารอบตัว ซิวก็ฟื้นสติกลับคืนมาเล็กน้อยและรีบกล่าวออกไปอย่างกระวนกระวาย

ทว่าเมื่อฉินอวี้โม่กำลังจะเอ่ยตอบ จู่ ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปและพบว่าตนปรากฏตัวอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง

มันคือหุบเขาที่ทุรกันดารซึ่งมีเสียงวิหคร้องขานรับกันดังไพเราะและกลิ่นหอมอบอวลของบุปผาสร้างเป็นบรรยากาศที่แสนสบายและน่าอยู่อาศัยยิ่งนัก

“นายหญิง นี่คือดวงจิตสายฟ้าขั้นที่สิบ เป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสุดท้าย ไม่ว่าท่านจะพบเห็นสิ่งใด จงจำไว้ว่ามันเป็นเพียงห้วงมายาเท่านั้นและอย่าให้มันมีอิทธิพลใด ๆ ต่อท่านเด็ดขาด”

เสียงของซิวดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมันก็กำลังเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าในส่วนของตน

ดวงจิตสายฟ้าขั้นที่สิบ…

เมื่อทราบว่ามันคือดวงจิตสายฟ้าขั้นที่สิบ ฉินอวี้โม่ก็ถึงกับพูดไม่ออกไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่านางจะได้เผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าหายากที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในรอบพันปีอย่างดวงจิตสายฟ้าขั้นที่สิบ เห็นทีครานี้นางคงต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่

“หนูน้อยชิงเหอ”

ไกลออกไปในหุบเขาลึก เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่

“ชิงเหอ…นั่นคือชื่อที่ราชินีเอลฟ์พึมพำเรียกข้าก่อนหน้านี้มิใช่หรือ ?”

เมื่อได้ยินชื่อนั้น นางก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยขึ้นมาและเดินตามไปยังทิศทางต้นเสียงนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้

ไม่นานนัก บ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้านาง โดยบริเวณรอบตัวบ้านเต็มไปด้วยบุปผาและสมุนไพรหลากหลายชนิดซึ่งเบ่งบานเต็มที่ดูเป็นภาพที่งดงามอย่างมาก

“หนูน้อยชิงเหอ เมื่อครู่เจ้าออกไปเล่นที่ใดมา ?”

บุรุษชราผู้มีหนวดเคราสีขาวก้าวออกมาจากในบ้านพร้อมด้วยตะกร้าไม้ไผ่ในมือและคลี่ยิ้มตรงมาในทิศทางของฉินอวี้โม่

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของบุรุษผู้นั้น ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาดและกล่าวออกไปอย่างอัตโนมัติ “ท่านอาจารย์…”

ทันทีที่เอ่ยออกไป ฉินอวี้โม่ก็ชะงักค้างไปเล็กน้อย บุรุษชราผู้นี้คือใครและเหตุใดนางจึงเรียกเขาว่า ‘อาจารย์’ โดยไม่รู้ตัวเช่นนี้ ?

“ยังไม่เข้ามาเตรียมตัวอีกรึ ? อาจารย์บอกเจ้ากี่ครั้งกี่คราแล้วว่าการเก็บสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์ประเภทหนึ่งเช่นกัน สำหรับการพัฒนาฝีมือเป็นผู้หลอมโอสถที่สมบูรณ์แบบ การขึ้นเขาเพื่อเก็บสมุนไพรด้วยตัวเองคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง”

เขากล่าวตรงมาในทิศทางของฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยน

ฉินอวี้โม่มองไปรอบตัวทว่าไม่พบผู้ใดก่อนหันกลับมามองตรงไปที่บุรุษชราตรงหน้าอีกครั้ง หรือว่าเขากำลังพูดกับข้า ?

ป๊อก !

“หนูน้อยชิงเหอ เจ้ามัวแต่ครุ่นคิดอะไรอยู่ ? สีหน้าดูตึงเครียดทีเดียวเชียว”

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าหน้าผากของคนถูกเคาะเบา ๆ และบุรุษชราผู้นั้นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านางพร้อมมองตรงมาด้วยแววตาสงสัย

“ท่านกำลังเรียกข้ารึ…?”

ฉินอวี้โม่ชะงักนิ่งไปและอดที่จะถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

“ยังมีใครอื่นอยู่ที่นี่อีกรึ ?”

ป๊อก !

บุรุษชราหันมองไปรอบ ๆ ครู่หนึ่งและเคาะหน้าผากของฉินอวี้โม่อีกครั้งก่อนกล่าวต่อ “หนูน้อยชิงเหอ เจ้าแอบไปนอนกลางวันอีกแล้วรึ ? อาจารย์บอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามนอนในเวลากลางวัน เข้าใจรึไม่ ?”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยื่นตะกร้าไม้ไผ่ให้กับฉินอวี้โม่เพื่อให้นางสะพายไว้ที่หลัง

ฉินอวี้โม่รับมันโดยสัญชาตญาณทว่าน้ำหนักของตะกร้าก็ทำให้ตนเซไปเล็กน้อย

เมื่อก้มมองดูร่างกายของตนเอง นางกลับพบว่ามือของตนมีขนาดเล็กลงและทั้งร่างของตนเล็กลงมากจนกลายเป็นรูปลักษณ์ของดรุณีน้อยอายุประมาณสิบปีเท่านั้น

“ไปกันเถอะ ไปเก็บสมุนไพรกับอาจารย์กันเถอะ”

บุรุษชราเคราขาวพยักศีรษะอย่างพึงพอใจก่อนเดินนำฉินอวี้โม่ไปข้างหน้า

ฉินอวี้โม่ก้าวเดินตามไปด้วยความฉงนงุนงง ทว่าไม่สามารถหาคำอธิบายได้เลย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นางสับสนอย่างที่สุด…

.