มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 710
หากสามารถฝึกฝนภูตอัคคีจนถึงการแปรเปลี่ยนครั้งที่สามได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง ก็จะสามารถแผดเผามหาจักรพรรดิยุทธ์ให้กลายเป็นผุยผงได้

หลัวซิวไม่ยอมรับไม่ได้ว่า ภูตอัคคีร้อยแปรเป็นพลังอมตะที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ ประการสำคัญก็คือไม่จำเป็นต้องตระหนักรู้ถึงกฎเพลิงอัคคี แค่ต้องกลืนกินภูตอัคคีอย่างไม่ขาดสาย อานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ได้ ข้าเลือกภูตอัคคี!”

ในที่สุดหลัวซิวก็ได้ตัดสินใจ เขาไม่ขาดอาวุธวิเศษ ยาก็สามารถกลั่นขึ้นเองได้ ทักษะยุทธ์ก็มีวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ข้อคิดและประสบการณ์ในการฝึกยุทธ์เขาก็มีวิญญาณมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคอยให้คำแนะนำ รวมทั้งข้อคิดและประสบการณ์แห่งกฎความตายที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้เขา

เดิมตามแผนการของหลัวซิว คือต้องการข้อคิดและประสบการณ์ของกฎชีวิต แม้แต่ข้ออ้างก็ยังเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ก็คือบอกว่าตนเองต้องการกฎชีวิตที่ขัดแย้งกับกฎความตาย เพื่อมาเปรียบเทียบการตระหนักรู้กฎคความตาย

แต่ในเมื่อเทวทูตจื่อเยียนได้เอาพลังอมตะภูตอัคคีร้อยแปรออกมาแล้ว หลัวซิวก็เปลี่ยนแปลงความคิดทันที

จากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เขาได้รับภูตอัคคีเปลวเยือกมาแล้ว หากสามารถได้รับภูตอัคคีอีกชนิดหนึ่งจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็จะมีภูตอัคคีอยู่สองชนิด หลังจากที่ให้ภูตอัคคีกลืนกินได้กลืนกินไปทั้งหมด ก็จะเพิ่มขึ้นถึงระดับมกุฎอัคคีนภาเหลืองได้

สำหรับเคล็ดวิชาพลังไสยอัคคีที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมอบให้ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับภูตอัคคีร้อยแปรเลยสักนิด

“ดี!”

เมื่อเห็นหลัวซิวได้เลือกแล้ว หลิวหงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก และได้หยิบเอาลูกแก้วที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมา ที่ตรงกลางของลูกแก้ว ได้ผนึกเปลวเพลิงสีเขียวเอาไว้ ราวกับว่ามันได้ถูกกำหนดเอาไว้ งดงามเป็นอย่างมาก

เป็นที่ประจักษ์ นี่ก็คือภูตอัคคีชนิดหนึ่งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เก็บเอาไว้นั่นเอง

หลัวซิวอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่ายังมีภูตอัคคีชนิดอื่นอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่ หากมีละก็ เช่นนั้นตนก็ต้องดูว่าในอนาคตจะมีโอกาสเอามาได้หรือไม่ เพื่อนำมาฝึกฝนภูตอัคคีร้อยแปร

หลิวหงเทียนเหมือนว่าสามารถอ่านความคิดของหลัวซิวออก และยิ้มกล่าว: “แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะได้สะสมจิตฟ้าดินทั้งเจ็ดชนิดเอาไว้ แต่ภูตอัคคีกลับมีเพียงชนิดเดียว เจ้าอย่าได้คิดอีกเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ดูผิดหวังเล็กน้อย ทว่าจากนั้นเทวทูตจื่อเยียนก็ได้เอ่ยขึ้น: “ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้ม้วนหยกสองม้วนกับเจ้าไป ในม้วนหยกม้วนที่สองมีแผนที่อยู่ด้านใน นั่นเป็นแผนที่ที่อยู่ของภูตอัคคีชนิดหนึ่ง แต่ถ้าหากเจ้าต้องการไปตามหา จะต้องมีผลการฝึกตนในระดับเจ้ายุทธจักรขึ้นไปถึงจะได้”

“แต่จากความสามารถของเจ้าในตอนนี้สามารถทะลวงผ่านชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้า ก็นับว่ามีความสามารถที่เทียบเคียงกับเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปได้ แต่เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทางที่ดีรอเจ้าบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรก่อนแล้วค่อยไปสถานที่ที่ข้า” เทวทูตจื่อเยียนกล่าวตักเตือน

“ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว”

ด้านหน้าแท่นศิลาที่บันทึกการจัดอันดับ อัจฉริยะหนุ่มสาวในโลกแสงดาว ต่างก็มีท่าทางแปลกประหลาดขึ้นมา

ในตอนนี้ รายชื่อในอันดับหนึ่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ซิงหลิงที่อยู่ในอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ได้ถูกบีบจนลงไปอยู่อันดับที่สอง

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาทำได้อย่างไรกัน?”

บนใบหน้าของทุกคนต่างปะปนไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เพราะรายชื่อที่อยู่อันดับหนึ่งในตอนนี้นั้น เป็นหลัวซิว!

เงาร่างของจงสุนชายในชุดม่วงได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ก้มลงมองเหล่าอัจฉริยะหนุ่มสาวที่อยู่ด้านล่าง

“ระยะเวลาหนึ่งปีได้ครบกำหนด ตามอันดับการประลองยุทธ์ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกจะได้รับเวลาฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากสิบอันดับแรก จะต้องไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้แล้ว”

เสียงของจงสุนดังก้องไปในอากาศ “ตอนนี้หากพวกเจ้ายังเหลือเวลาฝึกตนในตำหนักเต๋าอยู่ สามารถนำมาแลกทรัพยากรสมบัติกับข้าได้”

“ผู้อาวุโส ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดอันดับของหลัวซิวถึงอยู่เหนือข้า” จู่ ๆ ซิงหลิงก็เอ่ยขึ้นมา