ในตอนนี้เมื่อเย่เจียงไห่จบจากปัญหาของมู่หลงหยานเรียบร้อย เขาจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องให้เสี่ยหนานเทียนอยู่ต่อ

“เดี๋ยวก่อน!” เสี่ยหนานเทียนรีบพูดขึ้นทันที “พี่เย่ ท่านลืมไปแล้วเหรอว่าท่านเป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะคอยดูแลข้า!”

เย่เจียงไห่อึ้งไปสักพัก จากนั้นเมื่อเขาทวนความจำของตัวเอง เขาก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าขมขื่นและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าอยู่อีกสัก 2-3 วัน จากนั้นเจ้าจะต้องออกไปจากที่นี่ทันที! น้องเขย เจ้าได้ขังอสูรปีศาจระดับสูงและบรรพบุรุษตระกูลหยูเอาไว้ในคุกของข้า เจ้าต้องการจะทำอะไรกับพวกเขาต่อ? อ๋อจริงสิ ยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นอีกที่เป็นของอสูรตัวนั้น”

หลิงตู้ฉิงตอบกลับว่า “สำหรับอสูรตัวนั้น พวกเราก็เอามาแบ่งกันกินก็แล้วกัน ส่วนคนตระกูลหยูผู้นั้นข้าตั้งใจว่าจะทิ้งไว้ให้เป็นทาสรับใช้ของเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เอา ข้าเอาตัวเขาไปก็ได้”

มู่หลงหยานรีบพูดแทรกขึ้นทันที “ผู้คนมากมายได้เห็นอสูรปีศาจตัวนั้นแล้ว แถมมันยังเป็นอสูรปีศาจระดับสูงอีกต่างหาก หากเรากินมันพวกเผ่าอสูรจะต้องมาสร้างปัญหากับพวกเราแน่นอน”

“มันก็แค่อสูรเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่เคยกินมันมาก่อน!” หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน

เย่เจียงไห่พยักหน้า “เมื่อล้านปีที่แล้วข้าก็เคยกินพวกมันเช่นกัน แต่ว่าไอ้อสูรตัวนี้ดูท่าว่ามันน่าจะทรงพลังอยู่มาก การที่จะกินมันอาจจะไม่ง่ายสักเท่าไหร่!”

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่เย่เจียงไห่ และถามว่า “เจ้ากลัวงั้นเหรอ?”

“ข้าเนี่ยนะกลัว?” เย่เจียงไห่ถามกลับ

ในขณะเดียวกับที่พวกเขาพูดจบ จู่ ๆ ตัวตำหนักก็สั่นอย่างรุนแรงและจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดและเสียงตะโกน “ไอ้พวกที่อยู่ข้างในจงปล่อยตัวสหายอสูรของพวกเรามาเดี๋ยวนี้!”

เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ฉายภาพเหตุการณ์ด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนทันที ซึ่งมันทำให้ทุกคนเห็นว่าข้างนอกมีร่างขนาดใหญ่ 3 ร่างปรากฏอยู่

ร่างทั้งสามร่างนั้นมี หมีขนสีเหลืองตัวสูงราว 300เ มตร ที่กำลังใช้อุ้งเท้าหน้าทุบกำแพงพลังวิญญาณของตำหนักอยู่

อีกร่างก็คือแร้งขนาดใหญ่ที่มีความกว้างจากปลายปีกไปถึงอีกปลายอีกด้านหนึ่งถึง 700-800 เมตร กำลังหยุดตัวลอยอยู่เหนือตำหนักบดบังแสงอาทิตย์

ส่วนตัวสุดท้ายก็คืองูที่มีลำตัวยาวกว่า 10 กิโลเมตร กำลังพ่นพิษของมันใส่กำแพงวิญญาณอยู่เช่นกัน

เย่เจียงไห่มองไปที่อสูรระดับสูงทั้งสามตัว และจากนั้นเขาก็ถามหลิงตู้ฉิงว่า “น้องเขย พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี? อสูรปีศาจ 3 ตัวที่อยู่ในระดับขอบเขตมหาจักรพรรดิแถมยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อีก 3 ชิ้น ข้ารับมือพวกมันพร้อมกันไม่ไหวแน่!”

หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้ข้าจัดการเอง ไอ้พวกนี้มาก็ยิ่งดีเลย ข้าจะได้เพิ่มรายการอาหารนอกจากเนื้อช้างแล้วพวกเราจะได้กิน อุ้งตีนหมีย่าง หางงูตุ๋นและผัดปีกแร้ง!”

ทางด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ในขณะนี้ยังผู้คนอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังรอดูสถานการณ์อยู่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเหล่าอสูรยกพรรคพวกกันมามากมายเพื่อสร้างปัญหา พวกเขาต่างก็จ้องมองเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้น

ด้านหนึ่งคือเหล่าอสูรระดับสูงร่างยักษ์ที่มีความแข็งแกร่งล้นเหลือ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือผู้เชี่ยวชาญจากเมื่อล้านปีที่แล้วกลับชาติมาเกิดใหม่

การที่สองขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งประจันหน้ากันแบบนี้มันเป็นภาพที่หาดูได้ยาก

“ส่งตัวสหายของพวกเราคืนมา!” หมียักษ์ใช้อุ้งเท้าหน้าตบไปที่กำแพงวิญญาณของตำหนักอีกรอบ

เมื่อโดนโจมตีอีกครั้งอย่างรุนแรง กำแพงพลังวิญญาณที่ป้องกันตำหนักก็สั่นคลอนอย่างรุนแรงอีกรอบราวกับว่ามันกำลังจะพังทลาย

“หมีเฒ่า ทำไมเราไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราทำลายกำแพงพลังวิญญาณนี้ให้มันถล่มไปเลย?” แร้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พวกเจ้าคิดว่าอสูรอย่างพวกเจ้าแข็งแกร่งมากนักรึไง?” เย่เจียงไห่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ “ตั้งแต่อดีตกาล ข้าเองก็เคยกินอสูรอย่างพวกเจ้าไปแล้วมากมาย อ๋อใช่ แม้กระทั่งเผ่าอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด คุนเป๋งของพวกเจ้าข้าก็กินมาแล้ว!”

แร้งตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาลทันที “รนหาที่ตาย!”

เมื่อพูดจบ แร้งก็กระพรือปีกสะบัดขนสีทองเข้าโจมตีเย่เจียงไห่ทันที

ทางด้านของเย่เจียงไห่ก็บังคับเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้ปล่อยเพลิงเผาขนที่กำลังพุ่งเขามาจนไหม้หายไปจนหมดและพูดว่า “มันเป็นไอ้ช้างโง่นั่นของพวกเจ้าที่มาโจมตีตำหนักข้าก่อน ดังนั้นการที่ข้าจะจับมันไว้ก็ไม่แปลก แต่สำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ายังไม่ไสหัวไป ข้าจะใช้เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของข้าจับพวกเจ้าทั้งหมดเอาไว้เช่นกัน!”

ในตอนนี้เขาหวังพึ่งได้แต่เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในการข่มขู่อสูรเหล่านี้ เขาเพิ่งจะคืนความแข็งแกร่งของตัวเองมาอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้น เขารู้ตัวดีว่าตนเองยังไม่สามารถรับมือกับอสูรทั้งสามตัวนี้ได้พร้อม ๆ กัน

แต่น่าเสียดายที่อสูรพวกนี้นั้นมีชีวิตอยู่มานานแล้ว แถมแต่ละตัวยังนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองมาด้วย พวกมันจะกลัวคำขู่แค่นี้ได้ยังไง?

หมียักษ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันทันที “ถ้าเจ้าไม่คืนพวกของพวกเรามาพร้อมกับขวานศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ แค่พวกข้าไม่เรียกร้องให้เจ้าชดใช้มันก็ถือว่าพวกข้าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว ดังนั้นเจ้าจงส่งตัวพวกของเรามาซะโดยดี!”

เย่เจียงไห่ตอบกลับทันที “รอจนกว่าข้าจะใช้พวกของเจ้าไถหน้าดินรอบ ๆ ตำหนักข้าให้เสร็จก่อน จากนั้นข้าจะคืนช้างนั่นให้กับพวกเจ้า!”

หลังจากพูดจบ เย่เจียงไห่ก็หายตัวกลับเข้าไปในตำหนักทันทีไม่หันหลังกลับมามองอีก

เมื่อเย่เจียงไห่กลับเข้ามาในตำหนัก เขาก็รีบพูดกับหลิงตู้ฉิงทันที “น้องเขย เจ้าให้ข้ายืมใช้กิ่งไม้นั่นหน่อยจะได้ไหม ข้างนอกนั่นมีพวกมันอยู่ตั้ง 3 ตัว ข้าและเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของข้าคงรับมือไม่ไหวแน่นอน”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ฝันไปเถอะไอ้หนู เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เหรอว่าเจ้าคิดอะไรอยู่!”

เย่เจียงไห่ยิ้มและพูดว่า “แต่ตอนนี้ข้าจำเป็นที่จะต้องใช้กิ่งไม้นั่นจริง ๆ นี่นา หากไม่มีมันแล้วข้าไม่มีทางสยบไอ้ 3 ตัวข้างนอกนั่นได้แน่ ๆ”

“ใครบอกว่ามีแต่เจ้าคนเดียวที่สำแดงอำนาจของกิ่งไม้ได้?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่เจียงไห่ จากนั้นเขาพูดกับหมิงยู่ว่า “หมิงยู่ ให้ข้ายืมพลังของเจ้าที!”

ในเวลาเดียวกัน อสูรระดับสูงทั้งสามต่างก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าเย่เจียงไห่ไม่ไว้หน้าพวกมันเลยแม้แต่น้อย

คำขอนั้นง่ายมาก พวกมันแค่เพียงต้องการคนของพวกมันคืนพร้อมกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของพวกมัน พวกมันไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรอย่างอื่นเพิ่มเลยแม้แต่น้อย

แต่ว่าไอ้เจ้าตำหนักผู้นี้มันกลับตอบด้วยคำพูดหยิ่งผยองว่าจะใช้พวกของพวกเขามาไถดินรอบตำหนัก?

นั่นมันช้าง! ไม่ใช่วัวจะเอามาไถดินได้ยังไง?

“พวกเราฆ่ามันด้วยกันเถอะ!” หมียักษ์เอ่ยขึ้นทันที

เมื่อพูดจบ หมียักษ์ก็เรียกค้อนศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองออกมา และในเวลาเดียวกัน แร้งก็ใช้เผยกรงเล็บของมันเตรียมตัวโจมตีส่วน งูยักษ์ก็อ้าปากของมันเตรียมพ่นพิษเช่นกัน

แต่แล้วในขณะที่ทั้ง 3 อสูรกำลังจะลงมือ จู่ ๆ ก็มีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งบินออกมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนพุ่งตรงมาหาพวกเขา

เมื่อกิ่งไม้บินมาใกล้ทั้งสาม ส่วนของใบไม้ที่ติดอยู่กับกิ่งก็เริ่มสำแดงอำนาจของมันดูดเอาอสูรทั้งสามเข้าไปในใบทันทีโดยที่ทั้งสามไม่อาจขัดขืนอะไรได้เลย

บรรดาผู้คนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนที่ได้เห็นภาพเช่นนี้ต่างก็ตกตะลึงกันเป็นการใหญ่ จากนั้นเมื่อได้สติพวกเขาก็รีบบินหนีไปอย่างไม่คิดชีวิตกันในทันที

เหตุผลที่พวกเขายังคงรออยู่ด้านนอกเพราะว่าพวกเขายังคงมีความคิดที่ไม่ยินยอม โดยเฉพาะเหล่าคนของสำนักเบญจธาตุที่สูญเสียบรรพบุรุษของตัวเอง ซึ่งพวกเขาต้องการล้างแค้น และต้องการที่จะโจมตีตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนอีกครั้งเพื่อขโมยสมบัติที่มีอยู่มากมายข้างใน หากพวกเขาโจมตีได้สำเร็จประโยชน์มากเท่าไหร่ที่รอพวกเขาอยู่กัน?

แต่แล้วเมื่อพวกเขาเห็นว่าแม้แต่อสูรระดับสูงที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิทั้งสามแถมยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังโดนจัดการได้ง่าย ๆ ขนาดนี้ พวกเขาก็รู้สึกหนาวไปจนถึงขั้วกระดูก

ตอนนี้พวกเขาคิดได้แล้วว่าความแค้นและแผนของพวกเขาคงไม่มีวันเป็นจริงได้!