ตอนที่ 867 ลอบตรวจสอบ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 867 ลอบตรวจสอบ

ฟู่เสี่ยวกวนทราบเรื่องที่หลิวจิ่นห้าวออกจากท่าเทียบเรือแล้ว

ส่วนเรื่องความอันตรายจากการเดินทางเขาเองก็ทราบดีเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงเชิญซูเจวี๋ย เกาหยวนหยวนและซูม่อให้ร่วมเดินทางไปด้วย มิใช่ว่าทั้งสามคนจะสามารถรักษาความปลอดภัยของเรือลำนั้นได้หรอก เขาเพียงหวังว่าทั้งสามคนจะสามารถนำแผนที่เดินเรือและสมุดบันทึกของหลิวจิ่นห้าวกลับมาได้ก่อนที่เรือลำนั้นจะอับปางลง

หวังว่าพวกเขาจะโชคดีและหวังว่าพวกเขาจะสามารถเดินทางออกไปได้ไกลขึ้นอีกสักเล็กน้อย

จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างมิคุ้นชินที่ข้างกายขาดหลิวจิ่นไป ดังนั้นเรียกขันทีเจี่ยมาอยู่ข้างกายก่อนชั่วคราว แล้วค่อยให้ขันทีเจี่ยหาขันทีหนุ่มที่หัวไวอีกสักคนมาอยู่ข้างกายก็น่าจะได้แล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินทางออกจากวังหลวงพร้อมกับขันทีเจี่ยเพียง 2 คน

วันนี้เป็นวันที่สามของปีใหม่ เขาเตรียมไปเยี่ยมเหวินสิงโจวและแน่นอนว่าถือโอกาสไปเยี่ยมไป๋ยู่เหลียนด้วยเช่นกัน

ไป๋ยู่เหลียนสมรสกับเหวินซีรั่วเมื่อปลายปีที่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมอบจวนหนึ่งหลังให้ไป๋ยู่เหลียนแต่ดูเหมือนว่าจวนยังสร้างมิเสร็จ บัดนี้ไป๋ยู่เหลียนจึงอาศัยอยู่ที่จวนเหวิน

ถนนทอดยาว ผู้คนพลุกพล่านราวกับมิได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศเลยแม้แต่น้อย

ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มให้ความสนใจ จากนั้นก็เอ่ยกับขันทีเจี่ยว่า “ยามเช้าเช่นนี้พวกเราไปดูตลาดทางตะวันออกและตะวันตกกันสักหน่อยเถิด”

ความรุ่งเรืองของตลาดสามารถสะท้อนสภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เขาจึงอยากไปดูสักหน่อยว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง

ในตอนนี้เมืองกวนหยุนมีจำนวนประชากรมากกว่าตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมเมื่อปีนั้นถึงหลายแสนคน

ส่วนหนึ่งเป็นผู้ค้าขายจากแคว้นต่าง ๆ ที่เข้ามาลงทุนในราชวงศ์อู๋ ทั้งยังมีพ่อค้าผู้มั่งคั่งจากรัฐต่าง ๆ ของราชวงศ์อู๋เองอีกด้วย และยังมีชาวฮวงที่มีฐานะเดินทางมาจากเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน

เมืองกวนหยุนคือใจกลางของราชวงศ์อู๋ จักรพรรดิเต๋อจงออกนโยบายใหม่มาบ่อยครั้ง ดังนั้นชาวเมืองกวนหยุนจะทราบนโยบายใหม่ของพระองค์ก่อนผู้ใด และจะสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจที่เกิดจากนโยบายเหล่านี้ได้ก่อน

อย่างเช่นการเลี้ยงหมู !

ถังเจียโกวที่อยู่ห่างจากเมืองกวนหยุนหลายร้อยลี้มีชาวฮวงผู้หนึ่งกว้านซื้อที่ดินรกร้างผืนใหญ่ เขามีนามว่าท่าป๋าเสี่ยวชู่ เขาได้ลงทุนจำนวนมหาศาลกับสถานที่แห่งนั้นเพื่อสร้างโรงเรือนเลี้ยงหมูขนาดใหญ่หนึ่งหลัง ทั้งยังจ้างเกษตรกรจำนวนหนึ่งในถังเจียโกวมาเลี้ยงหมูให้กับตน

แน่นอนว่าเถ้าแก่ชาวฮวงผู้นี้ มิค่อยได้อยู่ที่โรงเรือนเลี้ยงหมูสักเท่าใดนัก สุดท้ายหมูนับพันตัวย่อมเผยกลิ่นมิพึงประสงค์ออกมา

เถ้าแก่ชาวฮวงผู้นี้ซื้อเรือนหนึ่งหลังที่เมืองกวนหยุน เขาย้ายครอบครัวมาพำนักที่นี่ อีกทั้งยังซื้อร้านค้าเพื่อเตรียมไว้ขายหมูโดยเฉพาะในตลาดทางตะวันตกและตะวันออกรวม 2 แห่ง

เนื้อหมูได้ทำการขายอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว ราคายังเหมือนเมื่อก่อนคือ 10 อีแปะต่อ 1 ชั่ง

วันที่เนื้อหมูวางจำหน่ายวันแรกเขาฆ่าหมูหนึ่งร้อยตัวเท่านั้น ในแรกเริ่มท่าป๋าเสี่ยวชู่รู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก เขากังวลใจว่าของสิ่งนี้จะได้รับเสียงตอบรับจากผู้คนหรือไม่

ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เขาตกตะลึง !

หมูตัวหนึ่งที่เพิ่งโตได้เพียงห้าเดือนก็หนัก 120 – 130 ชั่งแล้ว หมู 100 ตัวจะได้เนื้อมา 10,000 ชั่ง ผลลัพธ์ในครึ่งวันนี้ มิต้องเอ่ยถึงเพราะแม้แต่กระดูกก็ยังถูกขายจนหมดเกลี้ยง

ธุรกิจนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก แม้หมูหนึ่งตัวจะขายได้เงินแค่หนึ่งหรือสองตำลึง แต่เมื่อหักลบต้นทุนแล้วก็ยังได้กำไรมากถึงสามส่วน เมื่อเทียบกับการเลี้ยงแกะ หมูจึงเลี้ยงง่ายกว่ามาก ช่วงเวลาที่ออกจากคอกก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น ที่สำคัญคือผู้บริโภคมีจำนวนมากและเป็นชาวบ้านทั่วไปเสียส่วนใหญ่

ดังนั้น ปีนี้ท่าป๋าเสี่ยวชู่จึงตัดสินใจทำการใหญ่เพื่อที่ภายภาคหน้าการเลี้ยงหมูจะได้เป็นกิจการหลักของตน

แน่นอนว่าในยามนั้นเขายังมิได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาดในอนาคต

เนื้อหมูขายดีเป็นอย่างมากจนถึงขั้นมีเกษตรกรในชนบทของราชวงศ์อู๋เริ่มเลี้ยงหมูในปริมาณมาก ๆ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ก็กลายเป็นว่าตลาดเนื้อหมูเริ่มอิ่มตัว

ฟู่เสี่ยวกวนและขันทีเจี่ยเดินทางมาถึงตลาด เขาลงจากรถม้า มองเห็นภาพฝูงชนเดินเบียดเสียดกันไปมา

ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขากำลังต่อรองราคาสินค้ากับผู้ขาย มีเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ขายดังมาเป็นระลอก และยังมีเสียงประทัดที่เด็ก ๆ จุดเล่นเป็นครั้งครา

ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาจนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่านี่ต่างหากคือความหมายของชีวิต

เขาเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน ขันทีเจี่ยเดินตามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ฟู่เสี่ยวกวนเหลียวซ้ายแลขวาจนมาถึงหน้าร้านค้าที่เป็นตลาดขายเนื้อโดยเฉพาะ

ตลาดแห่งนี้มิเลวเลย อืม…มีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวนและรักษาความสงบถือว่าจัดการได้ยอดเยี่ยมยิ่ง

ด้านหน้าร้านค้ามีผู้คนจำนวนมากรายล้อม หน้าร้านเนื้อแกะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีจำนวนคนค่อนข้างน้อย ส่วนหน้าร้านเนื้อหมูแทบจะเรียกได้ว่าผู้คนล้นทะลัก

เมื่อมองดูแล้วความสุขบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อย ๆ หายไป เขาขมวดคิ้วมุ่นและทันทีที่ขันทีเจี่ยสังเกตเห็นจึงพยายามมองหาสิ่งผิดปกติทว่าก็มิพบ จึงเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่าน เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“เจ้าดูสิ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังผู้คนสองกลุ่ม “ผู้ที่ซื้อเนื้อแกะสวมใส่ผ้าแพรต่วนหรือผ้าไหม แต่ผู้ที่ซื้อเนื้อหมูล้วนเป็นสามัญชนทั้งสิ้น”

ขันทีเจี่ยชะงักงัน ก็มิเห็นจะแปลกเลยนี่ เนื้อแกะหนึ่งชั่งราคา 60 – 70 อีแปะ แต่เนื้อหมูราคามิเกิน 10 อีแปะ สามัญชนทั่วไปย่อมมิสามารถทานเนื้อแกะได้ ส่วนคนรวยเองก็เหยียดหยามเนื้อหมูมากเช่นกัน

“ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยเป็นเรื่องร้ายแรง ในหนึ่งแคว้นมิควรแบ่งให้น้อยหรือมาก แต่ควรแบ่งให้เท่าเทียมกันมิใช่หรือ…” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดต่ออีก เพราะนี่คือปัญหาใหญ่ที่มีมานานนับพันปี

เป็นไปมิได้ที่จะทำให้คนรวยและคนจนเท่าเทียมกัน เพราะสิ่งที่ทุกคนแสวงหามีความแตกต่าง การดิ้นรนก็มิเท่ากัน วิสัยทัศน์และปัจจัยอื่น ๆ ก็มิเหมือนกัน ดังนั้นย่อมเกิดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยแน่นอนอยู่แล้ว

เหล่าผู้ค้าขายผ่านการสะสมทุนมาหลายชั่วอายุคน จึงสามารถมีวันที่รุ่งโรจน์เฉกเช่นวันนี้ได้

จะกล่าวหาว่าพวกเขาไร้คุณธรรมได้ด้วยหรือ ?

ขอเพียงแค่พวกเขาทำธุรกิจถูกกฎหมายและจ่ายภาษีตามระเบียบ นั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรจะได้รับแล้ว

ในหนึ่งแคว้นมีสามัญชนมากกว่าคนรวย ดังนั้นหลักสำคัญของเจ้าหน้าที่ทางราชการคือหาหนทางเพิ่มรายได้ให้แก่สามัญชนเหล่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่ พบว่าอย่างแรกในที่นี้คือการศึกษาเพราะการศึกษาอย่างทั่วถึงและโครงสร้างเคอจี่ที่ยุติธรรมจะมอบหนทางในการยกระดับเยาวชนที่เกิดในครอบครัวสามัญชนได้ อีกทั้งยังช่วยขจัดค่านิยมนับพันปีที่ว่า…ครอบครัวสามัญชนไร้บุตรที่มีความสามารถออกไปได้อีกด้วย

พวกเขาล้วนมีความรู้และมีวิสัยทัศน์ ต่อให้มิได้เป็นขุนนางแต่ก็ยังสามารถหาหนทางขจัดความยากจนในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของการปฏิรูปได้

แล้วสำหรับครอบครัวที่หมดหนทางอย่างแท้จริงเล่า… ก็จำต้องสร้างระบบคุ้มครองขั้นพื้นฐานให้แก่คนจนในสังคม

เรื่องนี้จะดำเนินการเมื่อเปิดราชสำนักหลังวันหยุดยาว ส่วนเรื่องบรรเทาความยากจนนั้นฟู่เสี่ยวกวนยอมแพ้และได้ละทิ้งความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวทันที

“ไปซื้อเนื้อมาสักเล็กน้อย เอาเนื้อหมูเพราะพวกเราจะไปย่างทานที่จวนผู้อาวุโสเหวิน”

“…อยู่ตรงนี้คนเดียวอันตรายนะขอรับ”

“วางใจเถิด เยี่ยงไรข้าก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสาม”

ขันทีเจี่ยรู้สึกเสียใจมากยิ่งนักที่พาฟู่เสี่ยวกวนมายังสถานที่แห่งนี้ หรือต่อให้มาก็ควรจะเรียกคนเยี่ยงเป่ยหวังฉวนมาด้วยสิ

เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ มองไปรอบด้านเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปยังแผงขายเนื้อและต่อท้ายแถวอย่างเป็นระเบียบ

สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกวาดมองโดยรอบ หลังจากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่มุมหนึ่งของตลาด

ที่ตรงนั้นมีขอทานชราและขอทานเด็กอายุราวห้าถึงหกปีนั่งอยู่

ขอทานตัวน้อยจ้องมองแผงเนื้ออย่างเลื่อนลอย ลอบกลืนน้ำลายอยู่หลายอึก

เขามิได้เดินเข้าไปมอบเงิน แต่กลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาแทนซึ่งนั่นก็คือ…สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชรา

สาเหตุที่มีขอทานเช่นนี้ มีด้วยกันหลายประการ อย่างเช่นปู่และหลานที่อยู่เบื้องหน้านี้ ปู่สูญเสียมือไปหนึ่งข้างและยังขาเป๋หนึ่งข้างอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าไร้หนทางทำมาหากิน เขาจึงมิสามารถใช้กำลังทำงานเพื่อหาเลี้ยงเด็กคนนี้ได้

พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากทางราชการ มิเช่นนั้นเด็กน้อยจะมิได้รับสิทธิ์การศึกษาภาคบังคับไปโดยปริยาย

คิดอยู่เยี่ยงนั้นจนผ่านไปเนิ่นนาน ขันทีเจี่ยเดินเข้ามาพร้อมกับเนื้อหมูราว 3 ชั่ง “เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้วนะขอรับ เกือบหาซื้อมิได้แล้วขอรับ”

“ไปกันเถิด ช่วยจำเอาไว้สักหน่อยว่าเมื่อกลับถึงวังหลวงแล้ว จงเรียกโจวถงถงมาพบข้าสักหน่อย”