บทที่ 693 ความรู้สึกของการโปรยทาน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 693 ความรู้สึกของการโปรยทาน

เฉียนซื่อเหลือเงินติดตัวก้อนสุดท้ายอยู่ 500 เหรียญทองคำ สีหน้าของเขาบอกชัดถึงความเศร้าโศกสุดชีวิต ต้องเอ่ยปากขอยืมเงินจากเหล่าขุนพลผู้กล้าที่อยู่รอบตัวอีกหลายคน จึงมีเงินครบ 1,000 เหรียญทองคำในที่สุด หลังจากนั้น เฉียนซื่อก็ยื่นส่งถุงใส่เหรียญทองคำให้แก่หลินเป่ยเฉินด้วยใบหน้านองน้ำตา

เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายและกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบที่เห็นท่านเป็นเช่นนี้เลย”

เฉียนซื่อเบิกตาโต

ผู้คนถูกข่มขู่รีดไถ จะให้ยิ้มแย้มด้วยความดีใจได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินพ่นลมผ่านทางจมูก พูดน้ำเสียงเย็นชา “รู้ใช่ไหมว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ของท่านเองนั่นแหละที่คะยั้นคะยอให้ข้าไปหอนางโลมแห่งนั้น ตอนแรกข้าก็ไม่คิดไปหรอก แต่เดี๋ยวจะหาว่าหักหาญน้ำใจกันเกินไป ก็เลยขอเป็นส่วนลดเอาไว้ใช้จ่ายในภายหลัง ข้าไม่ได้มีเจตนาจะข่มขู่รีดไถเอาจากท่านเลยสักนิด”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็ชี้มือไปยังกองเหรียญทองคำที่อยู่รอบตัว “ท่านเห็นหรือไม่ว่าข้าร่ำรวยขนาดไหน แล้วข้าจะไปอยากได้เงินแค่พันเหรียญทองคำของท่านทำไม?”

แม่ทัพใหญ่โค้วจงเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

เฉียนซื่อใบหน้ากระตุก

จะเอากันถึงขั้นนี้เลยใช่ไหม

ตุบ

ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์พลันคุกเข่าลงไปบนพื้นดิน “ข้าผิดไปแล้ว คุณชายหลินได้โปรดรับเงิน 1,000 เหรียญทองคำนี้ของข้าด้วย”

“ก็แค่เศษเงินละนะ”

หลินเป่ยเฉินรับถุงใส่เหรียญทองคำมายกขึ้นดูอย่างพิจารณา ก่อนที่เขาจะล้วงมือเข้าไปในถุงนั้นและโปรยเหรียญทองคำไปทางกลุ่มของนายทหารคนงานขุดเหมือง

“ข้ามีรางวัลพิเศษมาให้พวกเจ้า ไม่ว่าใครเก็บได้ เหรียญทองก็จะเป็นของคนผู้นั้น”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอย่างมีความสุข

“ขอบคุณท่านแม่ทัพขอรับ”

“ท่านแม่ทัพจงเจริญ”

“บุญคุณครั้งนี้ ข้าน้อยจะไม่ลืมเลยขอรับ”

กลุ่มนายทหารอดีตคนงานขุดเหมืองส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจและแย่งกันเก็บเหรียญทองคำอย่างชุลมุนวุ่นวาย

รอยยิ้มแบบเด็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน

อ้า นี่สินะความรู้สึกของการโปรยทาน

ด้วยว่ากลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองเหล่านี้เป็นเสมือนหลักประกันของหลินเป่ยเฉิน

เพราะฉะนั้น เขาต้องหาทางทำให้คนกลุ่มนี้มีความสุขที่สุด

เมื่อเขาได้กินเนื้อ นายทหารเหล่านี้ต้องได้กินน้ำซุป อย่าให้ต้องอดอยากปากแห้งเด็ดขาด

“ฮ่าฮ่า หลานชาย…”

โค้วจงยิ้มกว้าง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง

ที่ปรึกษาเฉียนซื่อเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

ท่านแม่ทัพใหญ่ ขอร้องล่ะ ท่านช่วยหุบปากได้หรือไม่

เวลาท่านเปิดปากพูดทีไร ข้าต้องมีเรื่องเดือดร้อนให้เสียเงินทุกทีไป

“โอ๊ะ แย่แล้วขอรับท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าท่านมีนัดสำคัญในตัวเมืองวันนี้ หลังเกิดการบุกโจมตีของชาวทะเลเมื่อสักครู่ ท่านแม่ทัพเกาคงต้องเรียกประชุมขุนพลส่วนใหญ่เป็นแน่แท้ พวกเรารีบกลับกันเถิดขอรับ…”

เฉียนซื่อพูด น้ำเสียงร้อนรน

สุดท้าย เหล่าขุนพลคู่ใจที่อยู่บนหลังม้าด้านหลังโค้วจงก็หมุนหัวม้าของตนเองควบขี่กลับไปยังพื้นที่เมืองเขตสาม ด้วยความรู้สึกของการเป็นผู้แพ้ยับเยินทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดการต่อสู้แม้แต่น้อย

และพวกเขาก็กำลังหวาดกลัวด้วยเช่นกัน

จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนหลุดปากบอกเล่าเรื่องราวที่หลินเป่ยเฉินข่มขู่รีดไถแม่ทัพใหญ่โค้วจงและที่ปรึกษาเฉียนซื่อในชนิดที่แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวกันทั้งคู่?

อาจมีการสั่งฆ่าปิดปากตามมาหลังจากนี้ก็เป็นได้

“หลานชาย วันหน้าวันหลัง เราคงต้องหาโอกาสมาสังสรรค์กันบ้างแล้วนะ…”

“ข้าจะรอคอยเจ้า”

แม่ทัพใหญ่โค้วจงพูดทิ้งท้ายขณะหันหัวม้าจากไป

โดยที่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตา

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

แม่ทัพใหญ่วัยกลางคนผู้นี้ นอกจากจะช่วยสร้างชื่อเสียงของเขาให้โด่งดังหลังนี้แล้ว ยังมอบเงินให้หลินเป่ยเฉินถึงห้าล้านกับอีก 1,000 เหรียญทองคำอีกด้วย โดยที่ฝ่ายนั้นไม่รอรับตัวประกันกลับไปด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้เด็กหนุ่มซาบซึ้งใจได้อย่างไร?

เมื่อลองคิดดูดีๆ แล้ว

หลินเป่ยเฉินก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า นี่เขาใจร้ายเกินไปหรือเปล่า?

แต่หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ต้องยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเสียงดังเพี๊ยะและอุทานออกมา “ให้ตายสิ เผลอพลาดท่าหลงกลเข้าจนได้”

ทุกสายตาจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ

พลาดท่าหลงกลอย่างนั้นหรือ?

ต่อให้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบริวารของหลินเป่ยเฉิน แต่ทุกคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเด็กหนุ่มพลาดท่าหลงกลฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินจึงต้องอธิบายให้ทุกคนฟังว่า “แม่ทัพใหญ่โค้วจงคิดอาศัยเงินก้อนนี้ เป็นค่าจ้างให้พวกเราดัดนิสัยตัวประกันเหล่านั้นทั้งหมด เดิมทีพวกเขาจะต้องเป็นนายทหารตัวปัญหาในกองทัพอย่างแน่นอน เมื่อพวกเราใช้งานหนักและปรับทัศนคติทหารเหล่านั้นได้เรียบร้อย แม่ทัพใหญ่โค้วจงถึงค่อยกลับมารับตัวไปเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้น พวกเราสั่งสอนตัวประกันให้เต็มที่ ไม่ต้องคิดสงสารอีกต่อไป…”

ได้ยินดังนั้น เซียวปิงที่กำลังยืนกินน่องไก่ก็หมุนตัวเดินหายไปพักหนึ่ง

ก่อนที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนจะเดินกลับมาพร้อมกับนายทหารชุดดำคนหนึ่ง

นายทหารผู้เป็นตัวประกันคนนั้นพยายามดิ้นรนขัดขืน ก่อนที่จะส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อถูกโยนเข้าไปในกลุ่มของนายทหารคนงานขุดเหมือง

เพียงพริบตาเดียว นายทหารผู้เป็นตัวประกันก็ถูกปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก หลงเหลือเพียงกางเกงชั้นในสีขาวเท่านั้น

“ข้าชนะ ข้าชนะแล้ว สีขาวจริงๆ ด้วย ข้าสามารถถอนทุนคืนกลับมาได้แล้ว”

หนึ่งในนายทหารคนงานขุดเหมืองตะโกนออกมาด้วยความดีใจสุดขีด

หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกระโจมที่พักของตนเอง

ให้ตายสิ

ช่างเป็นวันที่สวยงามเหลือเกิน

โลกนี้นับว่ายังไม่สิ้นคนดีจริงๆ

เด็กหนุ่มนอนพักอยู่ในกระโจม ได้รับการนวดคลึงจากสองสาวรับใช้ ก่อนจะเริ่มต้นโคจรพลังลมปราณอีกครั้ง

พลังปราณธาตุดินและพลังปราณธาตุไม้ของเขาสูญสลายไปแล้ว

จำเป็นต้องกลับมาฝึกใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น

แต่ที่สำคัญก็คือหลังหลบหนีออกมาจากวิหารได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็พบว่าพลังปราณธาตุไฟที่หลุดออกมาจากกลุ่มก้อนพลังในร่างกายของเขานั้นก็หายลับไปแล้วเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินไม่สามารถใช้พลังปราณธาตุไฟได้อีก

เฮ้อ

ไม่ว่าเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถลบเลือนความหงุดหงิดใจที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียพลังได้สักที

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตื่นเต้นกับเหรียญทองคำเหล่านี้อีกแล้ว

เพราะหลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองได้ครอบครองในขณะนี้ ล้วนมาจากความแข็งแกร่งของเขาทั้งสิ้น

ถ้าไม่รีบฟื้นฟูพลังกลับมาให้เร็ว อีกไม่นานเขาจะต้องมีปัญหาแน่นอน

การที่หลินเป่ยเฉินใช้งานปืนยิงจรวด Type 69 คงเรียกความสนใจจากพวกคนใหญ่คนโตประจำเมืองได้ไม่ใช่น้อย

ดังนั้น เขาจึงเปิดการทำงานของแอปการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐานในโทรศัพท์

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเล็กน้อย

นี่คือพลังลมปราณที่ไม่มีพลังปราณธาตุเจือปน

สำหรับหลินเป่ยเฉินนี่คือขั้นตอนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้ว เขาก็กลับมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอน มือซ้ายและมือขวากำศิลาบูชาคุณภาพสูง และปล่อยให้ร่างกายทำงานไปตามแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ…

กาลเวลาผ่านไป

ระดับพลังลมปราณในร่างหลินเป่ยเฉินเพิ่มมากขึ้น

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มเปลี่ยนการใช้งานจากแอปโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐาน มาเป็นแอปการโคจรพลังลมปราณสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป

ผ่านไปเกือบสองวัน

ระดับพลังของหลินเป่ยเฉินก็ขึ้นมาอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 9 แล้ว

ศิลาบูชาในมือของเขาแตกสลายกลายเป็นก้อนกรวดเล็กๆ

หลินเป่ยเฉินพยายามอย่างหนักที่จะทะลวงคอขวดเพื่อเลื่อนสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับหนึ่งให้ได้

หลังจากนั้น…

พลังลมปราณในร่างกายของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้น

เด็กหนุ่มอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 9 ตอนปลายแล้ว

แต่หลังจากนี้แหละที่เป็นปัญหา

การจะเปิดพลังปราณธาตุในร่างกายขึ้นมาได้ จำเป็นต้องได้รับพรจากเทพกระบี่เสียก่อน

คำถามก็คือ

หลินเป่ยเฉินควรขอรับพรจากเทพีกระบี่หิมะไร้นามหรือเยว่เว่ยหยางดีนะ?

แต่หลังจากลองคิดทบทวนดูแล้ว เด็กหนุ่มก็ต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ

เรื่องนี้ยังจะต้องถามอีกหรือ?

ตอนนี้แค่เยว่เว่ยหยางเห็นหน้าเขา ก็คงอยากจะตบให้ตายแล้วมั้ง

มีทางเดียวคือต้องติดต่อเทพีกระบี่หิมะไร้นามเท่านั้น

ถึงเทพีฝึกหัดผู้นี้จะเป็นพวกตีสองหน้า แต่ทุกครั้งที่มีข้อเสนอแลกเปลี่ยน นางก็มักทำงานสำเร็จด้วยดีเสมอ

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็พิมพ์ข้อความส่งไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

แต่ผ่านไปอึดใจใหญ่ นางก็ยังไม่ตอบข้อความกลับมา

เครื่องหมายคำถามเล็กๆ เริ่มปรากฏขึ้นในจิตใจของหลินเป่ยเฉิน

นางยังหาสิ่งที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณไม่ได้ใช่หรือไม่ ถึงได้แกล้งตายเช่นนี้?

นี่คือนิสัยที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามจะต้องทำอย่างแน่นอน

หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือ ไม่รอการตอบข้อความอีกต่อไป เริ่มคิดหาทางออกด้วยตัวเอง

ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุไฟ ปราณธาตุดิน ปราณธาตุไม้…

หากพลังปราณธาตุต่อไปของเขาเป็นพลังปราณธาตุทองคำ นี่ก็เท่ากับว่าเขาสะสมได้ครบห้าธาตุสำคัญแล้วไม่ใช่หรือ?

ว่ากันตามข้อมูลที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามเคยบอกเอาไว้ ถ้าเขาสะสมพลังได้ครบห้าธาตุเมื่อไหร่ ก็จะสามารถเลื่อนขึ้นสู่ขั้นเซียนได้เมื่อนั้น

แต่จะเปิดพลังปราณธาตุทองคำได้อย่างไรล่ะ?

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เกิดความคิดบางอย่าง

เขานึกถึงตอนที่ตนเองสามารถเปิดได้พลังปราณธาตุไฟ

ตอนนั้นเป็นเพราะเทพีกระบี่ได้ดูดซับพลังจากผลไม้เทพเจ้า

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ…

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ

เด็กหนุ่มหยิบผลึกทองคำออกมาชิ้นหนึ่ง

นี่คือของขวัญที่นักพรตใหญ่หลงเยว่มอบให้กับเขาก่อนหลบหนีลงมาจากวิหารในวันนั้น

“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผลึกทองคำศักดิ์สิทธิ์จะสามารถใช้เปิดพลังปราณธาตุทองคำได้หรือเปล่า?”

หลินเป่ยเฉินคิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มทดสอบดูโดยทันที

เขาใช้สองมือประคองผลึกทองคำศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะเริ่มใช้วิชาดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง

การดูดซับพลังครั้งนี้คล้ายคลึงกับการดูดซับพลังจากศิลาบูชา แต่ตอนนี้แค่เปลี่ยนจากศิลาบูชามาเป็นผลึกทองคำศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ความพยายามของเด็กหนุ่มไม่นานก็เห็นผล

กระแสพลังทองคำไหลเวียนไปทั่วร่างกายของหลินเป่ยเฉิน มันทะลวงไปตามจุดต่างๆ เฉกเช่นการเดินทางของกระแสลมปราณทั่วไป หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ พลังปราณธาตุในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็ไหลเวียนเต็มอัตรา

ได้ผลจริงๆ ด้วย!