ตอนที่ 2048 คฤหัสถ์ฟู่เทียน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลังจากครุ่นคิดในใจแล้ว หานลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แขนของเขาขยับ นิ้วก็ชี้ไปยังจูกั่วเอ๋อร์

กลุ่มแสงสีเขียวเล็กๆ พุ่งออกมา และหายเข้าไปในร่างของหญิงสาวในพริบตา

วินาทีถัดมา เปลือกตาของหญิงสาวที่หลับใหลพลันขยับ นางตื่นขึ้นอย่างช้าๆ

แต่เมื่อจูกั่วเอ๋อร์ลุกขึ้นจากพื้น พลันหน้าถอดสีเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะหมดสติ

“เจ้าเข้าไปในค้นวิญญาณข้า!” หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังหานลี่ และถามทีละคำ

“หากไม่เข้าไปค้นวิญญาณของเจ้า ข้าจะรู้ในสิ่งที่อยากรู้ได้อย่างไร แต่ไม่ต้องกังวล หากไม่ใช่ข้อมูลที่ข้าสนใจ ข้าจะไม่เปลืองพลังในการค้นหา และพลังของข้าก็ไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเสียหายแต่อย่างใด แต่คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเจ้าไม่ใช่คนของแดนวิญญาณ แต่มาจากเสี่ยวหลิงเทียน นี่เกินความคาดหมายของข้าจริงๆ” หานลี่ตอบอย่างเย็นชา

เมื่อได้ยินหานลี่ พูดชื่อ ‘เสี่ยวหลิงเทียน’ จูกั่วเอ๋อร์ก็กัดริมฝีปากของตนและไม่ได้พูดอะไรสักคำเป็นเวลานาน

“ข้าวางอาคมไว้ในร่างกายเจ้า ในช่วงที่อยู่ในเมืองฮ่วนเย่ เจ้าก็สาวใช้ให้ข้าก่อน หากข้าพอใจ ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะเป็นอิสระไม่ได้ยามออกจากเมืองนี้ ตอนนี้ เจ้าสามารถหาห้องที่ชั้นล่างเพื่อพักผ่อนได้ หากไม่มีธุระอะไรพิเศษ เจ้าไม่จำเป็นต้องมาหาข้า นอกจากนี้ ต่อจากนี้ไปเจ้าจะเรียกข้าว่านายท่าน” หานลี่เพิกเฉยต่อสีหน้าของหญิงสาว และกล่าวเบาๆ

“เจ้าค่ะ นายท่าน ข้าขอตัวออกไปก่อน!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองทำได้เพียงเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ หลังจากโค้งคำนับให้หานลี่ ก็เดินลงไปข้างล่างอย่างเชื่อฟัง

ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะเข้าใจชัดเจนดีว่า หากนางจะต่อต้านจอมมารระดับผสานอินทรีย์ ก็ดูเป็นการหาเหาใส่หัว

แต่เมื่อเห็นท่าทางเศร้าซึมของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดหวังอะไรในคำสัญญาของหานลี่

เมื่อเห็นแผ่นหลังของจูกั่วเอ๋อร์หายไปหลังบันได หานลี่ก็เงยหน้าขึ้นและจ้องไปยังหลังคาอีกครั้งอย่างเหม่อลอย

หานลี่ซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบนสุดของห้องใต้หลังคาเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน และทำสมาธิอย่างเงียบๆ โดยไม่ออกจากห้องพัก

แต่ในวันที่สี่ มีคนมาที่หน้าประตู

“ตระกูลจ้าวส่งคนมาแล้วหรือ” หานลี่นั่งอยู่บนฟูกมองหญิงสาวในชุดสีเหลืองที่มารายงาน เขาจึงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“เจ้าค่ะ นายท่าน เมื่อครู่นี้ ผู้อาวุโสของตระกูลจ้าวได้มาส่งคำเชิญด้วยตนเอง บอกว่าต้องมอบให้ถึงมือนายท่าน” จูกั่วเอ๋อร์ถือป้ายเงินวาววับไว้ในมือและพูดอย่างใจเย็น

“ข้าดูสิ”

หานลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งคว้าไปในอากาศ เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น จากนั้นป้ายก็ถูกดึงเข้าไปในมือของเขาจากอากาศ แล้วเขาก็เปิดออกอย่างนุ่มนวล

‘พรึ่บ’

มีแสงสีทองปรากฏขึ้นป้ายสีเงิน เมื่อกะพริบวาบ ก็กลายเป็นภาพมายาของชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสง่างาม

ชายคนนี้มีเกล็ดสีดำซ่อนอยู่ที่หางตา แต่รูม่านตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง

ดูเหมือนว่านี่คือผู้นำตระกูลจ้าว!

เขาคำนับให้หานลี่เล็กน้อย แล้วพูดสองสามคำด้วยรอยยิ้ม

น้ำเสียงของเขาสุภาพผิดปกติ เขาพูดถึงสองสิ่ง หนึ่งคือเขารู้การมาถึงของระดับจอมมารอย่างหานลี่จากหลงจู๊หวง และตระกูลจ้าวซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเมืองฮ่วนเย่ ก็หวังว่าจะเป็นมิตรกับหานลี่ และเขาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าตระกูลจ้าวมิใช่ตระกูลที่จะผิดใจกับหานลี่เพียงทาสหญิงคนเดียว อีกเรื่องหนึ่งคือ อีกหนึ่งเดือนต่อมาจะเป็นวันบูชาบรรพชนของตระกูลจ้าว เขาหวังว่าหานลี่จะมาเข้าชมพิธีที่ตระกูลจ้าว ในฐานะแขกคนพิเศษ

ทันทีที่ภาพมายาพูดจบ เขาก็ทำความเคารพหานลี่ และหายตัวไปพร้อมกับเสียง ‘พรึ่บ’

เหลือไว้เพียงแผ่นป้ายสีเงิน

หานลี่มองแผ่นป้ายนั้น

เขาเห็นบนป้ายสีเงินถูกจารึกด้วยอักขระอาคมเป็นอักษร ‘จ้าว’ ด้วยสีทอง

ใบหน้าของหานลี่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่ามือของเขาก็ถูเข้าหากันในทันใด

ด้วยเสียง ‘ฟู่’ ดังขึ้น เปลวไฟสีเงินพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา ทำให้แผ่นป้ายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

“คราวหน้าหากมีคนจากตระกูลจ้าวมาขอคำตอบ เจ้าจงบอกว่าข้าตกลงตามคำเชิญของพวกเขา และจะไปตรงเวลาสำหรับการนัดหมายในอีกหนึ่งเดือน!” หานลี่สั่งหญิงสาว

“น้อมรับคำสั่ง!” จูกั่วเอ๋อร์ก้มหัวลงแล้วตอบรับ จากนั้นจึงถอยหลังกลับไป

หานลี่หลับตาอีกครั้งและสงบนิ่งลง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อีกวันต่อมา หญิงสาวในชุดสีเหลืองมารายงานอีกครั้ง โดยบอกว่าหญิงตระกูลไป๋กำลังมาเยี่ยม อ้างว่าเป็นคนรู้จักเก่าของหานลี่

ทันทีที่หานลี่ได้ยิน เขาก็เดาได้ทันทีว่าคนที่มาคือไป๋อวิ๋นซิน

ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาอยู่ในระดับจอมมารได้แพร่กระจายไปยังตระกูลไป๋ในที่สุด ไม่เช่นนั้นหญิงสาวที่เพิ่งกลับบ้านเพียงสองสามวันและมาหาเขาด้วยตนเองเพราะเหตุใด

หานลี่คิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะพบสตรีผู้นี้ เขาสั่งจูกั่วเอ๋อร์ทันทีว่าให้แขกไปรอที่ห้องโถงชั้นหนึ่งสักครู่ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินลงจากชั้นบนสุดอย่างสงบนิ่ง

เมื่อเขามาถึงห้องโถงชั้นหนึ่ง หานลี่ก็เห็นอย่างรวดเร็วว่าหญิงงามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นเป็นคนที่เขานึกถึงอย่างแน่นอน รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา และเขาก็พูดว่า

“หากรู้ว่าเป็นท่านเซียนไป๋ ข้าจะไม่ลงมาช้า หวังว่าสหายจะไม่ตำหนิ” ขณะหานลี่พูดเช่นนี้ เขากลับไม่ได้ตั้งใจปกปิดลมปราณขั้นผสานอินทรีย์บนร่างกายของเขาอีกต่อไป ทั้งยังแผ่มันออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

จิตสัมผัสของไป๋อวิ๋นซินสำรวจไปทั่วร่างกายของหานลี่ และทันใดนั้นสีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปในทันที นางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้มหัวอย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่เคยรู้ตัวตนที่แท้จริงของใต้เท้าจอมมารมาก่อน หากมีสิ่งใดที่ทำให้ขุ่นเคือง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้า!”

“ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะระแวดระวังจนเกินไป จึงระงับลมปราณปิดบังระดับพลังยุทธ์ แล้วข้าจะถือโทษโกรธเจ้าได้อย่างไร” หานลี่หัวเราะ พร้อมทั้งโบกมือให้หญิงสาวนั่งลง

และตัวเขาเองก็เดินไปยังที่นั่งหลัก และนั่งลงอย่างเยือกเย็น

“มิบังอาจ ข้าประมาทเลินเล่อ เป็นการไม่ให้เกียรติท่านจริงๆ” ไป๋อวิ๋นซินรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทว่านางยังคงตอบอย่างระมัดระวังและไม่กล้านั่งลง

เมื่อเห็นหญิงสาวระมัดระวังตัว หานลี่จึงไม่ได้บังคับอะไร แต่ถามด้วยแววตาเป็นประกายว่า “สหายไป๋รีบมาหาข้าในวันนี้ คงไม่ใช่มาเพียงขอโทษใช่หรือไม่”

“ท่านช่างมีความคิดเฉียบแหลม ข้าได้รายงานเรื่องของท่านกับบรรพชนฟู่เทียนแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อพาท่านไปพูดคุยที่ตำหนักตามคำสั่งของบรรพชน!” ไป๋อวิ๋นซินนตอบสั้นๆ

“เมื่อเป็นคำเชิญของสหายฟู่เทียน หากเป็นเช่นนี้ ข้าต้องไปพบเขาแน่อน เอาล่ะ สหายไป๋ ข้าจะไปกับเจ้า” หานลี่ไม่แปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้และตกลงทันที

ไป๋อวิ๋นซินดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ พลันตอบรับ “เจ้าค่ะ”

หานลี่ไม่ได้พาจูกั่วเอ๋อร์ไปด้วย หลังจากที่สั่งให้หญิงสาวอยู่ในห้องใต้หลังคาแล้ว เขาและไป๋อวิ๋นซินจึงเดินออกไปที่ประตู

เมื่อทั้งสองมาถึงบริเวณประตูเมืองขนาดใหญ่ ก็มีรถเทียมอสูรขนาดยักษ์ลากโดยอาชาเขาเดี่ยวแปดหัวรออยู่ที่นั่น

บนยอดรถเทียมอสูรมีธงสีม่วง และตัวอักษรสีขาวดำดั่งหมึก ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางบนธง

เห็นได้ชัดว่านี่คือยานพาหนะพิเศษสำหรับตระกูลไป๋เพื่อรับแขกพิเศษ

ทั้งสองด้านของรถเทียมอสูร มีผู้พิทักษ์ใส่เกราะดำสิบหกคนขี่หมาป่ายักษ์สองหัวรออยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ

ผู้พิทักษ์เหล่านี้และอสูรมารที่พวกเขาขี่ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมด้วยชั้นเกราะสีดำ โดยแต่ละคนมีดาบยักษ์สองเล่มพาดอยู่ข้างหลัง มีพลังปราณอันร้ายกาจแผ่ออกมาร่างกายของพวกเขาอย่างเลือนราง และพวกเขาทั้งหมดมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพแปลง

หลังจากที่หานลี่กวดสาวตามองผู้พิทักษ์เหล่านี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ผู้พิทักษ์เหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษจากตระกูลไป๋ของเรา แต่ละคนอาศัยอยู่ตามลำพังในดินแดนรกร้างมาเป็นเวลากว่าร้อยปี ฆ่าอสูรมารมานับไม่ถ้วน ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นไร” เมื่อไป๋อวิ๋นซินเห็นว่าหานลี่มองผู้พิทักษ์อสูรเหล่านี้ นางจึงถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เลว ไม่แย่กว่ากองทหารในเมืองใหญ่” หานลี่พยักหน้าพูด จากนั้นก็ขึ้นรถเทียมอสูร หลับตาและไม่พูดอะไร

เมื่อไป๋อวิ๋นซินเห็นท่าทางของหานลี่ นางจึงไม่กล้าถามอะไรอีก พร้อมทั้งขึ้นรถเทียมอสูรและออกคำสั่ง

ทันใดนั้น รถเทียมอสูรขนาดยักษ์ก็แล่นไปข้างหน้า และผู้พิทักษ์สิบหกคนก็กระตุ้นให้หมาป่ายักษ์ตามไปอย่างใกล้ชิดทั้งสองข้าง

ระหว่างทาง เมื่อมารธรรมดาที่เดินอยู่บนถนนเห็นรถเทียมอสูรยักษ์และมารใส่ชุดเกราะขี่อสูรมารขนาบทั้งสองข้าง พวกเขาทั้งหมดต่างพากันหลีกทาง และแสดงท่าทีตกตะลึงระคนอิจฉาริษยา

รถเทียมอสูรยักษ์แล่นไปข้างหน้าแทบไม่มีอุปสรรค และหลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ในที่สุดก็หยุดที่หน้าป้อมปราการภายในเมือง

หานลี่ก้าวออกจากรถเทียมอสูรและเหลือบมองป้อมปราการที่อยู่ข้างหน้าเขาจากระยะไกลด้วยใบหน้าประหลาดใจ

ป้อมปราการที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นที่ตั้งของตระกูลไป๋!

ทั้งอาคารไม่เพียงแต่ไม่มีรอยต่อ ผนังเรียบแวววาวราวกับหยก แทบไม่มีช่องว่าง และป้อมปราการเป็นสีเขียวอมฟ้า แต่ไม่ได้ทำจากทองหรือหยก ด้วยความรู้ของเขา เขาไม่รู้ว่าใช้วัสดุใดในการสร้าง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากลมปราณอึมครึมที่ครอบคลุมอยู่โดยรอบ เห็นได้ชัดว่าตระกูลไป๋วางเขตอาคมต้องห้ามเอาไว้เป็นชั้นๆ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นจากภายนอก

ทั้งสองด้านของประตูใหญ่ที่สูงกว่าหนึ่งร้องจั้งหน้าป้อม มีรูปสลักอสูรมารหลายขนาดหลายสิบตัวตั้งเรียงรายเป็นถนนสายสั้นๆ

รูปสลักเหล่านี้แต่ละตัวเป็นสีดำ เหมือนจริงมาก ราวกับกำลังนอนหมอบอยู่ที่นี่

ด้านหน้าประตูยังมีมารในชุดสีเหลืองอีกแปดตน ยืนนิ่งมือเปล่า ใบหน้าไร้ความรู้สึก

ภายใต้การนำทางของไป๋อวิ๋นซิน หานลี่เข้าไปในประตูอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางการจ้องมองที่ค่อนข้างประหลาดใจของมารชุดเหลืองทั้งแปด

เวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา ในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างแปลกตาตรงมุมป้อมปราการ หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีม่วงแล้ว ถือถ้วยน้ำชาสีเงินอยู่ในมือข้างหนึ่ง และจิบอย่างเงียบๆ

กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากเบาะรองนั่ง มีทาสมารสาวงามสี่คนอยู่ใกล้ๆ ยืนเคียงข้างเขาด้วยความเคารพ

ไป๋อวิ๋นซินหายตัวไปในเวลานี้ และทั้งห้องโถงก็เงียบลงกว่าเดิม ไม่มีเสียงใดๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หานลี่รอสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆ อยู่นอกห้องโถง จากนั้นร่างที่อยู่นอกประตูก็ปรากฏขึ้น มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างแช่มช้า

คนคนนั้นมองหานลี่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเบาๆ

“ข้าคฤหัสถ์ฟู่เทียน เป็นเกียรติของตระกูลไป๋จริงๆ ที่ได้พบสหายหาน!”

“ท่านคือบรรพชนฟู่เทียนหรือ” หานลี่มองไปยังคนที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยความตกตะลึง มุมปากพลันกระตุกเล็กน้อย