ฉินอวี้โม่ติดอยู่ในห้วงมายาของดวงจิตสายฟ้านี้และได้เผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างในอดีต
หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างนอกก็ยังคงคุ้มกันความปลอดภัยอยู่ใกล้หลุมยักษ์เพื่อรอให้ฉินอวี้โม่กลับออกมา
ภายในพริบตา เวลาก็ล่วงเลยมากว่าเจ็ดวันแล้ว ทว่าม่านพลังสีม่วงสว่างก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะสลายหายไปและไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่าฉินอวี้โม่หรือซิวจะข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าทรงพลังนี้ได้
ในช่วงเวลาหลายวันนี้ ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินก็ได้จัดการสิ่งต่าง ๆ ในชนเผ่าเอลฟ์เป็นที่เรียบร้อย นางจับตัวบรรดากบฏที่คิดร้ายทั้งหมดซึ่งแฝงตัวอยู่ในชนเผ่าและเนรเทศออกไป องค์ชายใหญ่หลัวหมิงรุ่ยก็ถูกราชินีเอลฟ์ส่งไปขังไว้ในพื้นที่ต้องห้ามในชนเผ่าเพื่อให้เขาสำนึกความผิดที่กระทำลงไป ในขณะที่เหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็ได้รับบทลงโทษตามความเหมาะสม
สถานการณ์ความวุ่นวายในชนเผ่าเอลฟ์เงียบสงบเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ทั้งราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินและหลัวจื้อเลี่ยทราบดีว่ามันเพียงความสงบสุขสั้น ๆ เท่านั้น หากต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ฟื้นฟูกลับสู่สภาพดั้งเดิม ชนเผ่าเอลฟ์ก็ไม่มีทางสงบสุขได้อย่างแท้จริง
และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในเวลาเพียงไม่ถึงสิบวัน สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์และต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จะย่ำแย่เลวร้ายลงมาก อย่างไรก็ตาม การที่ฉินอวี้โม่ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาจากหลุมขนาดใหญ่นั้น ก็ทำให้ทุกคนอดเป็นกังวลไม่ได้
ในแง่หนึ่ง หลัวจื้อเลี่ย ราชินีเอลฟ์และคนอื่น ๆ ก็เป็นห่วงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่ ทว่าในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของทั้งชนเผ่าเอลฟ์เช่นกัน
พวกเขามิอาจทราบได้เลยว่าฉินอวี้โม่กำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่ ทว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเฝ้ารออย่างใจเย็น
แม้เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อตลอดหลายวันที่ผ่านมา หานโม่ฉือก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย เขาเพียงทำสมาธิหลับตาลงและคอยคุ้มกันความปลอดภัยอยู่ข้างนอกหลุมขนาดใหญ่โดยเพิกเฉยต่อทุกคนรอบตัว เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างและทราบสถานการณ์ข้างในห้วงมายา
มารยาและอสูรมายาอื่น ๆ ก็สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่และซิวยังปลอดภัยดี เหล่าอสูรจึงเพียงเป็นห่วงเท่านั้น ทว่าไม่กังวลจนเกินไป พวกมันเชื่อมั่นในตัวผู้เป็นนายและท่านซิวอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งติดอยู่ในดวงจิตสายฟ้าไม่ทราบความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอกแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับช่วงเวลาที่ตนอยู่ในนั้น เวลานี้ตัวนางติดอยู่ในห้วงมายาซึ่งกำลังท่องอดีตโดยที่เวลาผ่านไปนับร้อยนับพันปี
ภายในห้วงมายาดังกล่าว ในที่สุดฉินอวี้โม่ภายในร่างของชิงเหอก็ได้เผชิญกับสงครามครั้งประวัติศาสตร์เมื่อพันปีก่อน
ด้วยพลังความมืดที่แปลกประหลาดและชั่วร้าย ฝ่ายมารจึงรุกรานเข้าไปทั่วทั้งดินแดนเทพมายาและเป็นฝ่ายได้เปรียบในการสงคราม เนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับพลังชั่วร้ายอย่างพลังความมืดและไม่ทราบวิธีรับมือกับมัน ทุกคนในฝ่ายดินแดนเทพมายาจึงเผชิญกับความเสียหายที่ยิ่งใหญ่
หลายขุมกำลังทั้งเล็กใหญ่ของดินแดนเทพมายาเพลี่ยงพล้ำต่อขุมกำลังมารร้ายและตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมาก
ในเวลานั้นเอง ในที่สุดฉินเฟยเหยียน—ผู้นำของชนเผ่ามายาก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยตนเอง
เวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าอสูรยังเป็นมิตรที่ดีต่อกันอย่างมากซึ่งฉินเฟยเหยียนถือว่าสนิทสนมกับทั้งเทพอสูรในตอนนั้นและหลัวจื๋อยินจากชนเผ่าเอลฟ์
พวกนางต่างก็ผนึกกำลังร่วมกันเพื่อประจันหน้ากับฝ่ายมาร และแน่นอนว่าสหายผู้มากความสามารถอย่างชิงเหอก็ได้รับเชิญเช่นกัน
ฉินอวี้โม่ในร่างของชิงเหอตามไปพบกับหลังจื๋อยินและคนอื่น ๆ นอกเมืองที่ชื่อว่าเมืองยื่อปู้ลั่วภายในดินแดนเทพมายา
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สุขใจยิ่งนักที่ได้รวมตัวกับสหายทั้งสองอีกครา อย่างไรก็ตาม หลัวจื๋อยินและฉินเฟยเหยียนฉงนไม่น้อยเมื่อพบว่าครานี้อวี้เฟิงมิได้ติดตามอยู่ข้างกายชิงเหอ เมื่อได้ทราบว่าบุรุษหนุ่มขอตัวกลับไปที่ตระกูลของตนเพื่อจัดการธุระบางอย่าง ทั้งสองก็ได้เพียงปลอบใจมิให้ชิงเหอเศร้าสร้อย
สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี้โม่งุนงงกับการกระทำของสหายทั้งสองเล็กน้อย นางสัมผัสได้ว่าชิงเหอประทับใจในตัวอวี้เฟิงเป็นอย่างมากและเชื่อว่าเขาจะกลับมาหานางอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นตัวนางจึงมิได้เป็นกังวลแม้แต่น้อย
สตรีสามสหายเชื่อมาตลอดว่าอวี้เฟิงจะปรากฏตัวในสงครามการปะทะกับฝ่ายมารและมีความคาดหวังอยู่ในใจ แต่ทว่า…ทั้งสามคิดผิดถนัด อวี้เฟิงผู้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา
พวกนางไม่รู้จักหรือทราบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลของอวี้เฟิงจึงไม่สามารถสืบหาข่าวคราวของเขาได้ ทุกคนที่พวกนางรู้จักจากทุกขุมกำลังในดินแดนก็ล้วนมารวมตัวกันในสงครามครานี้ ทว่ากลับไม่มีวี่แววของบุรุษหนุ่มรูปงามผู้นั้น
เมื่อถึงตอนนั้น ฉินเฟยเหยียนและสตรีทั้งสองก็เริ่มนึกสงสัยในใจ พวกนางทราบดีว่าดินแดนเทพมายาที่พวกตนอาศัยอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ ดินแดนที่ไม่เคยพบเห็น นอกจากดินแดนเทพมายาที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ก็น่าจะมีดินแดนอื่นที่อยู่เหนือจินตนาการของพวกนาง อย่างไรก็ตาม ทั้งสามไม่มีหนทางยืนยันมันได้เลย ความจริงที่ว่าอวี้เฟิงไม่ปรากฏตัวในสงครามครั้งสำคัญของดินแดนเช่นนี้ทำให้พวกนางตั้งข้อสงสัยได้ไม่ยากว่าเขาอาจมิใช่คนของดินแดนนี้ด้วยซ้ำ
ทว่ามันก็สายเกินกว่าจะสืบหาความจริงแล้ว เวลานี้สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว กล่าวได้ว่าการต่อสู้ครานี้คือโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดินแดนเทพมายาหรือฝ่ายมาร พวกเขาล้วนต้องสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งสิ้น
ในตอนนั้น นอกเหนือจากผู้นำฝ่ายมารผู้ทรงพลัง ขุมกำลังมารร้ายก็ยังมียอดฝีมือสี่คนและผู้พิทักษ์ฝีมือดีสิบคนซึ่งรวมกันเป็นกลุ่มจอมยุทธ์ที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด
จอมยุทธ์ทรงพลังของฝ่ายฉินเฟยเหยียนก็ร่วมมือกันเพื่อประจันหน้ากับยอดฝีมือทั้งสี่และผู้พิทักษ์ทั้งสิบของฝ่ายมารจนสุดท้ายก็เอาชนะพวกเขาได้ ทว่าฝ่ายของพวกนางก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
อดีตเทพอสูรและภรรยาของมัน รวมถึงราชาเอลฟ์คนก่อนและผู้นำของขุมกำลังใหญ่หลายแห่งก็ล้วนสิ้นชื่อในสงครามใหญ่ครานั้น ในขณะที่ราชินีเหมันต์และจอมยุทธ์ยอดฝีมือหลายคนของดินแดนเทพมายาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ชิงเหอเองก็เข้าร่วมสงครามครั้งนี้เช่นกันและฉินอวี้โม่ก็ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชิงเหอ ฉินเฟยเหยียนและคนอื่น ๆ เป็นครั้งแรก
ความแข็งแกร่งของพวกนางเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยและมิใช่อยู่เพียงขอบเขตนภาเซียนขั้นต้นเท่านั้น หากแต่เป็นขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งถือว่าเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
หลังจากเอาชนะจอมยุทธ์ระดับสูงทั้งสี่และผู้พิทักษ์สิบคนได้สำเร็จ พวกนางก็คิดว่าฝ่ายของตนคว้าชัยชนะได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ สถานการณ์ที่คิดว่าควบคุมได้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ไม่อาจทราบได้เลยว่าผู้นำฝ่ายมารกระตุ้นพลังใดขึ้นมา ทว่าเขาสามารถผลักดันตนเองและเพิ่มพลังจากขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดไปในระดับที่สูงขึ้นได้ซึ่งก็คือขอบเขตราชาเซียนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
เขาแทบจะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่ไร้เทียมทานเมื่อบรรลุพลังในขอบเขตราชาเซียน แม้ฉินเฟยเหยียน ชิงเหอและหลัวจื๋อยินจะผนึกกำลังร่วมกัน พวกนางก็ยังมิใช่คู่มือของเขา
ในครานั้น ซิวเองก็มีความแข็งแกร่งในระดับนภาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งถือว่าทรงพลังอย่างมาก แม้ในเวลาพันปีที่แล้ว มันก็ยังมีท่าทางหยิ่งผยองและเผด็จการไม่เปลี่ยนแปลง
สงครามครั้งประวัติศาสตร์ครานั้นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนเทพมายา
ในตอนแรก หลัวจื๋อยินบาดเจ็บสาหัสและได้หลัวจื้อเลี่ยที่ช่วยไว้ จากนั้นฉินเฟยเหยียนและซิวก็ผนึกกำลังร่วมกันและทำให้ผู้นำฝ่ายมารบาดเจ็บสาหัสได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้นำฝ่ายมารกำลังตกอยู่ในสภาพที่ไร้ทางสู้ จู่ ๆ ผู้ทรยศก็เปิดเผยตัวในชนเผ่ามายา คนผู้นั้นก็คือฉินมู่ยวี่ที่เคยวางตัวและปฏิบัติตัวอย่างดีมาโดยตลอด ฉินมู่ยวี่ฉวยโอกาสในช่วงที่ฉินเฟยเหยียนอ่อนแอเข้าทำร้ายนางจนสาหัสยิ่งกว่าเดิมและเกือบปลิดชีวิตนางได้สำเร็จ
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีและไม่เป็นดังที่คาดไว้ ผู้นำฝ่ายมารจึงเตรียมตัวพร้อมที่จะหลบหนีออกไป
ทว่าเมื่อเห็นศัตรูกำลังจะหนีไป ชิงเหอผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างหนักอยู่แล้วก็เค้นพลังอำนาจเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อพลีชีพและตายไปพร้อมกับผู้นำฝ่ายมาร
ในเวลานั้นที่ชิงเหอและผู้นำฝ่ายมารเหมือนจะสิ้นชีวิตไปพร้อมกันนั้น จู่ ๆ จิตวิญญาณของฉินอวี้โม่ก็แยกออกจากร่างของชิงเหออย่างสมบูรณ์
เวลานี้ราวกับว่านางเป็นเพียงผู้ที่ชมเหตุการณ์จากด้านข้างอย่างใกล้ชิดซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทว่าไม่มีผู้ใดมองเห็นนาง
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของชิงเหอ รวมถึงความระทึกขวัญของสงครามครั้งใหญ่เมื่อพันปีก่อน เห็นได้ชัดว่ามันเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างหลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสุดท้าย เรื่องที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น ผู้นำฝ่ายมารยังคงมีชีวิตอยู่และเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเขาก็หลบหนีออกไปได้สำเร็จ
แม้ตอนนั้นจะทราบว่าจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของของเขากำลังจะหลบหนีออกไป ทว่าฉินเฟยเหยียนและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีพลังเหลือมากพอที่จะขัดขวางเขาอีกแล้ว
สำหรับฉินมู่ยวี่ผู้ทรยศ นางได้ฉวยโอกาสในตอนนั้นเพื่อยึดอำนาจควบคุมชนเผ่ามายาและต้องการสังหารฉินเฟยเหยียนด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ซิวผู้ซึ่งยังมีพลังเหลือเพียงน้อยนิดก็เข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง ฝ่ายของดินแดนเทพมายาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักหนาสาหัส ส่วนฝ่ายมารก็ถูกขับไล่ออกไปจากดินแดนเทพมายาได้สำเร็จ หลังจากนั้น ดินแดนเทพมายาก็สงบสุขมาตลอดนับพันปี
ขุมกำลังใหญ่ ๆ หลายแห่งก็ได้รับบาดเจ็บหนักและแยกย้ายกันกลับไปรักษาตัว หลัวจื๋อยินซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนั้นก็ถูกหลัวจื้อเลี่ยพาตัวกลับไปที่ชนเผ่าเอลฟ์อย่างรวดเร็ว
บรรดาสมาชิกของเผ่าอสูรก็ถูกนำกลับไปโดยพี่ชายของซิวซึ่งเป็นมังกรทองเก้าเล็บ และในภายหลังมันก็แต่งตั้งตนเองกลายเป็นเทพอสูรตนใหม่
แม้สถานการณ์เลวร้ายจะสงบลง ทว่าข้อสงสัยในใจของฉินอวี้โม่ยังคงอยู่ ตอนนี้นางทราบสถานการณ์ของสงครามเมื่อพันปีก่อนแล้ว ทว่า..ท้ายที่สุดแล้วเทพมายาคนก่อนเสียชีวิตได้อย่างไร? อวี้เฟิงหายไปที่ใด? ฉินอวี้โม่ยังไม่เข้าใจนักว่าความจริงเป็นอย่างไร
แม้ต้องการจะเดินออกไปจากจุดที่ชิงเหอเสียชีวิตไป ฉินอวี้โม่กลับพบว่าตนเองยังอยู่ภายใต้การควบคุมและยังไม่สามารถขยับไปที่ใดได้เลย
ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะมีเหตุการณ์อื่นหลังจากนี้อีก ซึ่งเหตุการณ์หลังจากนี้ไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่ไม่ทราบ ทว่าแม้แต่ผู้ที่เข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่ครานั้นก็อาจจะไม่ทราบเช่นกัน
นางสงบสติอารมณ์ลงและเฝ้ารออย่างใจเย็น ฉินอวี้โม่ต้องการเห็นกับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ? นางเชื่อว่าการที่ตนเองติดอยู่ในห้วงมายาของดวงจิตสายฟ้าและท่องอดีตเหล่านี้จะต้องมีสาเหตุบางอย่างเป็นแน่
เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ฉินอวี้โม่เริ่มคิดว่าอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทว่าจู่ ๆ บุรุษคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงจุดที่ชิงเหอสิ้นชีวิตไป
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอวี้เฟิงผู้มีความรู้สึกลึกซึ้งและผูกพันกับชิงเหอนั่นเอง
เขาปรี่เข้ามาอย่างหน้าตั้งโดยที่เหงื่อโชกทั้งตัว ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงถึงความเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุดและทั้งร่างปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของความตายซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“ชิงเหอ ข้ามาช้าไป !”
น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากปากของเขาและดวงตาของเขาก็แดงก่ำก่อนที่จะมีหยดน้ำตาที่เป็นดั่งสายโลหิตหยดลงจากหางตาซึ่งดูน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
เพียงนึกย้อนไปถึงทุกช่วงเวลาที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชิงเหอ หัวใจของอวี้เฟิงก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ในตอนแรก เขาจำต้องกลับไปที่ตระกูลเพื่อจัดการบางสิ่งบางอย่างโดยวางแผนไว้ว่าเมื่อกลับมา เขาจะขอชิงเหอแต่งงานและจะใช้ชีวิตอยู่กับนางไปตลอดจนกว่าจะหมดลมหายใจ แต่ทว่า…เคราะห์ร้ายเหลือเกินที่เขากลับมาช้าเกินไป
หากคาดการณ์สถานการณ์นี้ได้ล่วงหน้า ไม่ว่าที่ตระกูลจะมีเรื่องเร่งด่วนเพียงใด เขาก็จะไม่สนใจเด็ดขาด
“อวี้เฟิง นี่คือสิ่งที่ชิงเหอทิ้งไว้ให้เจ้า”
ทันใดนั้น ร่างของฉินเฟยเหยียนผู้เป็นเทพมายาในตอนนั้นก็ปรากฏตัวกลางสนามกว้าง ร่างกายของนางในตอนนี้ดูราวกับเป็นภาพลวงตาและกลิ่นอายลมหายใจที่แผ่ออกมานั้นบอบบางราวกับเป็นเพียงไอระเหย การที่สภาพของนางเป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บจากสงครามที่ยังไม่ฟื้นตัว
และสิ่งที่อยู่ในมือของนางในตอนนี้คือซองผ้าปักซึ่งบรรจุจี้หยกหนึ่งชิ้นและกระดาษบันทึกข้อความสั้น ๆ
จี้หยกดังกล่าวคือสมบัติส่วนตัวของชิงเหอและถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางซึ่งไม่เคยมีผู้ใดที่แตะต้องมันได้
อวี้เฟิงรับของสิ่งนั้นและยิ้มออกมาบาง ๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าใจปนความมุ่งมั่นบางอย่าง
‘อวี้เฟิง ตาทึ่มของข้า ดูเหมือนข้าคงรอเจ้ากลับมาแต่งงานกับข้าไม่ได้อีกแล้ว หากชีวิตหน้ามีจริง…หวังว่าเจ้าจะจดจำข้าได้ ขอให้เจ้าได้พบกับข้าก่อนและตกหลุมรักข้า ในชีวิตหน้า หวังว่าเราจะได้ครองรักครองคู่กันตลอดไป !’
เนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นเรียบง่ายไม่ซับซ้อนทว่าน้ำตาลูกผู้ชายของอวี้เฟิงก็ไหลพราก ข้าไม่น่ากลับไปเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ …
“เฟยเหยียน ขอบคุณมาก”
อวี้เฟิงกล่าวกับฉินเฟยเหยียนก่อนมองไปรอบ ๆ และยกยิ้มมุมปาก
“ชิงเหอ ชีวิตนี้เราอาจจะต้องพรากจากกัน…ทว่าเราก็ยังไปพบกันในชีวิตหน้าได้ !”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว คลื่นพลังของฟ้าดินในบริเวณนั้นก็ผันผวนปั่นป่วนอย่างรุนแรง .
.