บทที่ 932 ออกเดินทาง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ผลของวิชาดวงเนตรปีศาจประกอบด้วยความคิดที่ทำให้สัมผัสสวรรค์ตื่นกลัวและส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้อื่นอย่างไร้รูปร่าง มักได้ผลชะงัดในยามต่อสู้ นี่คือวิธีที่หวังเป่าเล่อแอบใช้

เขาต้องการให้หลี่หลินจื่อโจมตี เพราะตามกฎแล้ว ขอเพียงอีกฝ่ายโจมตี สิทธิ์ที่เขาได้ก็จะถูกยกเลิกทันที หวังเป่าเล่อมั่นใจในเรื่องนี้

ในทำนองเดียวกัน หากคู่ต่อสู้ไม่มีสิทธิ์แล้วเขาก็ลงมือฆ่าอีกฝ่ายได้โดยไม่กระทบต่อสิทธิ์ของสุสานดวงดารา แน่นอนว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจต่อสิ่งที่หลี่หลินจื่อทำ ถึงอย่างไรด้วยนิสัยของเขาแล้ว การถูกยั่วยุหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ง่ายเลยที่จะอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้

“รู้อย่างนี้ตอนอยู่บนเรือจับเขาโยนออกไปเสียดีกว่า” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงในใจพลางสงสัยว่าทำไมคนคนนี้ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ต่อไปก็หาโอกาสตอนไม่มีใครฆ่าทิ้งเสียให้เรื่อง

“ยังมีแม่นางกระพรวนคนนั้นด้วย ทำไมถึงชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องนัก!” หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในห้องโถงแล้วเข้าห้องส่วนตัวไปโดยไม่หันไปมองด้านหลัง

เวลาสามวันผ่านไปไวเกินครึ่งแล้ว เหลืออีกเพียงวันเดียวเท่านั้น หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจว่าจะปรับระดับการฝึกฝนในวันสุดท้ายนี้ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบดาวตกที่จะมาถึง

ด้วยเหตุนี้เวลาจึงค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ และตอนกลางคืนก็มาถึง ดวงจันทร์กระดาษสีขาวส่องสว่างบนท้องฟ้า สาดส่องไปทั่วทั้งเมืองดาวตก ขณะเดียวกันผู้เข้าทดสอบทุกคนต่างก็กลับมาและปรับตัวเหมือนอย่างหวังเป่าเล่อเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบที่จะเริ่มขึ้นหลังรุ่งสาง

เวลาเที่ยงคืนผ่านไป ด้านนอกก็เงียบสงบ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามชั่วยามก็จะรุ่งสาง หวังเป่าเล่อซึ่งกำลังทำสมาธิประสานลมหายใจให้เข้ากับความผันผวนในร่างกาย ทั้งร่างดูกลมกลืนไปกับความว่างเปล่าโดยรอบ ทำให้การฝึกฝนของเขาเต็มเปี่ยม และจู่ๆ คิ้วของเขาก็เลิกขึ้น!

ดวงตาของเขาเปิดขึ้นทันที นัยน์ตาเผยให้เห็นความประหลาดใจ เขาหันไปมองกระเป๋าคลังเก็บของตัวเอง และในพริบตาที่เขามองมัน กระเป๋าคลังเก็บก็เปิดออกเอง แหวนคลังเก็บข้างในก็เปิดออกเองเช่นกัน กระดาษรูปมนุษย์ด้านในก็โผล่หัวออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ ร่างกายสั่นเทิ้มของเขาลอยออกมาจากแหวนคลังเก็บ และมาปรากฏตัว…อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น และในหัวของเขาตอนนี้ก็มีเสียงหัวเราะประหลาดดังก้องทำให้การฝึกฝนของเขาเริ่มเละเทะ ขณะเดียวกันก็มีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก เขาอยากจะลุกขึ้น ทว่ากลับต้องตกใจที่พบว่าร่างกายของเขาเสียการควบคุม!

ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย เขานั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกกว้างไม่สามารถปิดลงได้ ท่ามกลางความตกใจ เขาจ้องมองกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้าที่ขยายใหญ่จากขนาดเท่าฝ่ามือเป็นขนาดเท่ามนุษย์ปกติอย่างรวดเร็ว

การแปลงกายจนมีสภาพเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก กระดาษรูปมนุษย์เดินไปมาอยู่ในห้องของเขา หลังจากขยับไปมาจนชินถึงได้เงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ

แค่สบตากันก็ทำให้หวังเป่าเล่อที่ไม่สามารถหลับตาที่แสนจะแสบลงได้ โชคดีที่กระดาษรูปมนุษย์คนนี้เหลือบมองเขาเพียงนิดเดียวก็ถอนสายตาไปยืนมองดวงจันทร์กระดาษที่ส่องแสงอยู่ริมหน้าต่าง ไม่นานนักขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังน้ำตาคลอเบ้า กระดาษรูปมนุษย์ก็แสดงแววตาแปลกๆ พร้อมกับเริ่มขยับตัวออกไปจากห้องและหายตัวไปทันที

ทันทีที่เขาหายไป หวังเป่าเล่อก็กลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง เขาหลับตาลงอย่างรวดเร็วโดยสัญชาติญาณและพยายามปรับลมปราณที่เละเทะ ผ่านไปสักพักถึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองจุดที่กระดาษรูปมนุษย์หายตัวไปและตรวจสอบแหวนคลังเก็บอีกครั้ง หลังจากยืนยันว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจริงๆ และไม่ได้กลับมา ดวงตาของเขาก็หรี่ลงพร้อมกับความเย็นเยียบที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ด้านหลัง

“กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ช่วยข้าขึ้นเรือตั้งหลายครั้ง ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่เขาขอให้พาเข้ามาที่นี่แน่!”

“การเข้ามาแบบนี้ดูอย่างไรก็เหมือนการลักลอบขนของ…” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ความจริงเขาสัมผัสได้ว่าการเดินทางมาสุสานดวงดาราในครั้งนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ และที่มาของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือกระดาษรูปมนุษย์ที่เขาพาเข้ามาตนนั้น

“ช่างเถอะ ข้าก็เป็นเหยื่อของเรื่องนี้ด้วย!” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ หลังจากปลอบตัวเองแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บจึงรีบตรวจสอบทันที และพบว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมครามทองคำคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาก็โล่งใจ

อีกฝ่ายยังตายไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังตายไม่ได้จนกว่าเขาจะกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างปลอดภัย หลังจากเห็นว่าคนคนนั้นไม่เป็นอะไร หวังเป่าเล่อจึงกำลังจะเก็บดวงจิตเทพ แต่หลังจากนึกถึงการลักลอบนำกระดาษรูปมนุษย์เข้ามา ในหัวก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

“ไม่รู้ว่าวิธีลักลอบเข้ามาเช่นนี้จะใช้กับคนอื่นได้หรือเปล่า…” ทันทีที่คิดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็รีบสลัดมันทิ้งไป ความจริงหากสามารถลักลอบนำคนเข้ามาได้ง่ายขนาดนี้จริงๆ จักรวรรดิดาวตกคงวุ่นวายไปหมดแล้ว

เพื่อความแน่ใจ หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิดแล้วจึงลองนำมหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำคนนั้นออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาสามารถนำสิ่งของอื่นๆ ออกมาจากกระเป๋าได้อย่างราบรื่น แต่สิ่งที่มีชีวิตไม่สามารถนำออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีกฎแทรกแซงอยู่ทำให้การลักลอบเข้าเมืองแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ที่กระดาษรูปมนุษย์ทำได้เป็นเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตของที่นี่อยู่แล้ว!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในที่สุดเมื่อเห็นว่าใกล้รุ่งสางขึ้นเรื่อยๆ จึงหยุดคิดและสงบสติอารมณ์ หลังจากปรับรากฐานการฝึกฝนใหม่ ท้องฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ สว่างขึ้น

จนกระทั่งฟ้าสว่างไปทั่วเมือง เสียงสง่างามเสียงหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งหมดที่นี่

“เริ่มการทดสอบ!”

เมื่อคำพูดนั้นดังขึ้น ในพริบตาเดียวก็มีพลังมหาศาลที่ไม่อาจปฏิเสธได้แผ่ขยายไปทั่วห้องโถงทันที แม้พลังนั้นจะสลายไปในพริบตา แต่ด้านนอกกลับมีเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังลอยมา เพียงแต่เสียงนั้นฟังดูประหลาด ตอนแรกก็เหมือนเสียงคลื่นทะเล แต่หากตั้งใจฟังดีๆ มันเหมือนกับเสียงเศษกระดาษเคลื่อนที่ไปมา

เสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกใหม่สำหรับหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง ก่อนที่ทั้งร่างจะผุดลุกขึ้นและตรงไปที่หน้าต่าง เมื่อมองออกไปดวงตาก็พลันหดแคบลง สิ่งที่เห็น…ไม่ใช่ท้องถนนของจักรวรรดิดาวตกอีกต่อไป แต่เป็นทะเลกระดาษสีดำ…กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา!

ราวกับสามวันก่อนเป็นเพียงภาพมายา จิตใต้สำนึกหวังเป่าเล่อแผ่ขยายออกไปทันที ก่อนจะพบว่าที่ที่เขาอยู่คือภายในเรือลำมหึมาไร้ขอบเขต

บนเรือไม่มีกระดาษรูปมนุษย์เลยสักตน แต่เรือลำนี้กลับแล่นฝ่าลมโต้คลื่นไปเองด้วยความเร็วสูงจนทำให้ทะเลกระดาษสีดำเบื้องหน้าแหวกเป็นทางยาวและเศษกระดาษสีดำนับไม่ถ้วนปลิวไปด้านหลัง

“วิธีเคลื่อนทเช่นนี้…” ดวงตาหวังเป่าเล่อหรี่ลงทันที

ภายในเรือลำนี้มีห้องพักหลายร้อยห้องและห้องของเขาเป็นหนึ่งในนั้น!

ส่วนห้องอื่นๆ ขณะนี้ผู้ฝึกตนต่างก็สัมผัสสวรรค์สั่นคลอนและมองสำรวจไปมา แม้แต่แม่นางกระพรวนคนนั้นเองก็ยังฉายแสงแปลกประหลาดในดวงตา

อย่างไรก็ตามมหาศิษย์แห่งเต๋าจากตระกูลใหม่และกองกำลังอันทรงอิทธิพลเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา ดังนั้นไม่นานพวกเขาก็กลับสู่สภาพปกติ และในตอนนั้นเองเสียงสง่างามจากกระดาษรูปมนุษย์ก็ดังขึ้นในหัวทุกคนอีกครั้ง

“เหล่าผู้ฝึกตนจากนอกพิภพทั้งหลาย หากต้องการได้รับโอกาสครั้งสุดท้ายของสุสานดวงดาราของข้าต้องผ่านการทดสอบสามครั้ง ครั้งแรกผ่านไปแล้ว และตอนนี้คือครั้งที่สอง!”

“การทดสอบนี้เป็นระบบกำจัดออก สถานที่ปลายทางของพวกเจ้าคือดวงดาวพิเศษดวงหนึ่งชื่อว่าดาวมายา ที่นั่น…ทุกชีวิตที่อยู่และตายด้วยน้ำมือพวกเจ้าจะกลายเป็นภาพมายาและเป็นอุปสรรคของพวกเจ้า!”

“ภายใต้อุปสรรคดังกล่าว ในดาวมายาจะมีผลึกมายาอยู่สามสิบเม็ด นับตั้งแต่เริ่มเหยียบดาวมายา คนที่มีผลึกมายาอยู่ในมือ ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าจะถือว่าผ่านการทดสอบครั้งที่สองและเข้าสู่การทดสอบครั้งสุดท้าย!”

“ระยะเวลาเดินทางเหลืออีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น พวกเจ้า…จงรักษาความสงบครั้งสุดท้ายนี้ไว้เถอะ” เสียงนั้นค่อยๆ หายไปและเรือก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างนิ่งเงียบรวมถึงหวังเป่าเล่อด้วย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสุสานดวงดาราแห่งนี้

อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น มหาศิษย์แห่งเต๋าในห้องอื่นๆ ยกเว้นบางคนที่ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแล้วส่วนใหญ่ล้วนมีคำถามคล้ายๆ กันอยู่ในใจ ที่จริงแล้วการเปิดประตูสุสานดวงดาราค่อนข้างไม่สอดคล้องกับบันทึกโบราณของตระกูลพวกเขา การทดสอบนี้ก็ยิ่งชัดเจนว่าไม่เหมือนในบันทึกเลย!

“มาถึงก็ทดสอบ เข้าเมืองดวงตกแล้วก็ต้องทดสอบ ผ่านการทดสอบครั้งที่สองก็ยังมีทางเลือกสุดท้ายอีก…เหตุใดสุสานดวงดาราแห่งนี้จึงเป็นเช่นนี้ บางทีคนอื่นอาจจะรู้คำตอบ?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะกำลังสงสัยว่าจะออกไปสืบข่าวดีหรือไม่ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงคุ้นเคยและเฉียบคมดังก้องอยู่ในหัวราวกับได้ยินคำถามในใจเขา เสียงนั้นคล้ายจะยิ้มแปลกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“นั่นเป็นเพราะ…นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่สุสานดวงดาราได้เปิดออกอย่างไรล่ะ!”

……………………………………………