เย่เจียงไห่มองพวกของหลิงตู้ฉิงจากไปไกลจนลับตา จากนั้นเขาก็หันกลับเข้าไปด้านในตำหนักเพื่อแบ่งหน้าที่ต่าง ๆ ให้กับเหล่าผู้คนหน้าใหม่ที่เขาเพิ่งรับมาอยู่ด้วย
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
เขาจำเป็นต้องผ่านสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปยังนิกายไท่อี้ต่อ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เสี่ยหนานเทียน และพูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นลูกชายของเจ้าสำนักเบญจธาตุสาขาธาตุไม้ แต่มันก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่ควรพูดขึ้นเรื่อยเปื่อยและไม่ควรที่จะแพร่งพรายออกไป ไม่เช่นนั้นสำนักเบญจธาตุของเจ้าคงได้เผชิญกับหายนะใหญ่แน่นอน เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม?”
เสี่ยหนานเทียนยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่มีอะไรจะตอบกลับ
การเดินทางมาที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนมันทำให้เขาได้เห็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่น่ากลัว
และที่สำคัญเขากลับหลุดปากไปเรื่องดอกบัวเพลิงพิพากษา ซึ่งเขายังไม่รู้เลยว่ามันจะมีผลอะไรกับอนาคตของเขาบ้าง แต่ที่รู้ ๆ คือนับจากแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะไม่พูดอะไรโดยไม่ยั้งคิดอีกแล้ว
มู่หลงหยานมองไปที่เสี่ยหนานเทียน และพูดขึ้นว่า “เมื่อเจ้าไปถึงสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เจ้าต้องรีบใช้ประตูเคลื่อนย้ายกลับไปที่สำนักของเจ้าทันที ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่ามันอาจมีใครบางคนที่มีเจตนาร้ายกับเจ้าเล่นงานเจ้าที่นั่นก็ได้ ในตอนนี้สถานการณ์ภายในสำนักของข้ากำลังไม่สงบนัก ข้าไม่อาจอนุญาตให้เจ้าอยู่ได้เป็นเวลานาน”
“ขอบคุณท่านป้า” เสี่ยหนานเทียนรีบตอบกลับทันที
ในตอนนี้เขามีทางเลือกเพียงอย่างเดียวคือต้องใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในการกลับไปที่สำนักของเขาเท่านั้น หากขืนเขาแยกตัวออกไปใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอื่น เขาคงโดนซุ่มโจมตีกลางทางแน่นอน
ใครใช้ให้เขาเป็นผู้ที่ออกมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเป็นกลุ่มสุดท้ายกัน?
ในขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ จู่ ๆ หลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นว่า “เย่จางเฟิง เจ้าจงควบคุมค่ายกลกระบี่เหินเมฆา หากใครก็ตามที่ขวางทางพวกเราฆ่ามันทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง!”
เมื่อได้ยินคำสั่ง เย่จางเฟิงก็ส่งพลังของตนเองเข้าควบคุมค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันที
เนื่องจากเขาคือผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นเขาคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการทำหน้าที่ควบคุมค่ายกล
ในขณะเดียวกับที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาถูกเปิดใช้งาน ชายผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นขวางทางกลุ่มของหลิงตู้ฉิงไว้พอดี และตะโกนถามว่า “ข้าขอสอบถามหน่อยได้ไหมว่ากลุ่มพวกท่านใช่กลุ่มเดียวกับภรรยาของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”
ก่อนที่มู่หลงหยานจะทันได้ตอบ เย่จางเฟิงก็บังคับกระบี่บินเข้าสังหารชายที่ขวางทางเอาไว้ในทันที
ชายผู้นั้นที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิถูกสับจนเป็นเนื้อบดและตายลงทั้ง ๆ ที่เขายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ในฐานะที่เป็นทาสรับใช้ของหลิงตู้ฉิง เย่จางเฟิงจึงทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด
มู่หลงหยานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ “นั่นมันผู้อาวุโสของสำนักมหาพฤกษา ซึ่งเขาเองก็เคยมาเยือนที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มาก่อน”
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แล้วยังไง? เย่จางเฟิง เจ้าจงฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าเราเหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าพวกมันเป็นใคร!”
“รับทราบ นายท่าน!” เย่จางเฟิงตอบกลับ
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็พูดต่อ “จงเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับการต่อสู้รุนแรงข้างหน้า”
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารรุนแรงที่คละคลุ้งอยู่ไม่ไกล
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร แต่ในเมื่อมันพุ่งเป้ามาที่เขา เขาจึงเตือนให้เย่จางเฟิงเตรียมพร้อมรับศึกอย่างเต็มตัว
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มของสำนักมหาพฤกษาที่ซุ่มรอดูอยู่ไม่ไกลก็แสดงสีหน้ามืดหม่นทันที “พวกเราถูกพบแล้ว!”
“พวกเขาออกจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเป็นกลุ่มสุดท้าย ดังนั้นพวกเขาต้องได้สมบัติมาเยอะมากแน่ ๆ และในเมื่อกลุ่มของพวกเขาก็มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอยู่ไม่มาก พวกเราควรฆ่าพวกเขาซะให้หมด จากนั้นก็ลบร่องรอยไม่ให้เหลือ แต่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเป็นฝีมือของพวกเรา!” ชายชราในกลุ่มพูดขึ้น
“ในเมื่อพวกเขาเจอเราได้ง่ายแบบนี้ก็แปลว่าพวกเขาจะต้องเตรียมตัวมาพร้อมแล้วแน่นอน ข้าเกรงว่ามันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ที่เราจะลงมือ!” ใครบางคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นคัดค้าน
“พวกเขากำลังมุ่งมาทางพวกเราแล้ว จะเอายังไงดี? ลงมือเลยไหม?”
“อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามลงมืออะไร ลองใช้ข้ออ้างการตายของหลินซวนทดสอบพวกเขาดูก่อน!” ใครบางคนเสนอแนะขึ้น
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงก็สั่งกับหลงเฉินว่า “เปลี่ยนเส้นทางไปทางซ้าย ไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่ดักรอพวกเรา!”
เมื่อได้รับคำสั่ง หลงเฉินก็เปลี่ยนเส้นทางทันที ซึ่งทุกคนที่อยู่บนรถมังกรต่างก็หยิบอาวุธของตัวเองขึ้นมาเตรียมพร้อม
จากนั้นเพียงครู่เดียว ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในขอบเขตราชันขั้นกลางก็ปรากฏตัวขึ้นขวางหน้ารถมังกรและตะโกนขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าหมายความว่ายังไง? ทำไมพวกเจ้าต้องสังหารผู้อาวุโส….”
ก่อนที่ชายผู้นั้นจะได้พูดจบ เย่จางเฟิงก็ส่งกระบี่บินบดร่างของเขาจนแหลกละเอียดกลางอากาศทันที
“สู้ตายกับพวกมัน!” ชายชราหนวดขาวตะโกนขึ้น “ข้ายอมไม่ได้ที่พวกเราเสียผู้อาวุโสของสำนักไปถึง 2 คน!”
ชายวัยกลางคนในกลุ่มรีบพูดปรามขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อน ลองไปถามคำอธิบายจากพวกเขาก่อน ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้เราก็เป็นฝ่ายถูก”
ถึงแม้จะมีคนพูดปรามขึ้น แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่ฟังอีกแล้ว ในตอนนี้คนของพวกเขาถูกสังหารไป 2 คน ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็มีเหตุผลให้ลงมือเต็มประตู
กลุ่มคนของสำนักมหาพฤกษาปรากฏกายขึ้นขวางหน้ารถมังกรทันที และตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “นี่มันหมายความว่ายังไง สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต้องการประกาศสงครามกับสำนักมหาพฤกษาของข้างั้นเหรอ? เย่จางเฟิง มู่หลงหยาน เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”
เย่จางเฟิงไม่ตอบอะไรทั้งนั้นหากเขาไม่ได้รับคำสั่ง
ทางด้านของมู่หลงหยาน นางตอบกลับว่า “เจ้าสำนักหลินจิน สำนักของท่านกับสถานที่แห่งนี้มันอยู่ไกลกันมากเลยนะ ข้าสงสัยว่าท่านมาทำอะไรที่นี่พร้อมกับผู้อาวุโสของท่านอีกตั้ง 17 คน แถมท่านยังนำบรรพบุรุษของสำนักมาด้วยอีก?”
หลินจินตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าคิดว่าพวกข้าจงใจจะมาเล่นงานพวกเจ้าหรือยังไง? แต่ไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็ต้องให้คำอธิบายกับข้าก่อนว่าทำไมพวกของเจ้าถึงสังหารผู้อาวุโสของข้าไป 2 คน ไม่เช่นนั้นข้าจะกุมตัวพวกเจ้าทุกคนไปที่สำนักข้าและให้สำนักของพวกเจ้ามาจ่ายค่าชดเชย!”
“ขวางทางก็ฆ่าแล้วจะทำไม? ทำไมต้องโต้เถียงเรื่องไร้สาระแบบนี้กันให้มากมาย?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “เร็วเข้ารีบฆ่าพวกมันให้หมดสักที พวกเราไม่มีเวลาที่จะมาเสียกับที่นี่มากนัก!”
อันที่จริงเหตุผลที่หลิงตู้ฉิงต้องการให้รีบ ๆ ฆ่าคนเหล่านี้ไปให้หมดก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการรั้งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน ๆ ไม่เช่นนั้นจะมีผู้คนอีกมากมายที่มีความคิดเดียวกับผู้คนเหล่านี้โผล่มาสมทบอีก ซึ่งมันจะยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากมากไปกันใหญ่
เมือ่ได้ยินคำสั่ง เย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยวก็ร่วมกันส่งพลังไปให้กับค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันที และส่งเหล่ากระบี่พุ่งไปหากลุ่มคนของสำนักมหาพฤกษา
ทางด้านของมู่หลงหยานก็ถอนหายใจพลางหยิบไม้บรรทัดหยกดำขึ้นมา
ในเมื่อดูจากสถานการณ์แล้วมันคงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่นอน ดังนั้นทางเลือกเดียวที่เหลือก็คือการฆ่ากันตายให้หมดกันไปข้างหนึ่ง!