ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 49 ด่านสิบสองกัลป์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

วิชาหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวหน้าไปนานแล้ว แต่ละหอกล้วนสามารถปรับเปลี่ยนพลังคละวิถีได้ อานุภาพล้วนสามารถบรรลุถึงขีดจำกัดเทพจักรวาลชั้นที่สาม แต่ต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ เมื่อเทียบกับพวกจอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำที่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าแล้ว ก็ยังคงห่างชั้นอยู่ขุมใหญ่ บวกกับปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้มีจำนวนมากมายเสียจนเกินจริงโดยแท้ การสกัดกั้นปลาใหญ่แต่ละตัวล้วนทำให้วิชาหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับผลกระทบ

“ฟึ่บๆ”

ปลาใหญ่สีแดงสดมีจำนวนมากนัก หอกยาวสกัดกั้นไม่ทันเอาเสียเลย พวกมันกัดตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าอย่างต่อเนื่อง

แต่ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีปุยเมฆก่อตัวขึ้นเป็นกระแสอากาศสามสายรายล้อมเอาไว้ ซึ่งก็คือเคล็ดวิชาคุ้มร่างของยุทธวิธีเมฆาแดง ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้ฝืนทะลุการสกัดกั้นของ ‘ปุยเมฆคุ้มกาย’ ไปได้อย่างพอถูไถก่อนจะกัดเข้าที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง หลังผ่านการทำให้อ่อนกำลังลงด้วยเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุ ท้ายที่สุดก็ยังเหลือกลิ่นอายซึ่งเป็นตัวแทนของจุดจบสายหนึ่งที่ส่งผลต่อกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิง

ส่วนการฝึกกายคละถิ่นทำให้กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งเป็นอันมาก กลิ่นอายเล็กน้อยเท่านี้ กายหยาบไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย

“อ่อนแอเกินไปแล้ว ข้ายืนอยู่ที่นี่ ปลาใหญ่เหล่านี้ก็ยังทำร้ายข้ามิได้อยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันคลายใจลงไป

ช่วยไม่ได้

กายหยาบของฝึกกายคละถิ่นชั้นที่หนึ่งและเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ทั้งสองหลอมรวมกัน ก็ไม่แพ้พวกยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทางสายฝึกกายเลย ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในโลกทิพย์โบราณต้องการสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพราะเมื่อไม่มีร่างแปรทิพย์โบราณก็มิอาจสำเร็จได้!

 หากพูดถึงการรักษาชีวิต ก่อนหน้าที่จะมายังวังเทพจิตโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงมองดูระดับจอมเคารพส่วนใหญ่ด้วยความภาคภูมิ หากระดับจอมเคารพส่วนใหญ่มีแค่สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเพียงชิ้นเดียว ความสามารถในการรักษาชีวิตกลับมิได้เยี่ยมยอดถึงเพียงนั้น

แต่บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังค้นคว้าเคล็ดวิชาคุ้มกายสุดท้ายออกมาจนได้ อานุภาพของปุยเมฆคุ้มกายก็บรรลุถึงขีดจำกัดระดับเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว เมื่อมีเคล็ดวิชาคุ้มกาย ความสามารถในการรักษาชีวิตของเขาก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น! เหนือกว่าพวกมหาเคารพผู่ซู่และพรานผู้ล่าเป็นแน่

“หืม”

“กายหยาบนี้ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ พรานผู้ล่า และจวินอ๋องดำ พวกเขาสี่คนต่างก็สังเกตเห็นฉากนี้

ปลาใหญ่สีแดงสดนั้นทะลุผ่านปุยเมฆคุ้มกาย แล้วกัดกินร่างของอิงซานเสวี่ยอิง แต่ผิวหนังก็ยังกัดไม่แตก ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว!

เรื่องนี้ทำให้พวกเขาอับจนคำพูดกันถ้วนหน้า

“หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิตแล้วยังแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก ในรายงานบันทึกเอาไว้ว่าเขาได้ปุจฉวิถีคละถิ่นไปจากสกุลเซี่ยของเรา กายหยาบแข็งแกร่งก็แล้วไปเถิด แต่เคล็ดวิชาคุ้มกายของเขามาจากไหนกันเล่า ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้ทะลุผ่านปุยเมฆคุ้มกายของเขา อานุภาพก็ลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด” มหาเคารพผู่ซู่ลอบร่ำร้องในใจ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าการรักษาชีวิตของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่ง แต่เคล็ดวิชาคุ้มกายก็ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เกินกว่าที่คาดเดาเอาไว้

“เหมือนยุทธเคล็ดวิชาคุ้มกายของวิธีเมฆาแดง ทว่าอานุภาพกลับแข็งแกร่งกว่า เสวี่ยอิงเขาไปศึกษาเคล็ดวิชาคุ้มกายที่เยี่ยมยอดพรรค์นี้มาจากที่ใดกัน” จอมเคารพกระบี่ปีศาจได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกใจระคนสงสัย

……

ปลาประหลาดสีแดงเข้มเหล่านี้ทำร้ายตนมิได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็โจมตีอย่างบ้าคลั่งสุดแรง ยอดฝีมือทั้งห้าที่อยู่ในที่นั้นก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าต้านทานการกัดกินของปลาประหลาดสีแดงเข้มตามอำเภอใจ

“ฟิ้ว”

หอกหนึ่งแทงออกไป

ตรงปลายหอก ม่านหมอกโหมซัดและสลายไปอย่างรวดเร็ว เกล็ดเหนือผิวปลาประหลาดสีแดงเข้มแข็งแกร่งทนทาน จึงได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง แม้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำให้ปลาประหลาดสีแดงเข้มเหล่านี้บาดเจ็บได้อย่างพอถูไถเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงสับเปลี่ยนวิชาหอกต่อไป

หอกหนึ่งแทงออกไป

หอกแทงลงบนแผ่นเกล็ดของปลาใหญ่สีแดงสด เหนือผิวของปลาใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ภายในกลับถูกโจมตีดังปัง จนเกิดบาดแผลฉีกขาดมหึมาจากภายใน จากนั้นก็ระเบิดออกจากส่วนหลังของปลาใหญ่สีแดงสดทันที เกล็ดปลาปลิวว่อน บาดแผลอันโหดเหี้ยมสายหนึ่งปรากฏขึ้น

“มีเพียงกระบวนท่าทะลุอากาศนี่เท่านั้นที่พอใช้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด

ในบรรดาห้ากระบวนท่าของยุทธวิธีเมฆาแดง

แต่ละท่าล้วนมีลักษณะพิเศษของตนเอง อย่างกระบวนท่าที่ตนตั้งชื่อให้ว่า ‘ทะลุอากาศ’ นั้น เคล็ดวิชาคุ้มกาย ค่ายกลคุ้มกันและอาภรณ์เกราะเกล็ดที่ภายนอกนั้นก็ไร้ประโยชน์ด้านการป้องกัน มันแทรกเข้าไปในสุดของร่าง! แน่นอนว่าอย่างกายหยาบบางร่างนั้นแข็งแกร่ง ไปจนถึงภายนอกและภายในยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน  ประโยชน์ของกระบวนท่านี้ก็จะไม่เกินเหตุถึงเพียงนั้นแล้ว

แต่ปลาประหลาดสีแดงเข้มพรรค์นี้มิได้เป็นสิ่งที่ตนฝึกฝนขึ้นมา หากแต่เป็นกฎเกณฑ์ที่ให้กำเนิดขึ้นมา เกล็ดเหนือผิวกายมีการป้องกันอันแข็งแกร่ง พลังชีวิตแข็งแกร่ง แต่เมื่อภายในร่างกายเทียบกับเกราะเกล็ดแล้วก็ยังคงอ่อนแอไม่น้อย

******

เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารปลาประหลาดสีแดงเข้มด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้า ส่วนมหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำนั้นสังหารได้รวดเร็วกว่ามาก พวกเขาล้วนแต่สามารถปะทุพลังระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดออกมาได้ อย่างจอมเคารพกระบี่ปีศาจบางครั้งก็สามารถปะทุเอาพลังรบที่แข็งแกร่งกว่านี้ขึ้นมาได้ ภายใต้พลังรบอันสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไป ปลาประหลาดสีแดงเข้มตัวแล้วตัวเล่าก็ยังคงทยอยกันตายไปอย่างไม่ขาดสาย

เหล่าเทพจักรวาลมีทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง ปลาประหลาดสีแดงเข้มกลับน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาทั้งห้าก็สบายขึ้นเรื่อยๆ

ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ปลาประหลาดสีแดงเข้มก็ถูกกวาดล้างไปจนเกลี้ยงเกลา

ส่วนชายชราถือไม้เท้าที่ยืนอยู่กลางหลังสัตว์ประหลาดกลางน้ำตัวนั้นเห็นท่าไม่ดีก็แทรกตัวเข้าไปในส่วนลึกของท้องทะเลอย่างรวดเร็วเสียแล้ว

“ฟิ้ว”

ภาพตรงหน้าพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนเปลี่ยนแปรไป พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายกลับมาภายในโถงตำหนักอีกครั้ง

ทุกคนก็เข้าใจดีว่า ด่านกัลป์ที่สิบเอ็ดนี้ก็ผ่านไปได้แล้วในที่สุด

“ด่านกัลป์ที่สิบเอ็ดนี้ก็มีแค่จ้าวหิมะเหินเท่านั้นกระมังที่มิได้รับบาดเจ็บ” นัยน์ตาเยียบเย็นของจวินอ๋องดำมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย

“พวกเราได้รับบาดเจ็บกันหมดแล้วจริงๆ กระบี่ปีศาจก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” มหาเคารพผู่ซู่ก็พูดพลางยิ้มน้อยๆ ภายใต้ปลาใหญ่สีแดงสดอันแน่นขนัด ก็มิอาจป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบได้เลย พวกเขาล้วนเสียเปรียบอยู่บ้างเล็กน้อย จะมีก็แต่เคล็ดวิชาคุ้มกายและการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น เขาเป็นผู้ที่สงวนท่าทีที่สุดในบรรดาทั้งห้าคน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นผู้ที่มีด้านการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด

จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ

“ต้องขอบคุณจักรพรรดิเซี่ยเป็นอย่างมากขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“ในภายหน้าก็จะเป็นด่านสิบสองกัลป์แล้ว การบุกเข้ามายังวังเทพจิตโลกาในครั้งนี้มิได้มาโดยเปล่าประโยชน์แล้ว” มหาเคารพผู่ซู่กล่าว “หากบุกฝ่าผ่านไปได้ ก็จะได้รับมอบรางวัลอันใหญ่หลวง ดังนั้นด่านสิบสองกัลป์จะต้องยากเย็นมากอย่างแน่นอน”

“ถึงคราวคับขันแล้ว” พรานผู้ล่าพูดเสียงเบาพลางแย้มยิ้ม “เป้าหมายของข้าก็คือบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ให้ได้ก็พอใจแล้ว”

“หวังว่าจะสามารถบุกฝ่าผ่านไปได้” จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็พยักหน้าเช่นกัน

จวินอ๋องดำเงียบงัน เพียงแต่ว่าสายตาสาดประกายเย็นชาออกมา

ด่านสิบสองกัลป์…

หากบุกฝ่าผ่านไปได้ก็จะได้ผลประโยชน์ไป พวกเขาถึงขั้นจะถอดใจเสียกลางทาง ไม่พยายามสู้อีกต่อไปแล้ว

เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมากว่า สำหรับพวกเขาแล้ว ‘ด่านสิบห้ากัลป์’ ก็คงยากเกินไปสำหรับเขาแล้วจริงๆ ถึงจะสู้สุดชีวิตก็เสียดาย ไม่สู้ไปยังบริเวณอื่นของวังเทพจิตโลกาแล้วบุกฝ่าต่อไปจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลประโยชน์อยู่ก็เป็นได้

“ด่านสิบสองกัลป์” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เอ่ยพึมพำ

เขาได้เจ็ดกระบวนคละถิ่นมาในครั้งนี้ ยังทำให้เขายินดีกว่าสมบัติลับล้ำค่าอันสูงส่งเสียอีก

แต่คงไม่รังเกียจว่าสมบัติล้ำค่ามีเยอะเกินไปหรอกกระมัง

นอกจากนี้ เจ็ดกระบวนคละถิ่นก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาเท่านั้น ตนมิอาจเผยแพร่สู่สู่ภายนอกได้ นอกจากนี้ตนยังขาดอาวุธที่เหมาะสม เช่นจะหลอมอาวุธที่ใช้สำหรับสำแดงเจ็ดกระบวนคละถิ่นโดยเฉพาะ ลำพังแค่วัสดุก็คงแพงเสียจนทำให้คนตกใจได้แล้ว…ต่อให้ขายสมบัติล้ำค่ามากมายของตนไปจนหมด ก็มิอาจรวบรวมให้เพียงพอได้ ดังนั้นก็ควรจะเข้าไปบุกฝ่าในวังเทพจิตโลกาสักตั้ง เพื่อสะสมสมบัติล้ำค่าให้มากหน่อย

หากบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ได้ อย่างน้อยที่สุดสมบัติล้ำค่าก็มีราคาถึงแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล หากเคราะห์ดี สิ่งที่ได้รับมอบก็จะล้ำค่าเสียจนเกินเหตุ

“สู้เต็มที่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาลงแล้วทำใจให้สงบแล้วค่อยๆ วิวัฒน์เพื่อปรับปรุงให้เคล็ดวิชาสมบูรณ์ขึ้นต่อไป

……

ทั้งห้าคนเฝ้ารอคอยด่านสิบสองกัลป์ด้วยความกระหาย

สามารถบุกฝ่าผ่านไปได้และได้ผลประโยชน์ ต่อให้ถูกขับไล่ออกจากวังเทพจิตโลกาทันทีก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว ที่ทุ่มสุดตัวอยู่ในด่านสิบเอ็ดกัลป์ก่อนหน้านี้ ก็เพียงเพื่อรอคอยจนถึงขณะนี้ก็เท่านั้นเอง

“มาแล้ว

“ด่านสิบสองกัลป์”

มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ จวินอ๋องดำ พรานผู้ล่าและตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนยืนอยู่อย่างสงบ เมื่อผ่านการฟื้นฟูมาพันปี ท่าทีของหลายคนก็ฟื้นคืนมา

วิ้ง

ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวและเลือนรางไป

“นี่มันอะไรน่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนทางเมฆสีเหลืองเข้มสายหนึ่ง รอบกายเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน บริเวณไกลออกไปก็สามารถมองเห็นทางเมฆสายอื่นๆ ได้

ทางเมฆทั้งหมดห้าสายรวมกันเป็นรูปพัด มุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณอันมืดมิดไกลออกไปแห่งหนึ่งพร้อมกัน

บริเวณอันมืดมิด

มีเงาร่างสูงตระหง่านนั่งอยู่บนบัลลังก์

สายตาของเงาร่างสูงตระหง่านนั้นกวาดผ่านผู้แกร่งกล้าแต่ละคนที่ยืนอยู่บนทางเมฆทั้งห้าสายพลางพูดเสียงเรียบว่า “ฆ่าพวกเขาเสีย”

“ขอรับ”

เบื้องล่างบัลลังก์แห่งนั้นมียามรักษาการณ์อยู่

สวบๆๆ…

มีกองกำลังยามรักษาการณ์ถึงห้ากองอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างคนต่างทะยานไปยังทางเมฆสายหนึ่ง

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ารอบๆ ทางเมฆมีอุปสรรคอันไร้รูปร่างอยู่ “ต้องรับมือศัตรูตามลำพังหรือนี่ มิอาจร่วมมือกันได้แล้วหรือ”

ก็ถูกต้องแล้ว

ยิ่งนานไป สิ่งที่มอบให้ก็จะยิ่งน่าตกใจ ผู้ที่จะได้รับมอบก็ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งพอ

สวบๆๆ…

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันอันตรธานไปในพริบตา รอบด้านมีเมฆหมอกแผ่กำจายออกไปรางๆ เงาร่างของเขาปรากฏขึ้นกลางมิติเล็กจิ๋วหลายๆ แห่งในเมฆหมอกอย่างน่าประหลาด เขาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน เพียงแต่ว่าบางครั้งก็จะลอบโจมตีเพื่อตรวจดูพลังของศัตรูบ้าง! ขณะเดียวกันเขาก็แบ่งสมาธิไปสังเกตการห้ำหั่นที่เกิดขึ้นบนทางเมฆอีกสี่สายด้วย หมายจะเข้าใจความเป็นไปของศัตรูผ่านการชมการต่อสู้ ด่านสิบสองกัลป์นี้ ยังไม่ต้องลงมือเขาก็รู้ว่าจะต้องยากลำบากมากอย่างแน่นอน แม้แต่พวกมหาเคารพผู่ซู่ก็ยังไม่มั่นใจ เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งต้องระมัดระวังเข้าไปใหญ่

“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ

ตัวเขาเองมีการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่ง ทั้งยังอาศัยเขตพลังเมฆาแดงที่ปรับปรุงแล้ว จึงย่อมถ่วงเวลาออกไปได้ชั่วคราว

แต่มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำกลับปะทุการห้ำหั่นอย่างดุเดือดออกมาทันที จะมีก็แต่พรานผู้ล่าเท่านั้นที่พยายามหลบหนีอย่างสุดกำลัง คิดจะเฝ้าดูให้รู้จักศัตรูเสียก่อน

“ปังๆๆ…”

ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด

กองกำลังยามรักษาการณ์แต่ละกองนั้นมีสิบหกคนด้วยกัน พวกเขาร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ กระบวนท่าพิสดาร เชี่ยวชาญทางด้านอากาศ วิถีดาบและอื่นๆ มากมาย และถึงขั้นเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอีกด้วย

ปังๆๆ…

มหาเคารพผู่ซู่และจวินอ๋องดำได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างต่อเนื่อง พรานผู้ล่าที่รีบหนีไปนั้นก็เริ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสบ้าง จะมีก็แต่จอมเคารพกระบี่ปีศาจเท่านั้นที่สถานการณ์ยังดีอยู่

“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านเขาไป ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยคราหนึ่ง จากนั้นค้อนใหญ่อันน่าหวาดหวั่นอันหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา เขาก็ถูกศัตรูกระแทกออกจากมิติเล็กจิ๋วเสียงดังปัง จากนั้นก็มีประกายดาบ เงาหอกและค่ายกลที่ปกคลุมเข้ามาต่อเนื่องกัน

ณ อีกด้านหนึ่ง…

“แย่แล้ว”

สถานการณ์ของมหาเคารพผู่ซู่เลวร้ายถึงขีดสุด แม้พยายามสกัดกั้นสุดชีวิต แต่แทบจะในชั่วพริบตา ก็ประสบกับท่าไม้ตายเก้าระลอกต่อเนื่องกัน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตายทันที

วิ้ง!

พละกำลังอันไร้รูปร่างปกคลุมเข้ามาแล้วเคลื่อนย้ายมหาเคารพผู่ซู่ออกไป เพราะหากยังไม่เคลื่อนย้ายออกไปอีกเขาก็คงจะต้องตายแล้ว!

มหาเคารพผู่ซู่ถูกเคลื่อนย้ายและขับออกจากวังเทพจิตโลกา! เส้นทางวังเทพจิตโลกาของเขาก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้

“น่ากลัวเกินไปแล้ว” ในขณะนี้ทั้งจวินอ๋องดำ พรานผู้ล่าและตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

“ยามรักษาการณ์เหล่านี้ก็ร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป เขาต้องพยายามสุดชีวิตแล้ว เมื่อครู่ยังคิดว่าอาศัยวิธีการทางด้านบริเวณหรือวิธีด้านรักษาชีวิตก็จะสามารถตรวจสอบให้รู้ดำรู้แดงมากหน่อย แต่ตอนนี้เห็นทีคงจะน่าขันเกินไปเสียแล้ว

 ………………………………………………