ตอนที่ 870 นี่คืออันใด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 870 นี่คืออันใด

เมื่อประตูชิงหลงถูกเปิดออก เหล่าขุนนางก็พากันหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงปลา

ฟู่เสี่ยวกวนในฉลองพระองค์ลำลองนั่งอยู่ในพระเกี้ยวซึ่งมีเจี่ยหนานซิงนั่งอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังเดินทางมายังห้องทรงพระอักษร

การประชุมประจำราชสำนักในยามเช้าแสนน่าเบื่อ !

ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากหาวเพราะเขารู้สึกว่ายังพักผ่อนมิเพียงพอ

วันหยุด 10 วันสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้เขาทำงานในวังหลังอย่างหนักและแน่นอนว่าย่อมตื่นสายเป็นธรรมดา ทว่าในวันนี้เขาต้องตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น…เมื่อชาติที่แล้วเพิ่งเป็นเวลาเพียงแค่ตีสี่ !

การต้องตื่นนอนในยามอิ๋นในฤดูหนาวเยี่ยงนี้…ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหดหู่มากยิ่งนัก

เป็นนายน้อยที่ดินแห่งหลินเจียงสุขสบายกว่านี้มากโข !

เวลานี้ข้าคงนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มแสนนุ่มและอุ่นสบาย นอนตื่นสายตะวันโด่งก็มิมีผู้ใดว่า ข้าจะมิชื่นชอบได้เยี่ยงไรเล่า ?

น่ารำคาญเสียจริง !

มิได้การ ! ต้องรีบหาวิธีโยนเรื่องเหล่านี้ให้ทั้งสามสำนักจัดการโดยเร็ว ให้พวกเขารีบเร่งสักหน่อยเพราะตนจะได้ออกไปสำรวจพื้นที่ภายในราชอาณาจักรเสียที เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วตลอดทั้งปีข้ามิได้เดินทางออกจากเมืองกวนหยุนเลย ไปได้ไกลสุดก็แค่ที่ราบหลีลั่ว

ราชวงศ์อู๋กว้างขวางถึงเพียงนี้ ข้าควรออกไปตรวจตราบ้านเมืองสักหน่อย

เดือนสามของฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม หากจะเดินทางออกไปตอนนี้ก็เกรงว่าจะหนาวจนเกินไป

“ขันทีเจี่ย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ช่วยข้าจัดการบางอย่างสักหน่อยเถิด พวกเราจะออกเดินทางตอนต้นเดือนสาม”

เจี่ยหนานซิงชะงักงัน “ฝ่าบาทจะเสด็จไปแห่งใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“…ไปหกรัฐแห่งเป่ยเซียว แต่อย่าให้ราษฎรแตกตื่นเล่า เลือกผู้ร่วมเดินทางสักสี่ห้าคนให้ติดตามไปด้วยก็พอ”

“…รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปเถิด เหล่าขุนนางคงจะเดินทางมาถึงกันแล้ว”

เหล่าขุนนางมิเพียงเดินทางมาถึงแล้วเท่านั้น แต่ยังส่งเสียงอึกทึกครึกโครม !

ในท้องพระโรงซวนเต๋อบังเกิดความแตกตื่นขึ้นมา ใบหน้าของจัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ และเมิ่งฉางผิงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ…

“นี่คืออันใดกัน ? ”

ท้องพระโรงซวนเต๋อที่ตั้งตระหง่านมานานหลายทศวรรษยังคงลักษณะด้านนอกดังเดิม ทว่าภายในได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิง !

พระแท่นมังกรอันสูงส่งหายไปที่ใดแล้วเล่า !

บัลลังก์มังกรซึ่งแสดงถึงอำนาจสูงสุดของจักรพรรดิ…ก็มิอยู่แล้วเช่นกัน !

เมื่อเดินมาจากทางเข้าหลักของท้องพระโรงซวนเต๋อก็จะพบขั้นบันไดสิบขั้นลดหลั่นลงมา ด้านล่างสุดเป็นพื้นที่โล่งมีแท่นกลมอยู่ตรงกลาง บนแท่นมีโต๊ะตั้งอยู่โดยมีเก้าอี้ล้อมรอบโต๊ะจำนวน 9 ตัว

แท่นนี้ถูกขุดลึกลงไปถึง 3 ฉื่อ ไม่สิ…อย่างน้อยน่าจะ 6 ฉื่อ !

วันหยุดปีใหม่เพียงแค่ 10 วันเท่านั้นมิใช่หรือ ?

นี่เป็นฝีมือของผู้ใดกัน !

หนานกงอี้หยู่จ้องมองไปทางเหว่ยชังเสนาบดีกรมโยธาธิการ เหว่ยชังรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “เมื่อปีก่อนฝ่าบาทให้ข้าน้อยทำเยี่ยงนี้ แต่ข้าน้อยได้ปฏิเสธไปแล้ว ! เนื่องจากมิเหมาะสม อีกทั้งยังได้ทูลต่อฝ่าบาทว่าหากประสงค์จะทำเยี่ยงนี้จริงก็ต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งสามสำนักก่อน ข้าน้อยถึงจะกล้าลงมือทำขอรับ”

เป็นความคิดของฝ่าบาทมิผิดเป็นแน่ แล้วผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติตามพระบัญชากัน ?

เรื่องนี้มิอาจปิดบังได้ อีกประเดี๋ยวก็ไปถามทหารรักษาการณ์ก็คงจะได้ทราบโดยทั่วกัน

“ฝ่าบาททรงเอาแต่พระทัยเกินไปแล้ว ! ” หนานกงอี้หยู่ตำหนิออกมาเบา ๆ ทว่าจัวอี้สิงกลับไร้ซึ่งกิริยาตอบสนองใด

เมื่อจัวอี้สิงได้พิจารณาท้องพระโรงใหม่อย่างละเอียด ผ่านไปชั่วครู่เขาก็ทำท่าทางราวกับเข้าใจบางสิ่งแล้ว

“ไปกันเถิด พวกเราลงไปด้านล่างกัน… เสนาบดีทั้งหกกรมก็ตามข้ามาด้วยเถิด”

“ตรงนั้นคือที่นั่งของพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ถูกต้อง สามสำนักหกกรมพอดีกับ 9 ที่นั่ง”

“ตรงกลางนั้นคือตำแหน่งของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่ ! ส่วนขุนนางคนอื่น ๆ ก็นั่งบนขั้นบันไดเหล่านี้ เมื่อฝ่าบาทเสด็จมาถึง ประเดี๋ยวพระองค์ก็คงจะอธิบายให้พวกเราฟังเองนั่นแหละ”

บรรดาขุนนางพากันหาตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วนั่งลง ส่วนจัวอี้สิงและคนอื่น ๆ ก็ได้พากันมานั่งล้อมโต๊ะกลมด้านล่าง

น่าแปลกประหลาดยิ่งนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางที่นั่งอยู่ด้านบนขึ้นไป เนื่องจากตำแหน่งของพวกตนต่ำกว่าขุนนางที่อยู่ด้านล่างมากโข ทว่าบัดนี้พวกตนต้องก้มมองขุนนางอาวุโสทั้งเก้าซึ่งก่อนหน้านี้ต้องเงยหน้ามอง !

ดังนั้นสายตาของพวกตนจึงมิกล้าก้มลงมองขุนนางอาวุโสทั้งเก้า เนื่องจากนี่เป็นการละเมิดกฎเรื่องความเคารพ

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการประชุมเยี่ยงนี้สบายตาดีเหลือเกิน ด้านหน้าของทุกคนเป็นโต๊ะไม้แดง บนเก้าอี้ยังมีที่รองนั่งแสนอ่อนนุ่มซึ่งฤดูหนาวเยี่ยงนี้จะมิทำให้เย็นสะโพก

ฝ่าบาททรงคิดได้รอบคอบยิ่งนัก เพียงแต่ว่าฝ่าบาททรงประทับตรงตำแหน่งล่างสุด แล้วอีกประเดี๋ยวพวกตนจะมองหรือมิมองฝ่าบาทดี ?

นี่คือปัญหาที่สำคัญยิ่ง หากก้มหน้ามองฝ่าบาท…ก็อาจจะโดนฝ่ายตรวจการลงโทษฐานกระทำความผิดทางอาญาเนื่องจากดูหมิ่นอำนาจของจักรพรรดิใช่หรือไม่ ?

แต่หากมิมองฝ่าบาท…ก็เหมือนจะดูหมิ่นอำนาจของจักรพรรดิเช่นกัน

แล้วจะทำเยี่ยงไรดี ?

ในขณะที่บรรดาขุนนางพากันตกอยู่ในความงุนงง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงซวนเต๋อ จากนั้นก็เดินลงบันไดและนั่งลงตรงตำแหน่งล่างสุดอย่างแท้จริง

สายตาของขุนนางทั้งหลายจ้องมองไปยังองค์จักรพรรดิ แต่เมื่อฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงแล้ว พวกเขากลับทำตัวมิถูก

“เจิ้นว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ “สายตาของพวกท่านมองไปที่ใดกัน ? มองเจิ้นสิ ! นี่คือกฎ ! ”

เมื่อฝ่าบาทรับสั่งออกมาเยี่ยงนี้ เหล่าขุนนางจึงพากันมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน เมื่อพวกเขามององค์จักรพรรดิจากด้านบนลงไปด้านล่างก็ราวกับว่าฝ่าบาทจะหล่อเหลาขึ้นมามิน้อย

หยุนซีเหยียนและจงสือจี้ก็อยู่ในท้องพระโรงด้วยเช่นกัน ทั้งสองหันหน้ามาสบตากัน จงสือจี้จ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ส่วนหยุนซีเหยียนเผยอยิ้มส่งไปทางจงสือจี้

หากจะเอ่ยถึงเรื่องความเข้าใจในความคิดของฝ่าบาท แน่นอนว่าหยุนซีเหยียนรู้ดีกว่าจงสือจี้

เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาและได้เห็นภาพท้องพระโรงซวนเต๋อเยี่ยงนี้ หยุนซีเหยียนก็เข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวนได้ทันทีว่ากำลังพยายามลดความสำคัญของจักรพรรดิลงอย่างเต็มใจ !

ทว่าที่เขามิเข้าใจก็คือ เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนต้องทำเยี่ยงนี้ด้วยกัน ?

การได้เป็นจักรพรรดิก็เพื่อครอบครองอำนาจมิใช่หรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนสามารถเดินขึ้นมาบนบัลลังก์นี้และสามารถกำอำนาจเอาไว้ได้ แต่เขากลับต้องการปล่อยวางอำนาจลง…หรือเขาจะไร้ซึ่งความปรารถนาใดอย่างแท้จริง ? ต้องการกลับไปเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่เส้นทางบางเส้นเมื่อก้าวออกไปแล้วก็มิอาจย้อนกลับไปได้อีก

เรือรบที่มีนามว่าราชวงศ์อู๋ลำใหญ่โตนี้มีเขาเป็นกัปตันเรือ ส่วนเรือลำนี้จะแล่นไปในทิศทางใดก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเขาแล้ว

ดังนั้นจากที่หยุนซีเหยียนลองวิเคราะห์ดูแล้ว พบว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกระทำทุกสิ่งอย่างช่างน่าสับสนยิ่ง

“การประชุมเยี่ยงนี้ค่อยสบายตาหน่อย พวกท่านมิต้องคาดเดาไปต่าง ๆ นานาหรอก เพราะนี่คือสิ่งที่เจิ้นต้องการ ! ”

ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนปรากฏรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ เขามิสนใจสายตาของเหล่าขุนนางที่มองมา ดังนั้นจึงเริ่มเปิดการประชุมราชสำนักครานี้อย่างเป็นทางการทันที

“วันนี้เป็นวันแรกของปีที่สองประจำแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋ แท้ที่จริงแล้วเจิ้นมิจำเป็นต้องเอ่ยอันใดให้มากความ ในที่นี้เจิ้นจะเอ่ยเพียงข้อบังคับใหม่ 2 ประการ”

“ประการที่หนึ่ง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชรา เจิ้นได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ให้จัดตั้ง 1 แห่งในแต่ละรัฐ โดยราชวงศ์จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชราทุกแห่ง”

“ประการที่สอง ให้จัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อบรรเทาความยากจนในพื้นที่ชนบท ส่งเสริมให้ราษฎรพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์สัตว์โดยมิจำกัดว่าต้องเลี้ยงหมูเท่านั้น กองทุนพิเศษเพื่อบรรเทาความยากจนนี้มีหน้าที่ทำอันใดน่ะหรือ ? มีหน้าที่ซื้อลูกสัตว์ จากนั้นก็ส่งมอบให้กับเกษตรกรเลี้ยง พอสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงเติบใหญ่ก็ให้นำไปขาย พวกเขาจะได้มีเงินทุนต่อไป”

“ขุนนางทุกระดับต้องใส่ใจความเป็นอยู่ของราษฎรในปีนี้อย่างใกล้ชิด จงทำให้ราษฎรที่อยู่ภายใต้ปกครองมั่งคั่งขึ้นมา กรมการค้าต้องใส่ใจเรื่องราคาและป้องกันมิให้เกิดพฤติกรรมผูกขาดอย่างเคร่งครัด สิ่งนี้ให้สอดคล้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์…”

“…หากท่านใดมีปัญหาข้องใจสามารถสอบถามกับทางสามสำนักได้โดยตรง ทั้งสามสำนักจะเป็นผู้ร่างนโยบายและดำเนินการ ส่วนเจิ้น…เจิ้นยังมีเรื่องอื่นต้องทำ”

“อีกอย่างหนึ่งคือพวกท่านอย่าคาดหวังว่าเจิ้นจะมานั่งสนทนาด้วยในทุกเช้าเยี่ยงนี้ ต่อไปนี้การประชุมราชสำนักช่วงเช้าจะเป็นหน้าที่ของสามสำนักหกกรม ส่วนฎีกาจากทั่วทุกหนแห่งก็รับผิดชอบอ่านและอนุมัติโดยสามสำนักเช่นกัน”

“เอาล่ะ พวกท่านประชุมกันต่อได้ เจิ้นขอตัวก่อน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดแขนเสื้อพลางเดินออกไป ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งบู๊และบุ๋นพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง…นี่มันเรื่องอันใดกัน ?

มีจักรพรรดิเยี่ยงนี้ด้วยหรือ ?

จักรพรรดิมิควรเป็นเยี่ยงนี้ !

มีเพียงหยุนซีเหยียนเท่านั้นที่กระตุกยิ้มมุมปาก เขารู้สึกว่านี่จึงจะเป็นนิสัยของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง