ตอนที่ 683 ข้าคือชิงเหอ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เวลานี้ซิวยังคงติดอยู่ในห้วงมายาของดวงจิตสายฟ้าอันทรงพลัง

ภายในห้วงมายาดังกล่าว มันย้อนอดีตกลับสู่วัยเด็กและเผชิญกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่านมาซ้ำอีกครั้ง

ความเป็นปฏิปักษ์ ความอาฆาตแค้น ความไม่เข้าใจของบิดามารดาและความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ทุกอย่างล้วนนำไปสู่ประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมากมาย

“ซิว !”

“ซิว !”

“ซิว !”

……

ด้วยเสียงเอ่ยเรียกดังซ้ำหลายครา ซิวซึ่งติดอยู่ในห้วงมายาก็ถูกดึงสติกลับออกมาในที่สุด

“นายหญิง ?”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ข้างกาย ซิวในร่างบุรุษหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างทันที

ในที่สุดมันก็ตระหนักแล้วว่าทุกสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญอีกต่อไป การได้เป็นอสูรมายาแห่งโชคชะตาของฉินอวี้โม่ผู้นี้เปรียบดั่งการเกิดใหม่สำหรับซิว ในเมื่อเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว ซิวก็ปล่อยมันไปและไม่กังวลอีก สิ่งที่มันสนใจมีเพียงปัจจุบันนี้ที่ได้ติดตามนายหญิงผู้ซึ่งปฏิบัติต่อตนดั่งมิตรสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน

“ซิว เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?!”

ฉินอวี้โม่จับตาดูซิวอย่างใกล้ชิดและสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกทั้งร้ายดีที่ผสมปนเปกันจนปั่นป่วนได้ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างทั้งสอง นางจึงอดเอ่ยถามออกไปเบา ๆ ไม่ได้

ภายในห้วงมายา ซิวคงจะเผชิญกับเรื่องราวมากมายที่มันไม่ต้องการแม้แต่จะนึกถึงและสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกของซิวปั่นป่วนอย่างยิ่ง แม้ไม่มั่นใจว่าอสูรคู่กายจะได้ยินตนหรือไม่ ฉินอวี้โม่ก็ต้องการที่จะลองดูก่อน

ไม่คิดเลยว่าซิวจะได้ยินเสียงเอ่ยเรียกของนางและหลุดพ้นจากห้วงมายาได้อย่างปลอดภัย

“ซิว ไม่คิดเลยว่าตอนที่เจ้าเป็นมังกรทารก เจ้าจะน่ารักน่าชังยิ่งนัก”

เมื่อเห็นท่าทางของซิวที่ไม่ต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ฉินอวี้โม่ก็เพียงยิ้มและกล่าวติดตลกเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ท่านเห็นด้วยรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซิวถึงกับชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นจู่ ๆ ความทรงจำมากมายก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวของมันและอาการบาดเจ็บที่เผชิญก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวก่อนที่พลังความแข็งแกร่งของมันจะฟื้นกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

“นายหญิง ข้ากำลังจะทะลวงพลังแล้ว!”

ก่อนฉินอวี้โม่จะเอ่ยถามสิ่งใด ซิวก็นั่งขัดสมาธิลงอย่างรวดเร็ว หลังจากเผชิญทัณฑ์สายฟ้าสิบขั้นอันทรงพลังเกินจินตนาการ แน่นอนว่ามันต้องเข้าสู่กระบวนการวิวัฒนาการ

สำหรับการบ่มเพาะพลังในฐานะมังกรทองสิบเล็บ ตราบใดที่ซิวข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าไปได้ แน่นอนว่ามันก็จะทะลวงพลังเข้าสู่ระดับนภาเซียนได้ และในฐานะนายผู้มีพันธสัญญากับซิว ฉินอวี้โม่ก็ย่อมได้ผลประโยชน์อย่างมากเช่นกัน

หลังจากเวลาครึ่งวันผ่านไป ในที่สุดซิวก็ค่อย ๆ ลืมตาอีกครา

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดความแข็งแกร่งของข้าก็กลับคืนสภาวะสูงสุด !”

ซิวอดหัวเราะเสียงดังอย่างพึงพอใจไม่ได้ ในที่สุดตอนนี้มันก็สามารถช่วยฉินอวี้โม่ขัดขวางอุปสรรคขวากหนามทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาได้

“อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าการทะลวงพลังครานี้ยังมิใช่ขีดจำกัดสูงสุดของข้า ในอดีต เมื่อข้าบรรลุระดับนภาเซียนขั้นสูงสุด ข้ารู้สึกได้ว่าข้าไม่มีทางพัฒนาต่อไปได้อีก ทว่าในตอนนี้ ข้ารู้สึกอย่างชัดเจนว่ายังสามารถทะลวงพลังต่อไปอีกได้”

ใบหน้าของซิวประดับด้วยรอยยิ้มและตอนนี้มันมีอารมณ์ที่ดีอย่างยิ่ง การวิวัฒนาการครานี้พัฒนาพลังของมันเป็นอย่างมากและความทรงจำบางอย่างที่สูญหายไปก็กลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะค้นพบว่าตนยังสามารถพัฒนาพลังต่อไปได้อีกและจะใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้น

“ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและแสดงความยินดีกับความสำเร็จของซิว ใบหน้าของนางแสดงถึงความดีใจและความแข็งแกร่งของนางเองก็เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน

“หืมม ? ท่านก็ทะลวงพลังด้วยหรือ ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งในปัจจุบันของผู้เป็นนาย ซิวก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มทว่าไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด

“ใช่ ตอนนี้ข้าก็เป็นจอมยุทธ์นภาเซียนแล้ว ทว่ายังไม่ทรงพลังจนเหนือธรรมชาติเหมือนอย่างเจ้าหรอก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ตอนนี้นางทะลวงพลังได้สำเร็จแล้วและกลายเป็นจอมยุทธ์นภาเซียนอย่างสมบูรณ์

ในขณะเดียวกันนั้น มารยา หานอวี้ หงส์แดง หลิวหยาและอสูรระดับสูงที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ข้างนอกก็ทะลวงพลังไปเช่นกัน เวลานี้พวกมันทั้งหมดเข้าสู่ระดับนภาเซียนครึ่งก้าวแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ พลังของพวกเราพัฒนาขึ้นแล้ว นี่จะต้องเป็นเพราะท่านซิวผ่านพ้นทัณฑ์สายฟ้าได้สำเร็จแน่ ๆ !”

หานอวี้ยิ้มอย่างดีใจและคาดเดาได้แล้วว่าพวกตนได้รับผลประโยชน์จากการวิวัฒนาการของซิว

“ดูนั่นเร็ว ! ม่านพลังสีม่วงกำลังจะหายไป อีกไม่นานนายหญิงคงจะออกมา”

เสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ ที่ไม่สามารถบรรลุพลังได้ในครานี้ก็รู้สึกยินดีกับมารยาและอสูรเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน เสี่ยวจินก็สังเกตเห็นว่าม่านพลังสีม่วงประหลาดรอบหลุมยักษ์ใหญ่กำลังสลายหายไปจึงเอ่ยเรียกด้วยความตื่นเต้น

หานโม่ฉือได้ยินเสียงของเสี่ยวจินและดวงตาที่ปิดสนิทมานานก็เปิดออกเช่นกัน เขาพุ่งตรงออกไปและปรากฏข้างหน้าม่านสีม่วงดังกล่าวทันที

อึดใจต่อมา เขาก็ไม่ลังเลและประเคนหมัดเข้าใส่ม่านพลังสีม่วงที่เลือนรางตรงหน้า

เคร๊ง !

ม่านพลังสีม่วงแตกออกจากกันด้วยเสียงราวกับแก้วแตกและเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ขึ้นมา

จากนั้น หานโม่ฉือก็กระโดดลงในหลุมใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม ! ทุกคนรอข้างนอกจะดีกว่า เกรงว่านายหญิงและนายท่านโม่ฉือคงจะอยากแสดงความรักกันก่อน พวกเรารออยู่ข้างนอกก่อนเถอะ”

มารยาและอสูรตัวอื่น ๆ เข้าไปขวางทางเข้าหลุมเพื่อป้องกันมิให้ชาวเอลฟ์คนอื่น ๆ เข้าไปข้างในได้ หลังจากเผชิญสถานการณ์เช่นนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคงจะทำอะไรที่น่าเขินอายอย่างแน่นอน พวกมันจึงไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน

“เอาล่ะ ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าอวี้โม่ไม่เป็นอะไร เรากลับไปที่พระราชวังกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เมื่อพลังที่ช่วยยับยั้งการกัดกร่อนต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์สลายไป เราต้องเตรียมความพร้อมรับมือและป้องกันมิให้ผู้ใดสร้างความเสียหายได้อีก”

ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินกล่าวและเอ่ยเรียกทุกคน นางทราบดีว่าทันทีที่ฉินอวี้โม่กลับออกมา นางจะไปหาตนอย่างแน่นอน

ภายในหลุมลึกขนาดใหญ่ ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะได้กล่าวสิ่งใดกับซิว นางก็ได้ยินเสียงลมหวิวพัดผ่านอย่างรวดเร็วและร่างบางของตนก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของคนคุ้นเคย

ซิวเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของหานโม่ฉือเช่นกันและไม่ทำสิ่งใดโดยปล่อยให้ผู้เป็นนายแนบชิดอยู่ในอ้อมแขนของเขา

“โม่ฉือ ไม่ต้องห่วงหรอก…ข้าไม่เป็นไร”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากบุรุษคนรัก ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นเบา ๆ หลังจากเผชิญกับเรื่องราวในอดีตกาลก่อนจากในห้วงมายา ความรักที่นางมีต่อหานโม่ฉือก็ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ชาติที่แล้วเมื่อพันปีก่อน นางและเขาก็ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนกว่าจะมาพบกันอีกครั้งในชาตินี้ได้ หานโม่ฉือผู้นี้รักและอุทิศหัวใจต่อนางอย่างแท้จริง

“ต่อไปในอนาคต เจ้าอย่าทำให้ข้าเป็นกังวลเช่นนี้อีก”

หานโม่ฉือสบตาฉินอวี้โม่โดยตรงและไม่สนใจว่าจะมีซิวอยู่ด้วยขณะก้มหน้าจุมพิตนางทันที…

หลังจากจุมพิตดูดดื่ม ทั้งสองก็ผละออกจากกัน ตอนนี้พวงแก้มของฉินอวี้โม่แดงระเรื่อเล็กน้อยจนซิวซึ่งอยู่ด้านข้างอดยิ้มอย่างมีความสุขกับนางไม่ได้

“จิ๊จิ๊ หลังจากชีวิตถึงสองชาติภพ ในที่สุดท่านทั้งสองก็ได้ครองรักกัน”

ซิวยิ้มด้วยความยินดีเมื่อนึกย้อนไปถึงความทรงจำในครานั้น

ในอดีต หลังจากได้พบชิงเหอและอวี้เฟิง มันก็ทราบความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นอย่างดี มันได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าอวี้เฟิงยอมละทิ้งชีวิตของตนเองเพื่ออัญเชิญจิตช่วยดวงวิญญาณของชิงเหอไว้ ซิวเองก็ต้องตกตะลึงกับความรู้สึกที่แท้จริงระหว่างคู่รักทั้งสองนี้

ก่อนหน้านี้ซิวอาจไม่ชอบหน้าหานโม่ฉือเท่าใดนัก ทว่าตอนนี้ความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องขัดขวางหรือแยกทั้งสองออกจากกัน

“ซิว เจ้าจำได้แล้วรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของซิว ฉินอวี้โม่ก็หันมองและกล่าวถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ฮ่า ๆ ๆ การที่พลังของข้ากลับคืนสู่สภาวะสูงสุด ความทรงจำที่สูญหายของข้าก็กลับคืนมาเช่นกัน ท่านคือชิงเหอและหานโม่ฉือก็คืออวี้เฟิงที่มาเกิดใหม่ ในชีวิตภพนั้นเมื่อพันปีก่อน ท่านทั้งสองรักกันทว่าต้องลงเอยอย่างน่าเศร้า และในที่สุดชีวิตนี้ท่านทั้งสองก็ได้พบและครองรักกันอีกครั้ง หากนายหญิงคนก่อนของข้ารู้เข้า นางจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”

ซิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะออกไปพบกับเหล่าอสูรข้างนอก เจ้าพวกนั้นคงจะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้า ท่านทั้งสองอยู่พูดคุยกันที่นี่ก่อนเถอะ”

หลังจากกล่าวจบ ร่างของมันก็หายไปจากตรงหน้าฉินอวี้โม่และปรากฏบนพื้นดินข้างนอก

“โม่ฉือ ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกเจ้า…ไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อรึไม่”

หลังจากซิวออกไป ฉินอวี้โม่ก็จับมือหานโม่ฉือและนั่งลงบนที่ว่างจุดหนึ่ง นางเอนกายพิงอ้อมแขนอบอุ่นและต้องการบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างจากชีวิตก่อนที่ได้เผชิญให้เขาได้ทราบ

“ยัยทึ่มเอ๋ย ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ข้าทราบดีทุกอย่าง”

หานโม่ฉือเพียงลูบศีรษะสตรีข้างกายอย่างยินยอมตามใจและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้ารู้อย่างนั้นรึ ?!”

ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือด้วยแววตาประหลาดใจทันที แม้แต่นางเองก็คงไม่มีทางได้ทราบหากมิใช่เพราะดวงจิตสายฟ้าก่อนหน้านี้ ทว่าหานโม่ฉือกลับทราบเรื่องราวต่าง ๆ มานานแล้ว

“คราก่อนที่ข้าไม่มีพลังมายาหลงเหลือและติดอยู่ในมิติโกลาหลพักใหญ่ ตอนนั้นเองที่ข้าได้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังโกลาหลและได้ประสบพบเจอกับหายนะทุกอย่างในชาติก่อน ๆ ในตอนนั้นข้าจึงได้ทราบความทรงจำในชีวิตเมื่อพันปีก่อน”

หานโม่ฉือยิ้มบาง ๆ เขาทราบเรื่องทั้งหมดมานานแล้ว ทว่าไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่กังวลจึงไม่เคยบอกนางมาก่อน

“โม่ฉือ เจ้านี่มัน…”

ฉินอวี้โม่ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินวาจาเรียบเฉยของหานโม่ฉือ

บุรุษผู้นี้…ไม่ว่าในภพก่อนหรือภพนี้ เขามักแบกรับทุกอย่างไว้บนบ่าอย่างเงียบ ๆ มาเสมอและไม่ต้องการให้นางกังวลสิ่งใด แล้วนางจะไม่ทั้งรักทั้งหลงใหลเขา และเฝ้ารอมานานนับพันปีได้อย่างไร ?

“โม่เอ๋อร์ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นล้วนผ่านไปแล้ว หากมิใช่เพราะข้ากลับมาหาเจ้าช้าเกินไป เราก็คงไม่ต้องแยกจากกันเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เพราะเหตุนั้นในชีวิตนี้ของข้า ข้าจึงได้ปฏิญาณกับตนเองว่าจะไม่ทิ้งเจ้าไปนานเกินไป ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม”

ในชีวิตก่อน หากมิใช่เพราะเขากลับมาหาชิงเหอช้าเกินไปเนื่องจากต้องจัดการธุระบางอย่างที่ตระกูล โศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าก็คงไม่เกิดขึ้น ในชีวิตนี้ เขาจึงให้สัญญากับตนเองว่าจะไม่ทิ้งนางไปไหนอีก

“ตาทึ่มเอ๋ย เจ้ายอมแลกชีวิตของเจ้าเพื่ออัญเชิญจิตของข้ามา ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ต้องทนโดดเดี่ยวเพียงลำพังมานานและไม่เคยพบรักหรือมีครอบครัว เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยบอกข้า ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างจนปัญญาและขยับเข้าไปใกล้หานโม่ฉือมากขึ้น

“ถึงอย่างไรมันก็คุ้มค่ากับการต้องรอมาจนถึงชีวิตนี้ อีกอย่าง…เจ้าเองก็รอข้าอยู่ในศาลนรกนานเป็นพันปีเช่นกัน หากเปรียบเทียบกัน เจ้าก็อาจจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

หานโม่ฉือยิ้มขณะจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแห่งความรัก

“เจ้าเคยไปที่ศาลนรกด้วยรึ ?”

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขากล่าวถึงศาลนรก นางคิดว่าตนเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าไปที่นั่น

“หลังจากที่ข้าใช้วิชาอัญเชิญจิตและตายไป ข้าก็ไปที่ศาลนรกเช่นกัน พญายมถามว่าข้าจะรอเจ้ารึไม่ ต่อให้ข้าต้องเผชิญความทุกข์ทรมานนานนับพันปี และเขากล่าวอีกว่าเจ้าจะรออยู่ที่นั่น หลังจากข้าผ่านพ้นความทุกข์เหล่านั้นตลอดพันปี ในที่สุดเราก็ได้มาพบกันในชีวิตนี้อีกครั้ง นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้ารอข้ามาตลอดจริง ๆ โม่เอ๋อร์…เจ้าบอกว่าข้าทึ่มนัก ที่แท้เจ้าโง่กว่าข้าเสียอีก”

หานโม่ฉือยิ้มและดึงร่างบางเข้ามากอดแนบแน่น ทั้งสองต่างก็โง่เขลาไม่ต่างกัน โชคดีที่ในที่สุดทั้งสองก็ได้มาพบกันอีกคราในชาตินี้ นับจากนี้ไปจะไม่มีสิ่งใดแยกทั้งสองออกจากกันได้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะครองรักกันไปตลอดกาล

ใบหน้าของฉินอวี้โม่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างและในหัวใจก็มีความสุขอย่างที่สุด หากทุกอย่างนำพามาถึงผลลัพธ์เช่นวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านพ้นมาก็ล้วนไม่สำคัญ

“จิ๊จิ๊ ทั้งสองรักกันหวานจริงเชียว”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจนทั้งสองรู้สึกประหลาดใจ

.