ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 97 อยู่ด้วยกันเช้ายันค่ำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ข้าเพิ่งรู้ว่าองค์หญิงผิงเป็นธิดาบุญธรรมของจักรพรรดินี แต่ข้าคิดว่ามีหลายคนโดยเฉพาะคนในจิงตูรู้เรื่องนี้นานแล้ว ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นเซียงอ๋องหรือจงซานอ๋องต่างก็ไม่มีสายเลือดของจักรพรรดินี และนางก็ไม่มีทายาทของตน ดังนั้นตำนานเกี่ยวกับการที่นางได้ฝืนลิขิตพลิกโชคชะตาจึงได้แพร่กระจายออกไป”

เฉินฉางเซิงมองไปยังแม่น้ำภูเขาอันงดงามแล้วกล่าวต่ออย่างสุขุม “แต่ผู้คนได้ลืมเรื่องสำคัญไปข้อหนึ่ง หากตำนานเป็นจริง เช่นนั้นตราบใดที่รัชทายาทเจาหมิงยังมีชีวิตอยู่ การเปลี่ยนชะตาของจักรพรรดินีย่อมยังไม่สำเร็จ หรืออย่างน้อยก็ยังไม่ได้บทสรุป”

สวีโหย่วหรงนึกถึงการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดในจิงตูช่วงไม่กี่ปีมานี้และการที่หัวหน้าขันทีในวังหลวงได้ทำการสืบค้นอย่างลับๆ ครั้นแล้วนางก็ขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อยและกล่าว “นั่นไม่สมเหตุผล”

เฉินฉางเซิงรู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นปกครองมานานกว่าสองร้อยปี หากนางเปลี่ยนชะตาไม่สำเร็จ แล้วนางจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร

“หากว่าการท้าลิขิตพลิกโชคชะตานั้นไม่ใช่เรื่องที่สำเร็จเสร็จสิ้นในทันที แต่เป็นกระบวนการที่ยาวนานดั่งสายน้ำไหลก็นับว่าสมเหตุผล จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อาจจะมีอันตรายที่ไม่มีคนอื่นรู้ซ่อนอยู่ สำหรับนางการมีอยู่ของรัชทายาทเจาหมิงนั้นเป็นอันตรายอย่างที่สุด”

เฉินฉางเซิงมองนางและกล่าว “หากข้าคือรัชทายาทเจาหมิง เช่นนั้นการมีอยู่ของข้าก็เป็นเรื่องอันตรายสำหรับจักรพรรดินี ดังนั้นนางย่อมต้องการสังหารข้า”

สวีโหย่วหรงมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ดีมาก ดังนั้นนางย่อมไม่พลาดแม้แต่เรื่องน่าสงสัยที่เล็กน้อยที่สุด “หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิง เหตุใดเจ้าสำนักซางถึงได้ส่งเจ้ามายังจิงตู เขาไม่ห่วงว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือ เขากับใต้เท้าสังฆราชดูเหมือนจะไม่ได้พยายามปกปิดตัวตนของเจ้าด้วยซ้ำราวกับว่าพวกเขาต้องการให้จักรพรรดินีรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า”

ปัญหารูปแบบใดก็ไม่อาจต้านทานการพินิจพิจารณาได้ และต่อให้ไม่มีปัญหาอะไรก็ยังสามารถสร้างคำถามขึ้นได้มากมาย เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เพราะว่าข้าอายุน้อยกว่ารัชทายาทเจาหมิงมาก ดังนั้น…”

นี่เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักอย่างมาก แต่กระนั้นก็เหมือนกับข้อแก้ตัวมากไม่แพ้กัน เพราะมีเพียงคนทั้งสามในวัดเก่าเมืองซีหนิงเท่านั้นที่รู้จริงๆ ว่าเขาอายุเท่าไรกันแน่ เขารู้ว่ามันยากที่จะทำให้คนเชื่อเหตุผลนี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “หากข้ายังมีชีวิตอยู่เมื่อกลับไปถึงจิงตู ข้าจะไปถามอาจารย์อาโดยตรง”

สวีโหย่วหรงสำรวจมองใบหน้าเขา ไม่พบความกังวลหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย เมื่อนางคิดว่าเขาได้สนทนาด้วยท่าทางเช่นนี้นางก็คิดในใจ สามารถสุขุมเยือกเย็นได้แม้ในยามเผชิญหน้ากับความตาย คนที่ข้ารักนี่ช่างเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริงใจนางหวั่นไหวไปตามความปรารถนาและการกระทำก็เป็นไปตามหัวใจ นางเอนกายพิงไหล่ของเขาและกระซิบ “เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากผมนาง เฉินฉางเซิงมองดูนางและคิดในใจ หากเราสามารถอิงแอบกันและกันเช่นนี้ต่อไปได้ก็คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่เรื่องต่างๆ มักไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ เมื่อผู้เฒ่าความลับสวรรค์ส่งข่าวไปยังจิงตู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องส่งคนมาสังหารข้า ไม่ยอมให้ข้ารอดชีวิตไปถึงจิงตูเป็นแน่

สวีโหย่วหรงไม่ได้หันศีรษะไปมองหน้าเขา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของเขาได้อย่างชัดเจน “หากจักรพรรดินีไม่ลงมือเอง จะมีใครเล่าที่ฆ่าเจ้าได้”

เหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่อยู่ในรถม้าด้านหลังพวกเขา เหมาชิวอวี่นั้นย่อมไม่ยอมให้เฉินฉางเซิงตาย และต่อให้ราชันย์แห่งหลิงไห่อยากให้เฉินฉางเซิงตาย เขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยไม่ช่วยเหลือต่อหน้าต่อตาคนมากมายได้ เมื่อมียอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับรวบรวมดวงดาวของนิกายหลวงอยู่ข้างกายถึงสองคน ต่อให้มือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังยากที่จะลงมือได้ แต่เฉินฉางเซิงนั้นรู้ดีว่าหากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจที่จะสังหารเขา นางย่อมไม่ส่งมือสังหารมาแค่สองสามคน แต่เป็นกองทัพที่นำมาโดยตัวขุนพลเทพเอง ไม่ว่าเหมาชิวอวี่จะแข็งแกร่งเพียงไร ก็ยากที่จะปกป้องเขาได้

ในตอนที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ก็พลันมองเห็นดอกไม้แดงท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว ดอกไม้แดงดอกนั้นสั่นไหวอยู่บนกิ่งไม้สีเขียว บางครั้งก็นิ่ง บางคราวก็เคลื่อนไหว ดูเหมือนจะหยุดอยู่บนทุ่งหญ้าแต่ก็ไม่เคยหายไปจากสายตา อันที่จริงแล้วมันเคลื่อนไหวมาตามรถม้าที่ควบไป

ตอนนี้ก็ผ่านยามรุ่งอรุณมานานแล้ว ตามต้นไม้ใบหญ้าในทุ่ง น้ำค้างต่างแห้งเหือดไปแล้ว ทว่าดอกไม้แดงนั้นยังมีน้ำค้างปกคลุมอยู่ ภายใต้แสงอาทิตย์อันงดงาม ประกายสีแดงนั้นดูน่าเกรงขาม

เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หันไปหาสวีโหย่วหรงและกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เปี๋ยยั่งหง?”

สวีโหย่วหรงพยักหน้า แล้วมองไปยังที่รกร้างห่างไกล “กวนซิงเค่อก็น่าจะเดินอยู่ห่างไปร้อยลี้”

เฉินฉางเซิงตกใจอยู่บ้าง

ไม่กี่วันก่อนเมื่อราชามารได้เข้ามาในหานซาน ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้แจ้งไปยังที่ต่างๆ ในโลก กวนซิงเค่อที่อยู่ใกล้ที่สุดและเปี๋ยยั่งหงที่รวดเร็วที่สุดเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง

ต่างไปจากที่เฉินฉางเซิงคาดคิด หลังจากราชามารล่าถอยไปยังทุ่งหิมะ ยอดฝีมือทั้งสองไม่ได้ไปจากหานซานแต่ดูเหมือนจะส่งเขากลับไปยังจิงตู

เปี๋ยยั่งหงกับกวนซิงเค่อนั้นไม่ใช่ยอดฝีมือทั่วไป พวกเขาเป็นสุดยอดฝีมือในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสมาชิกของแปดมรสุม แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะเป็นว่าที่สังฆราช เขาก็ไม่คู่ควรให้คนทั้งสองมาคุ้มครอง การปรากฏตัวมาคุ้มครองของพวกเขาย่อมเป็นการแสดงถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มหัวเก่าในนิกายหลวงและราชวงศ์เฉินให้โลกได้รับรู้

“จักรพรรดินีมีศัตรูมากมายเสมอมา” สวีโหย่วหรงกล่าว สายตาจ้องมองไปที่ดอกไม้แดงในทุ่งหญ้า

เฉินฉางเซิงคิด ดูเหมือนข้าจะกลายเป็นศัตรูที่จักรพรรดินีต้องการกำจัดทิ้งมากที่สุด

……

……

เมื่อมีแปดมรสุมสองคนคุ้มครอง กองทัพต้าโจวที่ราชสำนักสั่งเคลื่อนทัพก็ไม่สามารถเอาชีวิตเฉินฉางเซิงได้ ดังเช่นที่สวีโหย่วหรงกล่าว หากจักรพรรดินีไม่มาด้วยตัวเอง เฉินฉางเซิงย่อมกลับจิงตูได้อย่างปลอดภัย แน่ทีเดียว เขาก็ต้องแน่ใจด้วยว่าร่างกายของตนเองจะไม่เกิดปัญหาขึ้นอย่างฉับพลัน

สถานการณ์ในตอนนี้นั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก มีปริศนาที่ยังแก้ไม่ตกมากมายและยังมีอันตรายอย่างมาก ในระหว่างนี้สวีโหย่วหรงก็ใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของนางกับเฉินฉางเซิงเพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นเลือดของเขาจะไม่แผ่ออกมานอกร่างกาย ส่งผลให้นางสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย ใบหน้านางจึงขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ

แต่กระนั้นนางก็ไม่ยอมพัก เฝ้ามองภาพแวดล้อมข้างทางอย่างระแวดระวัง

นางให้เฉินฉางเซิงอยู่ข้างกายภายในราชรถของนาง ไม่ยอมให้เฉินฉางเซิงก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าจะกินข้าว ทำแผล พักผ่อนหรือแม้แต่ล้างหน้า ก็ต้องทำในราชรถนี้

ในเวลาเดียวกัน นางก็ไม่ยอมให้ใครเข้ามาในรถม้า ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิงนางจะเป็นคนทำด้วยตัวเอง จะกินอะไรจะดื่มอะไร กินเมื่อไรดื่มเมื่อไร นอนตอนไหนตื่นตอนไหน แม้แต่ว่าจะพบกับใครก็ขึ้นอยู่กับนาง แม้แต่ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็มาได้เพียงในช่วงพักผ่อน และคุยกับเฉินฉางเซิงอยู่ห่างจากราชรถไปหลายจั้ง

ยามสายัณห์วันหนึ่ง ถังซานสือลิ่วมายังราชรถ เฉกเช่นวันก่อน เขารออย่างกังวลอยู่ระยะเวลาหนึ่งก่อนม่านจะเปิดออก หลังจากเขาพูดคุยกับเฉินฉางเซิงได้เพียงเล็กน้อย สวีโหย่วหรงก็ยกชามใส่โจ๊กเม็ดบัวมา เป็นสัญญาณบอกให้ศิษย์สถานศึกษาหนานซีปิดผ้าม่านลงอีกครั้ง

ครั้นมองผ่านม่านไปก็เห็นสวีโหย่วหรงป้อนโจ๊กเฉินฉางเซิงได้อย่างเลือนราง ถังซานสือลิ่วตะโกนอย่างฉุนเฉียว “เจ้าเลี้ยงลูกอยู่หรืออย่างไร! เจ้าไม่ใช่แม่เขานะ!”

สีหน้าศิษย์สถานศึกษาหนานซีเปลี่ยนไปโดยพลัน จากนั้นเสียงกระบี่ก็ดังขึ้นรอบทิศ

ถังซานสือลิ่วย่อมไม่กล้าเอาตัวเองมาล้อเล่นกับค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซี จึงหันหลังก้มหน้ากลับไปยังรถม้าของสำนักฝึกหลวงอย่างขุ่นเคืองใจ

ในช่วงสองสามวันแรกเจ๋อซิ่วยังมาเยี่ยมเฉินฉางเซิงพร้อมกับเขา หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหากับเฉินฉางเซิง เขาก็ไม่มีความอดทนจะมายุ่งเกี่ยวกับพวกผู้หญิงจากสถานศึกษาหนานซีหรืออยากเห็นภาพในราชรถนั่น เหตุนี้เขาจึงไม่มาอีก ตอนนี้หลังจากเห็นถังซานสือลิ่วกลับมาอย่างขุ่นเคืองและถามหาเหตุผลแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไร

“เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกมากหรือ” ถังซานสือลิ่วถาม

เจ๋อซิ่วไม่พูดอะไร เขาย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่นอน แต่เมื่อเฉินฉางเซิงเชื่อในตัวสวีโหย่วหรงเพียงนี้ เขาก็ได้แต่มองอยู่ด้านข้าง

หลายคนก็รู้สึกว่ามันแปลกมาก รู้สึกว่ามีปัญหา หลังจากออกจากหานซาน มีสายตามากมายที่ไม่เคยละไปจากราชรถคันนี้

พวกเขาล้วนมีสีหน้าประหลาดพลางคิดในใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

เวลาผ่านไปหลายวันแล้ว และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับเฉินฉางเซิงก็อยู่ในราชรถนั้นทั้งเช้าค่ำ พวกเขาทำอะไรกัน

ถึงจุดนี้ หลายคนก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขานั้นคบกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังยากจะยอมรับได้ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันในตอนนี้

นี่ไม่ใช่เรื่องของฝักฝ่าย

พวกเขารับไม่ได้ที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อยจะอยู่กับผู้ชายน่ารังเกียจทุกวัน เป็นภาพที่รับไม่ได้อย่างแท้จริง

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีนั้นเห็นนางนำน้ำหรือชาไปให้เฉินฉางเซิงอยู่เป็นระยะๆ มีศิษย์หญิงคนหนึ่งถึงขนาดได้เห็นนางเช็ดตัวให้เฉินฉางเซิงกับตาตัวเอง

ต่อให้พวกเขาคบกัน ต่อให้เขาได้รับบาดเจ็บ แต่นี่หมายความว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องดูแลปรนนิบัติเขาด้วยตัวเองเช่นนี้เชียวหรือ

ด้วยเหตุนี้เอง บรรยากาศในขบวนเดินทางจึงค่อนข้างประหลาดและบรรดาศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ

เพราะสวีโหย่วหรงคือเจ้าสำนักของพวกนาง เพราะนางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้รับความเคารพยกย่องมากที่สุดราวกับเทพของพวกเขา

ในคืนวันนั้น เยี่ยเสี่ยวเหลียนศิษย์สถานศึกษาหนานซีนำจดหมายที่เฉินฉางเซิงเขียนมายังรถม้าของสำนักฝึกหลวง