ในเวลานี้ติงเหยี่ยนผิงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก กับดักนับไม่ถ้วนระหว่างทางทำให้เขาทรมาน บาดแผลที่ขาก็เลือดไหล ผมก็ถูกไฟบนกำแพงเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง หลงเหลือแค่ปอยผมกระจัดกระจายอยู่ข้างหลัง ความหงุดหงิดในใจทำให้เขารู้สึกอยากจะอ้วก นี่คือสัญญาณว่าเขาได้รับบาดเจ็บภายใน อวัยวะภายในถูกไม้กระแทกอย่างแรง คาดว่ามันคงทำให้อวัยวะขยับเขยื้อน เสื้อผ้าของเขาก็ขาดหลุดลุ่ยไปหมด มีเพียงหอกสั้นสองอันในมือที่ยังเปล่งประกาย
ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้มานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าวันนี้เรือจะมาล่มในรางน้ำ มันยิ่งทำให้เขาเคียดแค้นอวิ๋นเยี่ยมากขึ้นกว่าเดิม เขาเหลือบมองผมหงอกของตัวเองและถอนหายใจ เยี่ยนเหนียงอายุยังน้อย แต่ตัวเองอายุมากแล้ว ถึงแม้นางจะบอกว่าผมหงอกเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ทุกครั้งที่หวีผมให้เยี่ยนเหนียง มองดูผู้หญิงที่งดงามราวกับดอกไม้คนนั้นในกระจก ชายเฒ่าอย่างเขาก็มักจะรู้สึกอึดอัดใจ ถึงแม้ว่าเยี่ยนเหนียงจะไม่สนใจ นางมักจะปลอบตัวเองเสมอ บอกว่านางชอบชายเฒ่า เขาอบอุ่น แต่กระจกหลอกใครไม่ได้
เหตุใดในช่วงเวลาที่ตัวเองเป็นหนุ่มแน่นถึงไม่ได้เจอกับผู้หญิงดีๆ เช่นนี้กัน ติงเหยี่ยนผิงรู้สึกเคียดแค้น หลังจากรวบรวมความกล้าเพื่อเตรียมที่จะทะลวงกำแพงที่อยู่ข้างหน้าและดึงอวิ๋นเยี่ยออกมา เมื่อได้หยกอวี้ไผมาครอบครองแล้วจากนั้นค่อยฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ซะ
อักขระแปลกๆ บนกำแพงอิ่งปี้ เขาอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ เขาไม่รู้จัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไขปริศนา ก็แค่กำแพงไม่ใช่หรือ ทุบมันไปเสียก็สิ้นเรื่อง
เมื่อปลายหอกของเขาแตะไปโดนกำแพง เขาก็รู้ว่าการจะเจาะรูที่กำแพงเป็นเพียงแค่ความฝัน เขาเงยหน้าขึ้นมอง กำแพงสูงกว่าสามฟุต แต่โชคดีที่กำแพงมีร่องรอย หากเขาเอาหอกเหล็กสองอันเจาะเข้าไปที่กำแพง เช่นนี้แล้วเขาคงจะปีนไปถึงยอดกำแพงได้
สรวงสวรรค์ไม่มีทางทำตามความปรารถนาของมนุษย์ ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวในรูใหญ่ที่จุดสูงสุด ติงเหยี่ยนผิงกระโดดลงมาจากกำแพง พิงกำแพงเตี้ยๆ ที่ดูเหมือนจะแข็งแรง เตรียมพร้อมต้อนรับความท้าทายใหม่
เมื่อเขาเห็นลูกบอลหินขนาดใหญ่สามลูกกลิ้งลงมาจากหลุม เขาก็ลืมไปแล้วว่ามีหนามเหล็กเจาะออกมาจากกำแพงเตี้ยอย่างสิ้นหวัง และความเจ็บปวดที่แผ่นหลังก็ทำให้เขาสงบลงขณะมองหาที่ที่สามารถใช้หลบซ่อนตัวได้
เมื่อลูกบอลหินกลิ้งลงมาอย่างแรง ติงเหยี่ยนผิงนอนอยู่บนพื้น แนบตัวของตัวเองติดเข้ากับมุมกำแพงเตี้ยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างกลไกอันชั่วร้ายพวกนี้ขึ้นมา กำแพงเตี้ยเต็มไปด้วยหนามเหล็ก เพื่อประหยัดพื้นที่ เขาจำเป็นต้องเอาตัวไปแนบติดกับกำแพงเตี้ย ปล่อยให้หนามเหล็กพวกนั้นแทงเข้ามาในร่างกายของตัวเอง เมื่อลูกบอลหินกลิ้งผ่านไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ติงเหยี่ยนผิงร้องโหยโหนออกมาอย่างสิ้นหวัง
คนที่ได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเยี่ย ฉิวหรันเค่อกับเฮ่อเทียนซังก็ได้ยินเช่นกัน พวกเขาได้ยินเสียงร้องของติงเหยี่ยนผิงอย่างชัดเจน ผู้ชายสองคนที่กลายเป็นเพื่อนกันชั่วคราว พวกเขาโชคดีกว่าติงเหยี่ยนผิงเพราะถึงแม้ว่าระยะทางจะเจอกับดักมากมาย แต่สุดท้ายพวกเขาก็รอดพ้นจากอันตรายภายใต้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ตอนนี้ได้ยินเสียงดังก้องและเสียงกรีดร้องของติงเหยี่ยนผิงในเวลาเดียวกัน ทั้งสองหันหน้ามามองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาซีดเซียว เฮ่อเทียนซังกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและพูดกับฉิวหรันเค่อว่า “ชายเฒ่าซวยแล้ว ไม่รู้ว่าเจอกับกลไกอะไร ทำให้ยอดฝีมือเช่นนั้นต้องมาทรมานอยู่ที่นี่ เราต้องระวังให้ดี”
ฉิวหรันเค่อพยักหน้าและพูดกับเฮ่อเทียนซังว่า “สหาย เดิมทีคิดว่าหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปโจมตีที่ทะเลหนานไห่ แผ่นดินนี้เป็นของตระกูลหลี่ เราสู้ไม่ได้ แต่เรื่องในท้องทะเล พระเจ้ามีเอาไว้ให้พวกเรา ถึงตอนนั้นสหายอย่างเราก็จะไปดื่มเหล้าองุ่นเสวยสุขกับสาวงาม ตอนนี้ผ่านพ้นความยากลําบากไปก่อนค่อยว่ากัน ไอ้สารเลวอวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าเลวทรามขนาดนี้ ไอ้นี่มันไม่ใช่คนดีจริงๆ”
เฮ่อเทียนซังมองฉิวหรันเค่อด้วยสายตาแปลกๆ เขาพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าทันทีที่ออกไปจากที่นี่ เขาจะจับไอ้โจรสลัดคนนี้ทันที
เสียงร้องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าของทั้งสองคนก็ซีดลงเรื่อยๆ เมื่อลูกบอลหินปรากฏขึ้นมา ฉิวหรันเค่อก็ตะโกนและหันหลังวิ่งออกไป วิ่งออกไปได้สองก้าวก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง มีลูกบอลหินที่ใหญ่กว่ากลิ้งตามมาข้างหลัง เฮ่อเทียนซังตะโกน และบังเอิญไปเหยียบใส่ก้อนอิฐที่ต่อให้ตายเขาก็จะไม่มีวันไปแตะต้อง หนามเหล็กอันแวววาวพุ่งออกมาแทงทันที ทิ้งบาดแผลขนาดฟุตกว่าไว้ที่ต้นขาของเขา
ฉิวหรันเค่อเห็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้น เขาดีใจ ใช้ดาบตัดหนามเหล็กให้หักทันที ตัวเองกระโดดลงไปในหลุมก่อน เฮ่อเทียนซังก็กระโดดตามลงไปอย่างไม่ลังเล
กระโดดลงไปแล้วก็เห็นว่าฉิวหรันเค่อกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ข่มขื่น ทันใดนั้นความเจ็บปวดจากฝ่าเท้าก็พุ่งขึ้นมา ในหลุมเต็มไปด้วยหนามเหล็ก เป็นหนามเหล็กที่เอาไว้ใช้ในการทำสงคราม
ลูกบอลหินสองลูกชนกันอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา เศษหินร่วงพรูลงมาบนหัวบนไหล่ของพวกเขา เศษหินที่แหลมคมตัดผ่านหัวล้านของฉิวหรันเค่อ และตัดผ่านไหล่ของเฮ่อเทียนซัง
ข้างนอกเงียบสงบ ราวกับว่าอันตรายทั้งหมดได้ผ่านไปแล้ว ฉิวหรันเค่อกรีดร้อง ยกเท้าขึ้นมาจากหนามเหล็ก นอนลงแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก แล้วก็ดึงเฮ่อเทียนซังที่กำลังจะหมดสติออกมาจากหนามเหล็ก ลากขึ้นมาอยู่บนพื้นด้วยกัน
มองดูเฮ่อเทียนซังที่นอนหงายอยู่บนพื้น ตอนนี้ฉิวหรันเค่อนับถือในอาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยที่ตัวเองเคยเจอเป็นอย่างมาก มีเพียงเทพเซียนแบบนั้นถึงจะสั่งสอนศิษย์ที่มีความสามารเช่นนี้ได้ แล้วก็มีเพียงเทพเซียนแบบนั้นถึงจะออกแบบเขาวงกตที่ชาญฉลาดแบบนี้ขึ้นมาได้
เขากำลังพยายามนึก ขณะที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม เทพเซียนที่มีเคราและผมสีขาวกวักมือเรียกตัวเอง ชวนไปดื่มน้ำสักแก้ว เด็กผู้ชายที่ชาญฉลาดและซุกซนแอบอยู่หลังเทพเซียนและทำหน้าผีใส่ตัวเอง
น้ำธรรมดา แต่มันสามารถทำให้เขาลืมเสียงเอะโวยวายของโลกนี้ได้ ถึงแม้ว่ากระท่อมจะทรุดโทรม แต่คานและเสานั้นช่างสง่างาม เพราะเหตุใดถึงจำไม่ได้ว่าเทพเซียนพูดอะไรกับตัวเองบ้าง จำได้เพียงแค่รอยยิ้มอันมีเมตตาของเทพเซียน
สำหรับเรื่องที่ตัวเองเตะเด็กผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ฉิวหรันเค่อรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เด็กผู้ชายซุกซนที่อยู่กับเทพเซียนมาตลอด เด็กนั่นคงจะเป็นคนขี้สงสัย การจะตรวจดูห่อผ้าของเขามันก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ช่างน่าเสียดาย ตัวเองเข้าไปในภูเขาสมบัติแต่กลับกลับมามือเปล่า ขอคำแนะนำการเป็นอมตะจากเทพเซียน คงจะดีกว่าการที่ตัวเองไปหยิบเอาหยกอวี้ไผมาเป็นพันเท่า?
ถอดหยกอวี้ไผออกมาจากคอแล้วยิ้มอย่างขมขื่น หากอวิ๋นเยี่ยไม่ใช้ลูกศิษย์ของเทพเซียนเขาคงจะมาเอาหยกอวี้ไผอันนี้ไปตั้งนานแล้ว แต่เขาแทบจะไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย น่าขำที่ตัวเองยังเอามันไปซ่อนไว้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าภาพที่สวยงามราวกับความฝันก็ไม่ยอมพูดออกมา ไม่รู้ว่าวันนั้นที่อวิ๋นเยี่ยมารักษาอาการป่วยให้ตัวเอง เขาดูถูกตัวเองเช่นไรบ้าง
“ท่านภิกษุ เท้าของข้าบาดเจ็บไปหมด เส้นทางที่เหลือคงจะต้องคลานไป ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย อย่าอยู่ที่นี่นาน รวบรวมความกล้า พวกเราต้องสู้ให้สุดชีวิต”
เฮ่อเทียนซังได้สติขึ้นมา เห็นลูกบอลหินลูกใหญ่ที่ขวางทางเดินอยู่ จากนั้นก็หันไปมองฉิวหรันเค่อที่กำลังเหม่อมองมาทางหัวของตัวเองด้วยความสับสน เขารู้ว่าฉิวหรันเค่อดึงตัวเขาออกมาจากหนามเหล็ก หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ครั้งนี้ช่างมันไปก็แล้วกัน อย่างมากครั้งหน้าหากเห็นเขาทำเรื่องไม่ดีค่อยจับเขาก็คงไม่สายเกินไป เมื่อเห็นว่าพระภิกษุจมปลักอยู่ในความสับสน เขาจึงปลุกเรียกสติให้ตื่น หากยังสับสนต่อไปเลือดอาจจะไหลออกจนหมดตัว
ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันพันแผลที่เท้า มองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองคนช่วยกันย้ายลูกบอลหินและคลานออกมา บนพื้นทิ้งรอยเลือดสองรอยเอาไว้…
ติงเหยี่ยนผิงยังคงยืดหยัดมีชีวิตอยู่ เขารู้ว่าสภาพตอนนี้ของตัวเองแย่มาก ไม่รู้ว่าแผ่นหลังมีแผลที่เลือดออกกี่แผลกันแน่ ขาซ้ายก็ผิดปกติ หอกเหล็กสองอันที่อยู่กับตัวเองมาหลายปีก็งอจนหมดสภาพ แต่หากไม่มีหอกเหล็กทั้งสองนี้เปลี่ยนทิศทางของลูกบอลหินเขาคงจะตายไปนานแล้ว
ลูกบอลหินลูกหนึ่งหลุดออกจากรางกลิ้งไปกระแทกกับกำแพง ทำให้กำแพงเป็นรูขนาดใหญ่ อวิ๋นเยี่ยยื่นหน้าออกมามองดูด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าติงเหยี่ยนผิงกำลังมองมาอยู่ เขาก็รีบหดหัวกลับไปทันที
หลังจากขว้างหอกเหล็กในมือทิ้ง ติงเหยี่ยนผิงก็คว้าหนามเหล็กที่เต็มไปด้วยเลือดบนกำแพงแล้วลุกขึ้นยืน หากจับอวิ๋นเยี่ยมาฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ไม่ได้ มันจะระบายความเคียดแค้นของข้าได้เช่นไร
เมื่อเห็นติงเหยี่ยนผิงที่ราวกับซอมบี้กระโดดเข้ามา หัวใจของอวิ๋นเยี่ยก็เต้นแรงขึ้นมาเพราะความตกใจ ชายเฒ่าเป็นถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ปล่อยเขาไปอีกหรือ จะเป็นศัตรูกับข้าให้ได้ใช่หรือไม่
มองดูมดที่ขยับอยู่ตลอดเวลาใต้เท้า ดูเหมือนพวกมันจะได้กลิ่นเลือด นี่คือการยั่วยวนที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับพวกมัน คงจะรู้สึกว่ามีอาหารมากมาย พวกมันแตะหนวดของกันและกัน จากนั้นกลุ่มหนึ่งก็มุดเข้าไปใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มก็เริ่มขยับหนวดหาว่าอาหารอยู่ที่ใด
อวิ๋นเยี่ยเปิดประตูกำแพงออก ยืนรอให้ติงเหยี่ยนผิงเข้ามาอยู่ที่หน้าประตู อย่างไรตัวเขาเองก็เป็นลูกผู้ชาย จะตกใจชายเฒ่าที่มีสภาพใกล้ตายได้อย่างไร
ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ ติงเหยี่ยนผิงยังไม่มา แต่หินตั๊กแตนกลับมาถึงก่อน มันมาพร้อมกับเสียงลมที่รุนแรง กระแทกเข้าไปที่เข่าทั้งสองข้างของอวิ๋นเยี่ยเต็มๆ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาสวมชุดเกราะอยู่ อวิ๋นเยี่ยสงสัยว่าเข่าของตัวเองคงหักเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
เขาล้มลงกับพื้น บริเวณใต้เข่าลงไปทั้งสองข้างราวกับไม่มีความรู้สึกอีก อวิ๋นเยี่ยตกใจ ไอ้สารเลวเฒ่านี่มันไม่ใช่คน ตอนนี้ยังมีเรี่ยวแรงขว้างหินตั๊กแตนออกมาอีก ตอนนี้เขาคงต้องรับกรรมแล้ว
โชคดีที่ติงเหยี่ยนผิงกระโดดออกมาช้าๆ อย่างยากลำบาก ในตอนนี้ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แค่ขยับก็เจ็บเจียนตาย เห็นว่าหินตั๊กแตนของตัวเองมีประโยชน์ เขาก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้งและกระโดดเข้ามาใกล้อวิ๋นเยี่ย เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะได้หยกอวี้ไผมาครอบครองหรือไม่ เขาก็จะฉีกอวิ๋นเยี่ยเป็นชิ้นๆ ให้ได้
ช่วยไม่ได้ที่อวิ๋นเยี่ยจะต้องลากขาที่ไร้ความรู้สึกสองข้างของตัวเองเข้าไปในป่า ยิ่งห่างจากชายเฒ่าคนนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของใคร สร้างบันไดไว้ที่นี่ตั้งเยอะแยะ ทุกครั้งที่ปีนขึ้นบันไดเข่าก็กระแทก เจ็บปวดเหลือเกิน
พึ่งจะปีนขึ้นไปได้ไม่ถึงสิบเมตร ติงเหยี่ยนผิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เขาไม่สนใจขาที่บิดเบี้ยวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้เลือดหยดลงตามบันได เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย กระโดดเข้ามาใกล้อวิ๋นเยี่ยขึ้นเรื่อยๆ แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีหินตั๊กแตนเหลือแล้ว ไม่เช่นนั้น เขาคงจะขว้างใส่แขนทั้งสองข้างของอวิ๋นเยี่ย หนูตัวน้อยที่น่ารังเกียจตัวนี้ก็คงจะหมดหนทางหนีเอาตัวรอด
เมื่อครู่ไม่ได้เก็บหินมาสักสองสามก้อนนับเป็นความผิดพลาด ตอนนี้ขยับทีหนึ่งก็ลำบากยากเย็น ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ตาม ติงเหยี่ยนผิงล้มเลิกความคิดเรื่องหินไป ยังคงเข้าไปหาอวิ๋นเยี่ยเรื่อยๆ ค่อยๆ มองสีหน้าที่ตกใจของอวิ๋นเยี่ย นี่คือความเพลิดเพลินอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา