บทที่ 435

ซ่งหรงวี่ไม่ค่อยเข้าใจในความเคารพที่คุณปู่มีต่อเย่เฉิน

คุณท่านซ่งนับถือเย่เฉินอย่างกับเทพเจ้า เหตุผลก็พอๆกับซือเทียนฉี พวกเขาทั้งสองล้วนแต่เป็นชายชรากันแล้ว ยิ่งอายุปูนนี้ก็ยิ่งรู้ชะตากรรมดี และก็ยิ่งกลัวชะตากรรม พูดง่ายๆก็คือกลัวตาย

แต่ว่า ปีนี้ซ่งหรงวี่ยังไม่ถึงสามสิบปีเลย ถ้าพูดกับเขาแล้ว มีใครมาทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกห้าปี เขาคงจะดูถูกดูแคลนอย่างมาก แต่สำหรับคนแก่อายุเยอะแล้ว ถ้ามีใครมาทำให้มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกห้าปี นั่นก็คือพระเจ้าที่แท้จริงในสายตาของเขา เปรียบกับพระพุทธเจ้ายังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่

ซ่งหวั่นถิงเข้าใจความคิดของคุณปู่ไม่มากก็น้อย ถึงอย่างไรตัวเองก็ต่างกับซ่งหรงวี่ ตัวเองก็มียาวิเศษที่เย่เฉินมอบให้ ยาเม็ดนั้นตัวเองเก็บซ่อนไว้ในรถมาโดยตลอด นอกจากตัวเองและเย่เฉินแล้ว ก็ไม่มีใครรู้

มียาเม็ดนั้นอยู่ ซ่งหวั่นถิงยิ่งรู้สึกอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเธอรู้ว่า ถ้าตัวเองเจอเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิด ขอเพียงแค่มียาเม็ดนั้นอยู่ในมือ ตัวเองก็จะมีโอกาสผ่านวิกฤต เอาชีวิตรอดได้

โอกาสแบบนี้ เพียงแค่พูดให้คนอื่นฟัง ใครๆต่างก็ไม่ได้รู้สึกว่ายอดเยี่ยมอะไร นั้นเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ โอกาสแบบนี้ไม่มีทางที่จะมาเกี่ยวข้องกับตัวเอง

ซ่งหรงวี่ก็เหมือนกัน

เขารู้ว่ายาวิเศษของเย่เฉินมีค่าอย่างมาก ถ้าตัวเองได้มาสักเม็ด ก็คงเอามาใช้ประจบคุณท่านได้ เพื่อให้คุณท่านเห็นตัวเองอยู่ในสายตาบ้าง ไม่แน่ในอนาคตตัวเองอาจจะได้สืบทอดทรัพย์สมบัติมากยิ่งขึ้นจากตระกูลซ่ง เขาไม่มีทางเหมือนกับซ่งหวั่นถิง เก็บยาไว้ที่ตัวเอง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซ่งหวั่นถิงอกตัญญูต่อคุณท่านนะ บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกว่า ยาเม็ดนี้ แสดงถึงความห่วงใยที่เย่เฉินมีต่อตัวเอง

เย่เฉินต้องอยากให้ตัวเองเก็บยาเม็ดนั้นไว้กับตัว ดังนั้น ในใจลึกๆของเธอ ไม่อยากทำให้เย่เฉินผิดหวังกับตัวเอง ยิ่งไม่อยากใช้สิ่งของที่เย่เฉินมอบให้ตัวเอง เพื่อให้ได้รับคำชมจากคุณปู่

ในเวลานี้ จู่ๆคุณท่านซ่งก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พูดคุย : “จริงสิ หรงวี่ ซ่งหวั่นถิง เดี๋ยวถ้าพวกแกสองคนกินข้าวเสร็จแล้วไม่มีธุระต่อละก็ ไปโรงพยาบาลโรคจิตชิงซานกันหน่อยนะ”

“โรงพยาบาลโรคจิตชิงซาน?!”ซ่งหรงวี่ถามด้วยความประหลาดใจ : “คุณปู่ ให้เราไปที่นั่นทำไม?มีเรื่องอะไรเหรอ?”

คุณท่านซ่งพูดว่า : “ลูกหลานของตระกูลอู๋แห่งซูหางมาที่จินหลิง ได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกหลานของคนในตระกูลนิดหน่อย ดังนั้นจึงต้องรีบไปดู”

พูดแล้ว คุณท่านซ่งก็พูดอีกว่า : “คนที่มาคืออู๋ตงไห่ลูกชายคนโตของตระกูลอู๋ รุ่นเดียวกับพ่อของแก แต่ว่าตอนนี้พ่อของแกไม่ได้อยู่ที่จินหลิงแล้ว ฉันในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส จะไปก็ไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงให้แกกับหวั่นถิงไปเยี่ยมหน่อย ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของเราทั้งสองตระกูลก็ดีกันมาโดยตลอด”

ซ่งหรงวี่พยักหน้า คิดได้ทันที พูดว่า : “ผมนึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เด็กที่มีอาการป่วยทางจิตหยิบขี้กินไปทุกที่ในติ๊กต๊อก เหมือนว่าจะเป็นลูกหลานของคนตระกูลอู๋นะ?”

“ไอ้หยาพี่……”ซ่งหวั่นถิงวางตะเกียบลง พูดอย่างจนใจ : “กินข้าวอยู่นะ ทำไมพี่ต้องพูดถึงเรื่องที่น่าขยะแขยงนั้นด้วย……”

ซ่งหรงวี่ยิ้มแหะๆ พูดว่า : “ขอโทษๆ ปากไวไปหน่อย”

คุณท่านซ่งก็เคยดูคลิปวิดีโอนั่น ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนเป็นขยะแขยงขึ้นมาทันที พร้อมกับวางตะเกียบลง พูดว่า : “ได้ยินมาว่าลูกหลานของคนในตระกูลอู๋ สองวันมานี้อยู่ที่โรงพยาบาลโรคจิตชิงซานมาโดยตลอด ดังนั้นพวกแกก็ไปทักทายปราศรัยหน่อย หลักๆก็ทักทายกับอู๋ตงไห่ บอกเขาว่าพ่อของแกไม่ได้อยู่จินหลิง จึงมาเยี่ยมไม่ได้ อย่าให้เขาถือโทษอะไรเลย แล้วถือโอกาสถามไถ่ถึงท่านปู่อู๋ของพวกเขาแทนฉันด้วย”

“ได้ครับคุณปู่”ซ่งหรงวี่รีบพยักหน้าทันที

ตระกูลอู๋แห่งซูหาง เป็นครอบครัวอันดับแรกในเจียงหนาน มีอำนาจมากกว่าตระกูลซ่งแล้ว ตระกูลซ่งติดห้าอันดับแรกในเจียงหนาน แต่ไม่ติดสามอันดับแรก

ตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ การไปมาหาสู่และติดต่อกันค่อนข้างที่จะสนิทสนมกันมาก ปกติแล้วเวลาใครมาถิ่นของตัวเอง เจ้าถิ่นจะต้องต้อนรับอย่างเต็มที่ แสดงความจริงใจ

————