ตอนที่ 466 ซื่อมั่วผู้ตามใจศิษย์

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เรื่องที่ซื่อมัวตามใจศิษย์อยู่เสมอนั้น เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ปรมาจารย์นักพรตของโลกปัจจุบันอยู่แล้ว

 

 

ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีขีดจำกัด โปรดปรานจนขึ้นฟ้าขึ้นสวรรค์ ต้องการสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น

 

 

แม้แต่บิดาแท้ๆก็ยังไม่เอาอกเอาใจบุตรสาวมังกรเช่นนี้!

 

 

ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ขอเพียงเป็นความปรารถนาของศิษย์ ก็ยินดีจะทำให้โดยไม่คำนึงถึงผลใดๆที่จะเกิดขึ้นทั้งนั้น

 

 

อย่างเช่น…..ตอนนี้นางไม่ต้องการให้จีเฉวียนตาย เช่นนั้นเขาก็จะทำให้มนุษย์ผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป

 

 

เนื่องเพราะ….นี่คือสิ่งที่ศิษย์ต้องการ

 

 

เขาตบลงไปบนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลันเบาๆ ทันใดนั้นบนร่างของนางก็ปรากฏประกายแสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นมา

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เงาร่างนั้นก็หายวับไปในชั่วพริบตา

 

 

ความรวดเร็วระดับนั้น แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกริยาใดๆ

 

 

นางกุมดาบยักษ์คิดจะไล่ตามไป ก็พลันได้ยินเสียงดังอึกทึกครึกโครมระเบิดออกมาจากภูเขาไร้สิ้นสุด!

 

 

พลังที่รุนแรงอย่างที่สุดขุมหนึ่งระเบิดออกมาจากก้นทะเลลึก แรงระเบิดนั้นยังมากกว่าพลังของระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก

 

 

ทันใดนั้นทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของนางล้วนสูญสลายไปจนหมดสิ้น!

 

 

ในแก้วหูมีแต่เสียงระเบิดดังกึกก้องจนชั่วขณะนั้นสมองไม่อาจรับรู้เสียงอื่นใดได้อีก นางยืนอยู่บนศีรษะของจู๋จู๋ แรงระเบิดนั้นสะท้อนออกมาจนม้วนใส่นางและจู๋จู๋ไปพร้อมๆกัน

 

 

ดาบยักษ์แปลงเป็นมังกรสีเงินยวงขนาดใหญ่ในชั่วพริบตาโอบอุ้มนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว

 

 

ในขณะเดียวกันแสงสีม่วงบนร่างก็ปกป้องนางเอาไว้อย่างดี …..ไม่ปล่อยให้นางได้รับบาดเจ็บจากเศษชิ้นส่วนของการระเบิดแม้แต่น้อย

 

 

นางลืมตาขึ้นมา ก็เห็นมังกรยักษ์ตัวนั้นถูกแรงระเบิดกระแทกเสียจนแตกสลาย

 

 

พลังที่ระเบิดออกมานั้น….มีกลิ่นอายของท่านอาจารย์อยู่ด้วย!

 

 

ประกายแสงสีม่วงระยิบระยับไปทั่วทั้งก้นทะเลลึก

 

 

จากนั้นประกายแสงสีม่วงนั้นก็กลายเป็นตาข่ายผืนหนึ่งครอบคลุมลงบนภูเขาไร้สิ้นสุด ตาข่ายฟ้าผืนนั้นจับอสุรกายโลกันตร์ตัวนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

 

จากนั้นดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็เห็นแต่ความมืดมิด

 

 

ท่ามกลางความมืดนั้นนางรู้สึกเหมือนกับว่าได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย……

 

 

ทั่วทั้งร่างของเขามีแต่บาดแผลฉีกขาด บนบาดแผลมีแต่ลาวาเต็มไปหมด

 

 

ดวงพักตร์ที่งามล้ำนั้นแตกสลายลงไปเหมือนดังกระจกที่แตกร้าว…..ลงตรงหน้าของนาง

 

 

…………………….

 

 

บนสวรรค์ชั้นฟ้า เหล่าทวยเทพต่างพากันตื่นตัว

 

 

เขตหวงห้ามที่ถูกกางกั้นเอาไว้ที่ก้นทะเลลึกตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อน….ถูกทำลายลงไปแล้ว?

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด…..พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของคนผู้นั้น!

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ บุรุษที่หกภพภูมิต่างก็พยายามเสาะหาตัว….เขาปรากฏตัวขึ้นที่ก้นทะเลลึก?

 

 

พอปรากฏตัวขึ้นมาก็ทำลายผนึกที่พวกเขากักขังเผ่ามังกรทมิฬไป?

 

 

เหล่าเทพต่างพากันตกตะลึง

 

 

……………………….

 

 

บนภูเขาฝูซางเขตเมืองกู่เย่ว …..ฉู่เจียงที่กำลังมองดูเหลียงเซิงเซิงทะเลาะกับสุนัขอย่างใจลอยก็ต้องตกตะลึงขึ้นมา

 

 

เขาขยับตัววูบเดียวก็ขึ้นไปจนถึงบนยอดเขา ยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของภูเขา มองไปยังทิศทางของก้นทะเลลึก

 

 

เป็นเขา …..เป็นเขานั่นเอง!

 

 

เขาเคยนึกว่า คนผู้นั้นตายไปแล้ว!

 

 

เมื่อเขายังไม่ตาย เผ่าหมิง….ก็ยังไม่ดับสูญ!

 

 

“ฉู่เจียง…..ท่าทางยามยินดีของท่านดูเหมือนกับตอนที่ฆ่าคนดื่มเลือด…..ข้ากลัว……” เหลียงเซิงเซิงมือหนึ่งอุ้มลูกสุนัขตัวน้อยที่มีขนปุกปุยเอาไว้ยืนตัวสั่นอยู่ใต้ต้นไม้

 

 

ทุกๆเดือนยามที่พระจันทร์เต็มดวง ฉู่เจียงเป็นต้องจับผู้คนมาจำนวนหนึ่งมาฆ่าและดื่มเลือด…..ตอนนั้นเขาก็จะแสดงอารมรณ์เช่นนี้

 

 

“ไม่ต้องกลัว…..” ฉู่เจียงเหาะลงมา ในดวงตายังมีประกายยินดีอย่างปิดไม่มิด “บางทีอีกเพียงไม่นาน…..ข้าอาจจะไม่ต้องถูกกักให้เฝ้าอยู่ที่ภูเขานี้อีกแล้ว….เขากลับมาแล้ว…..”

 

 

เขาอุ้มนางขึ้นมา จับหมุนอย่างยินดีอยู่หลายรอบ “เขากลับมาแล้ว ข้าก็จะมีอิสระแล้ว!”

 

 

เหลียงเซิงซิงไม่ค่อยเข้าใจ นางได้แต่ยิ้มอย่างว่าง่าย “หากท่านเป็นอิสระแล้ว ยังจะต้องการข้าอีกหรือไม่?”

 

 

ฉู่เจียง “ในเมื่อเจ้าน่าสนใจขนาดนี้ ย่อมต้องการอยู่แล้ว”

 

 

……………….

 

 

ที่แคว้นเหยียน จู่จู่ศีรษะของตู๋กูจุนก็ปวดร้าว

 

 

เพียงครู่เดียวในสมองของเขาก็ปรากฏภาพขึ้นมามากมาย มีทั้งที่รู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย

 

 

ในภานนั้น เขากุมดาบยักษ์เอาไว้ ต่อสู้กับวิญญาณเหล่าเทพและปีศาจนับพันนับหมื่น

 

 

เพื่อจะปกป้องคนที่อยู่ด้านหลังผู้หนึ่ง……

 

 

แต่ว่าเขาก็ไม่อาจมองคนด้านหลังได้อย่างชัดเจน

 

 

ใครบางคนร้องเรียกเขาว่า….ซือหนาน ซือหนาน

 

 

ซือหนานคือผู้ใดกัน?

 

 

ขณะที่เขาคิดว่าจะร้องถาม ภาพนั้นก็พลันเลือนหายไป……

 

 

ที่เบื้องหน้าของเขา มีหยวนเฟย และองค์หญิงใหญ่

 

 

ทั้งสองมาหาเขาที่แคว้นเหยียนตั้งแต่หลายวันก่อน…..

 

 

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับราชบุตรเขย……จีฉุนได้รู้แล้ว

 

 

นางจึงได้เดินทางมาที่นี่เพื่อจะมาขอโทษเขาโดยเฉพาะ

 

 

ส่วนหยวนเฟยนั้น…..วังหลังของแคว้นต้าโจวถูกจีเฉวียนยืมชื่อของ ‘ฉางซุนอิง’ มาจัดการจนแตกสานซ่านกระเซ็นไปหมดแล้ว ตอนนี้นางจึงกลายเป็นอิสระแล้ว

 

 

นางไม่ใช่หยวนเฟยแห่งต้าโจว นางกลับไปเป็นหยวนเมิ่งอีกครั้ง หยวนเมิ่งผู้มีอิสระเสรี

 

 

ทั้งสองพบกันระหว่างทางโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงมาที่แคว้นเหยียนด้วยกัน

 

 

ยามที่….หยวนเมิ่งประคองถ้วยน้ำแกงเบญจพิษสูตรพิเศษของหนานเจียงเข้ามา ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยนั่งกุมศีรษะอยู่บนเก้าอี้ ส่งเสียงเรียก ‘ซือหนาน’ อยู่ตลอดเวลา

 

 

“ท่านแม่ทัพ” หยวนเมิ่งรีบวางถ้วยน้ำแกงเบญจพิษในมือลงอย่างรวดเร็ว ซอยเท้าน้อยๆเข้ามาที่ตรงหน้าเขา ยื่นมือออกไปกุมมือของเขาเอาไว้

 

 

องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นางวางจานขนมในมือลงเบาๆ คนก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

“ข้าคือใคร? ซือหนานคือใครกัน?” ภาพและความทรงจำที่สับสนวุ่นวาย ทำให้ตู๋กูเจวี๋ยมึนงงไปหมด

 

 

เขาพลิกมือไปกุมมือของหยวนเมิ่งเอาไว้ “ฆ่าพวกมัน…..อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ”

 

 

หยวนเมิ่งเห็นเขาไม่ได้สติ ก็รีบโอบกอดเขาเอาไว้ “ช่วงนี้ท่านรับความกดดันมากไปแล้วหรือไม่?……ฮ่องเต้เฒ่าแคว้นฉินนั่นตายไปแล้ว พระอนุชาเจ็ดอิ๋งฉีผู้นั้นก็เป็นฝ่ายขอมาภักดีต่อไทเฮาน้อย….ท่านไม่จำเป็นต้องกดดันตนเองเช่นนี้อีกแล้ว”

 

 

ใช้แล้ว…..ใครๆก็คิดไม่ถึงว่า แคว้นฉินที่เป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ของแผ่นดินนี้จะเป็นฝ่ายยอมถวายความภักดีต่อตู๋กูซิงหลัน

 

 

ทั้งๆที่….ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ทันได้คิดจะไปโจมตีแคว้นฉินเลยสักหน่อย

 

 

ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว

 

 

อิ๋งฉีหรือจะกล้าไม่ยอมศิโรราบ….ตลอดหลายปีมานี้ จีเฉวียนส่งไส้ศึกไปยังแคว้นฉีเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จนทำให้พวกเขาแทบจะล่มสลายจากภายในมานานแล้ว

 

 

ช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่หากมองจากภายนอกแคว้นต้าโจวกำลังอยู่ในความวุ่นวาย…..แต่ว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชาย่อมทรงวางแผนจะจัดการกับแคว้นฉินเอาไว้แต่แรกแล้ว

 

 

กองทัพหลายสิบหมื่นกดดันอยู่ที่ชายแดนของแคว้นทั้งสอง

 

 

ลองดูจุดจบของแคว้นเหยียนสิ…..ประชากรล้มตายไปเก้าส่วน

 

 

อิ๋งฉีเดิมทีก็เป็นคนรักอิสระอยู่แล้ว พอฮ่องเต้ผู้ชราสิ้นพระชนม์ไป เขาก็หมดกำลังใจจะยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น จีเฉวียนเป็นคนเช่นไร เขาก็รู้จักดีอยู่แล้ว……

 

 

หากยิ่งต่อต้านเขาก็จะยิ่งโหดเ**้ยม….เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แคว้นฉินต้องกลายเป็นสถานที่ที่รกร้างเหลือแต่วิญญาณ มิสู้เขาเป็นฝ่ายยอมศิโรราบไปก่อนจะดีกว่า

 

 

แต่ก็คิดไม่ถึงว่า จีเฉวียนกลับต้องการให้เขายอมสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน

 

 

สตรีที่เขาวางเอาไว้ในตำแหน่งสูงสุดของหัวใจ

 

 

แคว้นเหยียนที่โจมตีมาได้อย่างยากลำบาก กลับถูกตู๋กูซิงหลันช่วงชิงไปอย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็ยังให้กองทัพมากดดันเขาให้ยอมถวายความภักดีต่อนาง

 

 

คนผู้นี้…..มีใจรักลึกซึ้งถึงขนาดที่ว่าแม้แต่หัวใจก็พร้อมที่จะควักออกมาให้นางจนหมดสิ้น

 

 

ความรักที่จีเฉวียนมีต่อตู๋กูซิงหลัน….เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นบุรุษคนใดทำได้ถึงเพียงนี้มาก่อน

 

 

ศิโรราบก็ศิโรราบเถอะ….ยกถวายให้ทั้งหมดไปเลย

 

 

ไม่ว่าจะเป็นจีเฉวียนหรือว่าตู๋กูซิงหลัน….ต่างก็มิใช่ผู้นำที่ชอบสูบชีวิตดื่มโลหิตประชาชนไปเสวยสุข

 

 

การที่แผ่นดินนี้จะถูกพวกเขาครอบครอง เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

 

 

ในที่สุดแผ่นดินที่แตกแยกมานานก็จะได้ถูกรวมเข้าด้วยกัน….ดินแดนที่มีแต่การรบพุ่งมาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดก็รวมเป็นหนึ่งเดียวเสียที

 

 

เรื่องนี้ อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็เป็นได้