หลังจากเห็นว่าวงเวทย์ป้องกันของเมืองถูกเปิดใช้งานเรียบร้อย อควาโรสก็ได้เปิดใช้งานแหวนแห่งกอสเปลที่ซือเฟิงส่งมาให้เธอ ในระหว่างการสำรวจ และบุกโจมตีซากปรักหักพังโบราณต่างๆ พวกเขาได้อัพเกรดแหวนแห่งกอสเปลให้กลายเป็นไอเทมระดับตำนานได้แล้ว ตอนนี้แหวนจึงสามารถสร้างโลกจิ๋วที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ และเอฟเฟคในการปราบปรามของมันนั้นก็ด้อยกว่ากระจกแห่งโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แม้ว่าการเปิดใช้งานโลกจิ๋วในตอนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเป็นหินมานาห้าพันก้อน แทนที่จะเป็นคริสตัลเวทย์มนต์แค่ห้าพันชิ้น แต่ระยะเวลาของสกิลมันก็ได้เพิ่มขึ้นจากสิบนาทีเป็นสามสิบนาที แล้วก็ระยะของสกิลก็ขยายไปถึงห้าหมื่นหลา ซึ่งมันทำให้แม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังไม่สามารถจะใช้ประโยชน์จากมานาภายในพื้นที่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นหกยังจะถูกลดค่าสถานะพื้นฐาน และร่างกายทางกายภาพลงไปสามสิบเปอเซ็นต์ ในขณะที่ศัตรูขั้นหกจะถูกลดค่าสถานะพื้นฐาน และร่างกายทางกายภาพลงไปสิบห้าเปอเซ็นต์
หลังจากที่โลกจิ๋วถูกเปิดใช้งาน พวกขั้นสามจากโลกอื่นทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้าโจมตีเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ก็ได้ล้มลงเหมือนกับโดมิโน การเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นช้าเหมือนเต่าซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่สามารถจะต่อสู้ได้เลย สำหรับพวกขั้นสี่ แม้ว่าพวกเขาจะยังคงมีพลังในการต่อสู้เหลือระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถบินได้อีกต่อไป

แต่น่าเสียดายที่ผลของโลกจิ๋วต่อจอมเขมือบโลกนั้นมีน้อยมากๆ โดยโลกจิ๋วทำให้จอมเขมือบโลกสูญเสียค่าสถานะพื้นฐานกับร่างกายทางกายภาพไปแค่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น

ถึงกระนั้นการได้เห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้มันก็ยังทำให้ผู้เล่นในเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเมื่อสกิลโลกจิ๋วช่วยปราบปรามพวกขั้นสาม และขั้นสี่จากโลกอื่นไว้แบบนี้ มันก็จะทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การจัดการจอมเขมือบโลก พวกขั้นห้า เรือเหาะ และอะเม้าท์บินได้จากโลกอื่นทั้งหมดนี้ได้ ….

“อาณาจักรศักสิทธิ์ !!!”

อย่างไรก็ตามมหาอำนาจต่างๆจากโลกอื่นนั้นได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว และทันใดนั้นผู้เล่นขั้นสี่สายเวทย์จำนวนหนึ่งพันคนก็ได้รวมตัวกันสร้างบาเรียขนาดใหญ่สามชั้นขึ้นมาเพื่อต่อต้านเอฟเฟคของโลกจิ๋ว

แม้ว่าบาเรียนี้จะไม่ได้ทำให้ผลของโลกจิ๋วนั้นหมดไปเลย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาสามารถใช้มานาภายในพื้นที่ได้ และคงเหลือผลของโลกจิ๋วแค่เพียงดีบัฟลดค่าสถานะกับร่างกายทางกายภาพเท่านั้น

ช่วงเวลาต่อมาพวกขั้นสี่นับแสนคน และพวกขั้นสามหลายล้านคนก็ได้พุ่งตรงมายังเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์อีกครั้ง

ขณะเดียวกันบนท้องฟ้านั้นจอมเขมือบโลกก็ได้เริ่มการโจมตีวงเวทย์ป้องกันของเมืองด้วยกรงเล็บขนาดยักษ์ของมัน

“โจมตีด้วยทุกสิ่งที่คุณมี !! หยุดกรงเล็บนั่นให้ได้ !!!”

เมื่อเห็นกรงเล็บใกล้เข้ามา ไฟเออร์แดนซ์จึงได้จัดการออกคำสั่งให้ป้อมปราการเคลื่อนที่ กับเรือเหาะชางเล่ยทั้งหมดเริ่มการตอบโต้ และป้องกันตัวเองทันที

ลำแสงแห่งการทำลายล้างนั้นได้พุ่งเข้าใส่กรงเล็บของจอมเขมือบโลก ในขณะเดียวกันหอคอยเวทย์เอลฟ์ และปืนใหญ่เวทย์มนต์ทั้งหมดของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ก็ได้ถูกยิงถล่มเข้าใส่จอมเขมือบโลก

การโจมตีระลอกนี้นั้นทำให้ท้องฟ้าทั่วบริเวณแยกออกจนเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าเลย แต่น่าเสียดายที่มันส่งผลต่อจอมเขมือบโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และท้ายที่สุดแล้วจอมเขมือบโลกก็ยังคงโจมตีวงเวทย์ป้องกันของเมืองต่อไปได้ ….

หลังจากนั้นไม่นานวงเวทย์ป้องกันของเมืองก็เริ่มแตกออก ….

“จอมเขมือบโลกจงเจริญ !! มันถึงเวลาแล้วที่ชาวพื้นเมืองพวกนี้จะต้องถูกส่งไปนรก !!!”

เมื่อผู้เล่นจากโลกอื่นเห็นวงเวทย์ป้องกันของเมืองแตกออกเป็นเสี่ยงๆจากการปะทะกันแค่ไม่นาน พวกเขาก็ส่งเสียงหัวเราะกันออกมา เดิมทีพวกเขาคิดว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะจบลงด้วยการเป็นการต่อสู้แบบด้านเดียวโดยสิ้นเชิง และถึงแม้พวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย แต่ NPC กับจอมเขมือบโลกก็จะสามารถทำลายเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ลงได้อย่างง่ายดายแน่นอน

ในขณะเดียวกันตอนนี้ผู้เล่นในเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์นั้นต่างก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังมากๆ ….

พวกเขาจะต่อสู้กับกองทัพจากโลกอื่นได้ยังไง ในเมื่อกองทัพจากโลกอื่นมีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วย ?

“ไม่มีทางอื่นแล้ว เดี๋ยวอควา กับฉันจะไปจัดการตรึงจอมเขมือบโลกเอาไว้ให้ ส่วนคนอื่นๆให้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ผู้บุกรุกเหล่านี้เข้ามาในเมืองแล้วกัน !!!” เสวี่ยเหวินโหรวกล่าว ขณะที่เธอมองไปยัง NPC ขั้นห้าหลายคนที่พยายามเข้าขัดขวางจอมเขมือบโลกอยู่ “ตราบใดที่เรายังสามารถยืนหยัดและรักษาที่มั่น รวมไปถึงวงเวทย์หลักเอาไว้ได้ ผู้เชี่ยวชาญ และ NPC จำนวนมากของ God domain ก็จะเดินทางมาสนับสนุนเราแน่นอน !!!”

พวกผู้บริหารระดับสูงของหลายกิลต่างพยักหน้าตอบรับคำสั่งของเสวี่ยเหวินโหรว และรีบเคลื่อนไหวกันทันที พวกเขาทั้งหมดนั้นได้เตรียมการที่จะใช้ไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาเพื่อต่อกรกับกองทัพจากโลกอื่น เพราะแม้ว่าจอมเขมือบโลกจะทรงพลัง แต่ชัยชนะมันก็ยังไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมซะทีเดียวสำหรับพวกเขา ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญหลายคนของทวีปหลักของ God domain ยังมาไม่ถึงเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์เลย ดังนั้นยิ่งพวกเขาลากการต่อสู้ออกไปได้นานเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเขาจะได้รับชัยชนะมันก็จะยิ่งมีสูงขึ้นเท่านั้น

ต่อจากนั้นเสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรสก็ได้บินเข้าไปหาจอมเขมือบโลก

และเมื่อสามารถเข้าถึงระยะการโจมตีได้ เสวี่ยเหวินโหรวก็ได้เหวี่ยงดาบใหญ่ของเธอออกไป และใช้เทคนิคมานาของเธออย่าง Spatial Cleave ทันที ซึ่งนี่มันก็ได้ช่วยเบี่ยงเบนการโจมตีจากกรงเล็บของจอมเขมือบโลกออกไป

ขณะที่อควาโรสนั้นก็ได้โบกคทาของเธอ และจัดการอัญเชิญงูยักษ์น้ำจำนวนมากออกมา จากนั้นเธอก็ได้ให้งูยักษ์น้ำพวกนี้พุ่งตรงไปช่วยจัดการกับกรงเล็บของจอมเขมือบโลกอีกแรง เพื่อป้องกันไม่ให้มันสามารถโจมตีเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ต่อได้

“นี่พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดรึไงกัน ?” ผู้เล่นจากโลกอื่นอ้าปากค้าง เมื่อพวกเขาได้เห็นเสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรสสามารถรับมือกับจอมเขมือบโลกได้

แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าจากโลกอื่นก็ยังประหลาดใจกับสถานการณ์นี้ การโจมตีด้วยกรงเล็บของจอมเขมือบโลกนั้นมันมีพลังอยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นหก และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าที่ใช้อาวุธระดับตำนานก็จะยังสามารถป้องกันการโจมตีของมันได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามเสวี่ยเหวินโหรว กับอควาโรสนั้นไม่ได้ใช้อาวุธเลย พวกเขาหยุดกรงเล็บของจอมเขมือบโลกด้วยเทคนิคมานา และเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขาเท่านั้น

และช่วงเวลาหนึ่งในตอนนี้นั้น เสวี่ยเหวินโหรว อควาโรส กับจอมเขมือบโลกก็ได้กลายเป็นเหมือนศูนย์กลางของท้องฟ้าอย่างแท้จริง

แม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังไม่กล้าจะเข้าใกล้สองคน และหนึ่งตัวนี้เลย เพราะแม้แต่คลื่นกระแทกของการปะทะกันนั้นมันก็สามารถจะฆ่าผู้เล่นขั้นห้าทั่วไปได้ ขณะเดียวกันนอกเหนือจากพวกขั้นห้าแล้ว มันก็ไม่มีใครที่กล้าจะบินขึ้นมาต่อสู้กันบนท้องฟ้าเลย เนื่องจากพวกเขาได้เห็นชัดเจนแล้วว่าผู้เล่นขั้นสี่ที่พยายามจะบินขึ้นไปนั้นได้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

ดังนั้นในตอนนี้ผู้เล่นขั้นสี่จึงสามารถต่อสู้ได้แค่บนพื้นดินแบบผู้เล่นขั้นสามเท่านั้น เพราะขณะนี้มันมีพวกขั้นห้ามากกว่าเจ็ดร้อยคนต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้า แต่เดิมพวกขั้นห้าของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์นั้นน่าจะอ่อนแอกว่าเนื่องจากข้อแตกต่างด้านจำนวน กระนั้นตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายนั้นต่อสู้กันอย่างเท่าเทียม โดยสิ่งนี้มันก็ทำให้พวกขั้นห้าจากโลกอื่นนั้นรู้สึกสับสนมากๆ

“บัดซบ !!! ทำไมชาวพื้นเมืองเหล่านี้ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ?!!” ซี่หยวนพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังจี้ลั่วหรงที่กำลังต่อสู้กับเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ไม่เพียงแต่จี้ลั่วหรงจะต่อสู้กับ NPC ขั้นห้าสองคนพร้อมกันได้ แต่เธอยังสามารถตรึงเขาไว้ได้ด้วยในขณะที่ทำแบบนั้น โดยระดับของสกิล เวทย์ รวมไปถึงเทคนิคที่เธอแสดงออกมานั้นมันเห็นชัดเจนเลยว่าเธอมีความเข้าใจเกี่ยวกับมานาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจี้ลั่วหรงก็ยังไม่ใช่คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้

โดยคนที่โดดเด่นที่สุดนั้นก็คือ ไวโอเล็ตคลาดว์ เด็กสาวจากสภาสิบแปดปีกที่เขาเคยคิดว่าเธอนั้นคุณสมบัติมากพอในการจะเข้าร่วมกับร้อยผีโดดเดี่ยว เธอนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

จากสิ่งที่เขาได้เห็น เขาสามารถบอกได้เลยว่าไวโอเล็ตคลาวด์นั้นอยู่ในขอบเขตโดเมนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเธอกับสามารถรับมือกับ NPC ขั้นห้ามากกว่าหนึ่งโหลได้ด้วยตัวเอง และหากไม่ใช่เพราะจูเฟิงหยิงที่ถืออาวุธระดับตำนานอยู่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ NPC ขั้นห้าพวกนี้ก็คงจะตายไปหนึ่ง หรือสองคนแล้วแน่นอน

สำหรับไฟเออร์แดนซ์ และฟางฉีหาน หญิงสาวทั้งสองคนนี้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นยมทูตเลย ขณะที่พวกเขาทั้งสองโจมตีประสานกันตัดผ่านสนามรบ พวกเขาทั้งสองสามารถจะฆ่า NPC ขั้นห้าได้ในห้าการเคลื่อนไหว และสามารถจะฆ่าผู้เล่นขั้นห้าได้ในสามการเคลื่อนไหว

เมื่อเวลาผ่านไปพวกขั้นห้าของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ก็เริ่มจะขึ้นมาเหนือกว่ามากขึ้นเรื่อยๆในการต่อสู้

“ผู้อาวุโสจูเฟิงหยิง เราเสียผู้เล่นขั้นห้าไปมากกว่าสองโหลแล้ว !!! เราจะเสียเปรียบอย่างร้ายแรง หากสถานการณ์แบบนี้ยังคงดำเนินต่อไป !!!” หญิงสาวผมสั้นข้างจูเฟิงหยิงที่พึ่งผลัก NPC ขั้นห้าคนหนึ่งของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ออกไปด้วยขวานของเธอกล่าวกับจูเฟิงหยิงด้วยความกังวล เมื่อเธอเห็นไฟเออร์แดนซ์ และ ฟางฉีหานไล่ฆ่าผู้เล่นขั้นห้าคนอื่นๆของพวกเขาอย่างเมามัน

ในตอนนี้มันไม่มีใครสามารถจะหยุดไฟเออร์แดนซ์ กับฟางฉีหานแห่งสภาสิบแปดปีกได้เลย และแต่เดิมฝ่ายพวกเขาที่ตอนแรกเริ่มต่อสู้ด้วยผู้เล่นขั้นห้ามากกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคนนั้นก็ได้สูญเสียไปมากกว่าสิบเปอเซ็นต์แล้วในเวลาไม่กี่นาที

ในการเปรียบเทียบอีกฝ่ายนั้นสูญเสียผู้เล่นขั้นห้าได้แค่ราวหนึ่งโหลเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นขั้นห้าที่ตายลงยังสามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้งได้อย่างรวดเร็วด้วย และผู้เล่นขั้นห้าพวกนี้ก็ได้เตรียมอุปกรณ์ทดแทนไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงแทบจะไม่อ่อนแอลงเลยเมื่อกลับมาเข้าร่วมการต่อสู้ ซึ่งจูเฟิงหยิงที่รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้เช่นกันก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าสภาสิบแปดปีกจะมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ นอกเหนือจากเสวี่ยเหวิน
โหรวกับอควาโรสแล้ว ในปัจจุบันผู้เล่นขั้นห้าคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกนั้นก็มีพลังมากพอๆกับผู้เล่นขั้นห้าทั้งเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์รวมกันเลย

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่จูเฟิงหยิงกำลังจะออกคำสั่งให้ทุกล่าถอยนั้น รอยแยกมิติก็ได้ปรากฎขึ้นในระยะที่ไม่ห่างจากเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์มากนัก และหลังจากนั้นมันก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่มีลวดลายศักสิทธิ์สีม่วงเข้มบนใบหน้าเดินออกมาจากรอยแยกมิตินี้ ขณะเดียวกันชายหนุ่มผู้นี้ก็มีเทพีตกสวรรค์ขั้นสูงติดตามเขามาด้วย โดยเทพีผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซี่หลู่เอ๋อ และด้วยการมาถึงของทั้งสองคนนี้ทั่วทั้งเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์นั้นก็เงียบลงไปทันที และแม้แต่พวกขั้นห้าที่ต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้าก็หยุดชะงักไป ซึ่งมันเป็นเพราะการปรากฎตัวของชายหนุ่มผู้นี้นั้นน่ากลัวมากๆ

การปรากฎตัวของชายหนุ่มผู้นี้คล้ายกับแสงอาทิตย์ในเวลาเที่ยงวัน ออร่าที่เขาเปล่งออกมาในขณะที่เขายืนอยู่นั้นได้สร้างแรงกดดันให้กับทุกคนอย่างหนัก ซึ่งแม้แต่ NPC ขั้นห้าบางคนก็ยังทนไม่ได้เลย

“ขยะเยอะจริงๆ !!! นี่คุณยังจัดการกับมดพวกนี้ไม่เสร็จอีกงั้นหรอ ?!!” ชายหนุ่มนักวิชาการกล่าวออกมาด้วยความโกรธ ขณะที่เขามองไปยังผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่น
“ท่านลอร์ด บุคคลผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์เหล่านี้แข็งแกร่งกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก และแม้แต่จอมเขมือบโลกก็ยังไม่สามารถจะทำอะไรกับพวกเขาได้มากนักในเวลานี้ …” เฟร็ด ไทน์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นในคราวนี้ และหนึ่งในเจ็ดอัศวินจอกศักสิทธิ์กล่าวอย่างยำเกรง เมื่อเขามองไปยังชายหนุ่ม

“หื้ม ?” เมื่อได้รับรายงานจากเฟร็ด ไทน์ ชายหนุ่มก็มองไปยังอควาโรส กับเสวี่ยเหวินโหรว กับเสวี่ยเหวินโหรวที่กำลังรับมือกับจอมเขมือบโลกอยู่ด้วยความประหลาดใจ “ผู้สืบทอด ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาสามารถรับมือกับจอมเขมือบโลกได้ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงอ่อนแอไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับฉัน !!!”

หลังจากพูดจบชายหนุ่มนักวิชาการก็ชี้นิ้วไปที่เสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรส ซึ่งมันก็ได้มีวงเวทย์ที่ซับซ้อน และซ้อนทับกันห้าวงปรากฎขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา

และในทันทีทุกคนในสนามรบก็รู้สึกเหมือนกับเวลาหยุดนิ่ง โดยสำหรับผู้เล่นขั้นสามนั้นแม้แต่ความคิดของพวกเขาก็หยุดนิ่งไปเลย

คำสาปขั้นหก หัตถ์แห่งความตาย !!!

ช่วงเวลาต่อมากรงเล็บขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฎขึ้นเหนืออควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรว โดยกรงเล็บนี้มันก็มีขนาดใหญ่พอๆกับกรงเล็บของจอมเขมือบโลกเลย โดยมันได้กวาดผ่านท้องฟ้าเข้าโจมตีหญิงสาวทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว

“มันจบแล้ว !!!”

“มันมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ในโลกนี้ได้ยังไง ?!!”

เมื่อซิคทีนคลาวด์ อันยีลดิ้งฮาร์ท และผู้เล่นขั้นห้าคนอื่นๆเห็นกรงเล็บขนาดมหึมาจากระยะไกล ความสิ้นหวังก็ได้เข้าท่วมท้นจิตใจของพวกเขา ชายหนุ่มนักวิชาการผู้นี้ไม่เพียงแต่จะชะลอเวลาในสนามรบทั้งหมด แต่เขายังใช้คำสาปขั้นหกโจมตีออกมาพร้อมกันด้วย ซึ่งการโจมตีนี้ของเขานั้นจะสามารถกวาดล้างเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ทั้งเมืองได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เฉพาะเสวี่ยเหวินโหรว กับอควาโรส …. อย่างไรก็ตามเมื่อกรงเล็บขนาดมหึมานี้อยู่ห่างจากเสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรสเพียงไม่กี่หลา แสงดาบบางอย่างก็พุ่งออกมาจากเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ และเข้าปะทะกับกรงเล็บ

ตู้ม !!
พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น พันธนาการเวลาทั้งหมดในสนามรบก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะเดียวกันพื้นที่เหนืออควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรวนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า

“การโจมตีถูกป้องกันไว้ได้ ?”

“อะไรแบบนั้นมันสามารถป้องกันได้ด้วยงั้นหรอ ? ใครเป็นคนทำกัน ?” ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นพวกเขาก็หันไปหาต้นกำเนิดของแสงดาบโดยอัตโนมัติ

ช่วงเวลาต่อมาสิ่งที่ปรากฎสู่สายตาทุกคนนั้นก็คือชายในชุดเสื้อคลุมสีดำที่กำลังถือดาบยาวสีทองได้บินออกมาจากห้องเทเลพอร์ตของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ ซึ่งนี่มันก็ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างอย่างไม่ตั้งใจ

“ขั้นหก ?”

“เขาเลื่อนขั้นเป็นขั้นหกแล้วงั้นหรอ ?”

ทุกคนในปัจจุบันต่างคุ้นเคยกับชายในชุดเสื้อคลุมสีดำเป็นอย่างดี นี่เป็นเพราะเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแบล๊คเฟรม หัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก อย่างไรก็ตามออร่าที่ซือเฟิงแผ่ออกมานั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกผู้เล่นที่เคยไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณของเหล่าทวยเทพ ออร่าที่พวกเขาสัมผัสได้จากซือเฟิงนั้นมันเหมือนกับในซากปรักหักพังโบราณพวกนี้เลย เพียงแต่ว่าออร่าของซือเฟิงนั้นดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าหลายร้อยเท่า

แน่นอนเลยว่านี่มันคือ Divine Might!

“หัวหน้ากิล คุณทำสำเร็จแล้วงั้นหรอ ?!!” ฟางฉีหานถามขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงที่พึ่งมาถึงตรงหน้าเธอ แม้ว่า Divine Might ของซือเฟิงนั้นมันจะพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าซือเฟิงได้มาถึงขั้นหกแล้ว แต่ฟางฉีหานก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากได้ยินคำยืนยัน

ขั้นหก !!

นี่คือจุดสูงสุดที่แท้จริงของ God domain !!!
“อืม ฉันทำสำเร็จแล้ว …” ซือเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

จริงๆแล้วเขาอยากจะบอกด้วยว่าเขาไม่ได้แค่เลื่อนขั้นเป็นขั้นหกด้วยร่างเทพทั่วไป แต่เขาเลื่อนขั้นเป็นขั้นหกด้วยร่างเทพขั้นสูง ซึ่งความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นมันก็คล้ายกับความแตกต่างระหว่างมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย กับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย ทั้งสองนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

และเมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิงนั้น เหล่าสมาชิกของสภาสิบแปดปีกก็เต็มไปด้วยความสุขอย่างถึงที่สุด เพราะเมื่อซือเฟิงมาถึงขั้นหกแล้วนั้น NPC และผู้เล่นจากโลกอื่นก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นนับจากนี้สภาสิบแปดปีกก็จะกลายเป็นกิลอันดับหนึ่งแห่ง God domain แบบไร้ข้อครหาแล้ว

ในส่วนของผู้เล่นจากโลกอื่น พวกเขาตกตะลึงกับเรื่องนี้มากๆ

เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้นั้นมหาอำนาจต่างๆจากโลกอื่นล้วนพยายามกันอย่างหนักเพื่อที่จะให้เหล่าผู้มีพรสวรรค์ในกิลของพวกเขาเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้า และการจะมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งในกิลที่ไปถึงขั้นหกได้ในระยะนี้ของเกมนั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดฝันเลย เนื่องจากพวกเขาไม่มีข้อมูลใดๆเลยว่าผู้เล่นจะไปถึงขั้นหกได้อย่างไร

“คุณมาถึงขั้นหกแล้วยังไงละ ? คุณก็ไม่ได้เป็นอะไรอื่นมากไปกว่ามดอีกตัวบนโลกใบนี้หรอก !!! คุณคิดว่าคุณจะสามารถต่อกรกับฉันได้จริงๆงั้นหรอ ?” ชายหนุ่มนักวิชาการกล่าวอย่างดูถูกในขณะที่เขาชี้คทาสีทองของตัวเองไปยังซือเฟิง

ทันใดนั้นทั่วทั้งบริเวณก็เงียบลงไปอีกครั้ง ในตอนที่ชายหนุ่มนักวิชาการเปิดการโจมตีครั้งก่อนนั้น ผู้เล่นขั้นสี่ในปัจจุบันยังคงพอจะมีสติอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังพบว่าสมองของพวกเขาหยุดนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเวลาในสนามรบในครั้งนี้ถูกทำให้ช้าลงไปอีกมาก

ช่วงเวลาต่อมาโซ่สีม่วงเข้มที่ถูกสลักด้วยรูนเทพก็โผล่ออกมาจากท้องฟ้า และผืนดิน ซึ่งเมื่อได้เห็นโซ่เหล่านี้ แม้แต่จอมเขมือบโลกก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว

หลังจากโซ่เหล่านี้ปรากฎขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ พวกมันก็ได้พุ่งเข้าหาซือเฟิงจากทุกทิศทาง

เมื่อพวกขั้นห้าสัมผัสได้ถึงออร่าของโซ่สีม่วงนี้ความกลัวก็ได้เข้าครอบงำพวกเขาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และแม้แต่วิญญาณของพวกเขาก็เตือนโดยสัญชาตญาณว่าอย่าแตะโซ่เหล่านี้เด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

นี่คือโซ่แห่งกฎในตำนานงั้นหรอ ? ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้เห็นโซ่สีม่วง

มรดกของเทพโบราณที่เขาได้รับมานั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับโซ่แห่งกฎอยู่เช่นกัน โดยข้อมูลระบุว่าโซ่เหล่านี้นั้นมีพลังเหนือกว่าขั้นสูงสุดของขั้นหกซะอีก และแม้แต่เทพขั้นหกก็ยังยากจะเคลื่อนไหวได้เมื่อถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล่านี้ เว้นแต่ว่าความแข็งแกร่งของเทพขั้นหกผู้นั้นจะเกินมาตราฐานขั้นสูงสุดของขั้นหกไปแล้ว ไม่งั้นยังไงพวกเขาก็จะตายไปพร้อมกับโซ่นี้แน่นอนหากถูกพันธนาการ …. ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้นั้นซือเฟิงก็ได้ตัดสินใจจะใช้ดาบโซโลมอน ประสานกับดาบแสงแห่งสองโลก

วงโคจรดาบ !!!

ซือเฟิงนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยที่เขาไม่ได้รับผลกระทบจากการหน่วงเวลาในสนามรบเลย โดยแสงดาวที่เปล่งประกายก็ได้ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา ซึ่งแสงดาวพวกนี้ก็ได้ช่วยทำลายโซ่ทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้ามาใกล้ซือเฟิงทันที พร้อมกันนั้นแสงดาวรอบๆซือเฟิงก็ได้พุ่งต่อไปทำลายการหน่วงเวลาในสนามรบลงไปทั้งหมด

“เป็นไปไม่ได้ !!!”

สีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสนปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มนักวิชาการ เมื่อเขาได้เห็นซือเฟิงโผล่ออกมาโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของเขาเลย

นั่นคือโซ่แห่งกฎเลยนะ !!! แม้แต่เทพขั้นหกที่แท้จริงส่วนใหญ่ก็ยังจะต้องหนีเมื่อเชิญหน้ากับโซ่เหล่านี้ เพราะพวกเขาจะตายแน่นอนหากพวกเขาถูกโซ่เหล่านี้พันธนาการได้

กระนั้นซือเฟิงกับรับมือกับโซ่ทั้งหมดได้ด้วยเทคนิคดาบง่ายๆ !!!

และสิ่งที่ชายหนุ่มนักวิชาการพบว่ามันไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือเทคนิคหน่วงเวลาของเขานั้นใช้ไม่ได้ผลกับซือเฟิง …
“คุณคิดว่ามันแปลกงั้นหรอ ?” ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของชายหนุ่มนักวิชาการ “คุณคิดว่าคุณซึ่งเป็นพวกเทพโบราณ เป็นแค่กลุ่มเดียวที่จะมีร่างเทพขั้นสูงได้งั้นหรอ ?”

ร่างเทพขั้นสูงนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังพลัง และความสำเร็จของเทพโบราณ ซึ่งมันก็เป็นเพราะว่ามีเพียงแต่ร่างเทพขั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังของโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะเดียวกันโซ่แห่งโลกมันก็เป็นวิธีการหนึ่งในการใช้พลังของโลก อย่างไรก็ตามในเมื่อซือเฟิงสามารถจะดูดซับพลังของโลกได้แบบสมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถจะใช้ดาบของเขาหยุดโซ่นี้ไว้ได้อย่างง่ายดาย