บทที่ 458.2 ตะเกียงดวงหนึ่งในบ้านบรรพบุรุษของตรอกเล็ก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเดินมาถึงหัวเรือ ยื่นมือไปจับประคองราวรั้วของเรือแล้วสาวเท้าก้าวเดินเนิบช้า

ทุกวันนี้ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นช่างเจริญรุ่งเรืองมีหน้ามีตากันยิ่งนัก

โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่หลังจากหลี่ถวนจิ่งบุคคลอันดับหนึ่งต่ำกว่าห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปตายไป ยิ่งนานวันพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง ช่วงระยะเวลาเกือบร้อยปีนี้ สวนลมฟ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องอยู่ในช่วงของการจำศีลข่มกลั้นความอัปยศและแบกรับภาระใหญ่หลวงอย่างยาวนาน หากเจ้าสวนคนใหม่อย่างผู้ฝึกกระบี่หวงเหอหรือหลิวป้าเฉียวไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้ในเร็ววัน เวลาหลายร้อยปีหลังจากนั้น เกรงว่าพวกเขาคงต้องกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกภูเขาตะวันเที่ยงข่มจนไม่อาจหายใจได้แล้ว

ส่วนสกุลสวี่นครลมเย็น ก่อนหน้านี้ขายภูเขาในเขตการปกครองหลงเฉวียนเปลี่ยนมือไปให้คนอื่น เป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าเห็นดีเห็นงามกับราชวงศ์จูอิ๋งและสำนักศึกษากวานหูมากกว่า ตอนนี้สถานการณ์เริ่มแจ่มชัด พวกเขาจึงรีบล้อมคอกเมื่อวัวหาย ตามคำบอกของผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้น เมื่อปลายปีของปีก่อน พวกเขาก็ได้ไปทาบทามความสัมพันธ์กับสกุลหยวนอันเป็นเสาหลักค้ำยันแคว้นต้าหลี มีทั้งงานแต่งของสายรองที่นอกเหนือจากสายของทายาทคนโต บุตรสาวที่เป็นบุตรของภรรยาเอกสกุลสวี่ได้แต่งงานไกลไปอยู่กับบุตรชายอนุภรรยาสกุลหยวนคนหนึ่งในเมืองหลวงต้าหลี สกุลสวี่นครลมเย็นยังระดมกำลังทรัพย์ช่วยเหลือกองทัพม้าเหล็กกองหนึ่งที่ลูกหลานสกุลหยวนเป็นผู้ดูแลอย่างเต็มกำลังด้วย

เห็นไหม

ไม่ว่าศัตรูหรือคนกันเอง ทุกคนล้วนกำลังยุ่งวุ่นวายกันทั้งนั้น

บนมหามรรคา ทุกคนต่างก็พยายามแย่งชิงความได้เปรียบ

พอเฉินผิงอันคิดถึงสภาพการณ์ของตัวเองก็รู้สึกเยาะหยันตัวเองเล็กน้อย

ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตห้าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเลื่อนไปสู่ขอบเขตหกในรวดเดียว นี่คือเรื่องที่เฉินผิงอันทำได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ตอนนั้นเพราะใกล้ไปถึงบ้านเกิดแล้ว เลยนึกอยากจะให้ผู้เฒ่าแซ่ชุยที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้เห็นว่าปีนั้นหลังจากถูกผู้เฒ่าซ้อมทรมานทรกรรมจนได้ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว เขาเฉินผิงอันก็ได้อาศัยการต่อยหมัดหนึ่งล้านกว่าหมัดของตัวเอง จนในที่สุดก็ได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นี่ก็เพื่อให้ตอนที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าป้อนหมัดใส่ตน ตนจะได้เจ็บตัวน้อยลงสักหน่อย สำหรับเรื่องการประทานโชคชะตาบู๊ เฉินผิงอันไม่ค่อยเก็บเอามาใส่ใจนัก ต่อให้เจอกับโชควาสนาอย่างเจียวหลงทะเลเมฆที่พุ่งจากฟ้าในนครมังกรเฒ่าแห่งนั้นอีกครั้ง เขาก็น่าจะยังปล่อยอีกหมัดต่อยให้มันถอยกลับไปอยู่ดี

เขาคิดไม่ถึงว่าการถ่วงเวลาครั้งนี้จะลากยาวมาเกือบสามปี

ส่วนการชดเชยวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ครบห้าธาตุ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่นั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้ เพราะหากอิงตามคำบอกของอาเหลียง นั่นก็คือ ‘วิชากระบี่เปลือกแตงโม กลิ้งไปที่ไหน กระบี่ก็อยู่ตรงนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามโชควาสนาเถิด’

เฉินผิงอันยิ้มอย่างขบขัน

หันหน้ากลับไปก็เห็นผู้ฝึกตนของนครลมเย็นที่พากันมาขออภัยกลุ่มนั้น เฉินผิงอันไม่ได้สนใจ อีกฝ่ายที่คงพอจะแน่ใจได้ว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะเอาเรื่องพวกเขาให้ถึงที่สุด จึงพากันจากไปอย่างขลาดกลัว

หลังจากนั้นเจ้าของเรือข้ามฝากก็มาขออภัย พูดยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องลงโทษนักการที่หาเรื่องคนนั้นให้หนักอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันก็ไม่ได้สนใจอีกเหมือนกัน เพียงแค่บอกว่าให้เขาได้รับบทเรียนก็พอแล้ว

เรือข้ามฝากจอดเทียบท่าที่ถ้ำฝูอินของแคว้นเชียนเฮ้อ หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทางต่อ ทว่าครั้งนี้เฉินผิงอันยังไปเยี่ยมเยือนเจ้าของถ้ำฝูอินมาหนึ่งครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะรับรู้เหตุวิวาทบนเรือมาก่อน ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกร ราชครูแห่งแคว้นเชียนเฮ้อที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้นจึงให้การต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น เฉินผิงอันทำหน้าหนาถามเรื่องวงในหลังจากที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลปริแตกแล้วร่วงลงมาจากเขาคร่าวๆ เรื่องนี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับผู้ฝึกตนเฒ่า เพราะถึงอย่างไรถ้ำฝูอินก็ยังพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แม้ว่าสมบัติลับและวัตถุตกทอดของเซียนที่ซ่อนอยู่ในรัศมีสิบกว่าลี้รอบด้านจะถูกพวกผู้อาวุโสขุดหากันไปจนเกลี้ยงแล้ว ปราณวิญญาณของถ้ำสวรรค์ก็ไม่ถือว่าเปี่ยมล้น ภายหลังด้วยโชควาสนาที่อำนวย ผู้ฝึกตนเฒ่าได้เข้ามาอยู่ที่แห่งนี้ ตั้งที่นี่เป็นสถานที่ของการฝึกตน แตกกิ่งก้านสาขา เมื่อเผชิญหน้ากับแขกของแต่ละฝ่ายที่พากันมาเยี่ยมเยือน แน่นอนว่าต้องมีถ้อยคำตามมารยาทที่พูดจนคล่องปาก เรื่องที่พูดได้ก็พูดอย่างละเอียด เรื่องที่พูดไม่ได้จะไม่เอ่ยถึงเด็ดขาด พอผู้ฝึกตนผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินผิงอันคือคนของต้าหลีก็ยิ่งกระตือรือร้น ยืนกรานจะรั้งให้เฉินผิงอันอยู่ต่อสักหลายๆ วันให้จงได้ เฉินผิงอันเอ่ยปฏิเสธ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงมอบกล่องเก็บสมบัติเก้าช่องให้เป็นของขวัญจากลา ซึ่งในช่องทั้งเก้าก็ใส่วัตถุวิเศษขนาดกะทัดรัดที่สลักมาจากผลิตผลเฉพาะที่มีในถ้ำฝูอินเต็มทุกช่อง อันที่จริงราคาไม่สูงนัก หากอิงตามราคาตลาดของแคว้นเชียนเฮ้อก็ประมาณยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สำหรับราชวงศ์ในโลกมนุษย์ย่อมต้องเป็นราคาที่สูงเทียมฟ้า ทว่าในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ล้ำค่าอะไร

เฉินผิงอันรับกล่องเก็บสมบัติใบเล็กมาแล้วก็มอบเหล้าเซียนบ่อน้ำของตรอกหางผึ้งกาหนึ่งให้กับทางถ้ำฝูอิน พอผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรได้ยินว่าเป็นเหล้าหมักของตรอกหางผึ้งก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เชื้อเชิญเฉินผิงอันว่าหากคราวหน้าผ่านแคว้นเชียนเฮ้ออีก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องแวะมานั่งที่ถ้ำฝูอินให้ได้ เหล้าหมักอย่างเหล้าเซียนบ่อน้ำนี้ พวกเขาไม่มี แต่แคว้นเชียนเฮ้อก็ย่อมต้องมีเอกลักษณ์พิเศษที่หาไม่ได้จากที่อื่น ไม่กล้าพูดว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากกลับ แต่หากได้ไปเที่ยวชมสักครั้งก็ย่อมไม่เสียเวลาเปล่าที่เดินทางมาอย่างแน่นอน ราชครูที่เป็นตัวตลกของแคว้นเชียนเฮ้ออย่างเขายินดีจะท่องเที่ยวไปพร้อมกับเฉินผิงอัน

ผู้ฝึกตนเฒ่ามาส่งเฉินผิงอันถึงชายแดนแคว้นเชียนเฮ้อด้วยตัวเอง แล้วถึงได้กลับไปที่จวนของตน

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอายุน้อยคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดอาจารย์จะต้องสิ้นเปลืองและทุ่มเทมากขนาดนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ฝึกตนเฒ่ากลัวว่าลูกศิษย์จะหลงเดินทางผิด แค่ให้รู้ผลได้ผลเสียและหนักเบาก็พอ รอวันใดที่คนแก่เสื่อมสภาพอย่างอาจารย์เดินขึ้นเขาไม่ไหวแล้ว ค่อยให้ลูกศิษย์มาทำเรื่องพวกนี้ ส่วนคนเป็นอาจารย์นั้น นอกจากจะถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่พวกเจ้าแล้ว ก็ต้องทำเรื่องน่าหน่ายใจบางอย่างที่อาจจะไม่ตรงใจตัวเอง เพื่อให้เส้นทางการฝึกตนในวันข้างหน้าของลูกศิษย์ในสำนัก ยิ่งเดินก็ยิ่งกว้างขวาง”

ผู้ฝึกตนเฒ่าลูบศีรษะลูกศิษย์ของตัวเอง ถอนหายใจกล่าวว่า “คราวก่อนเจ้าลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เพียงลำพัง และกระทำการมุทะลุวู่วามร่วมกับลูกหลานชนชั้นสูงของแคว้นเชียนเฮ้อพวกนั้น อันที่จริงอาจารย์คอยอยู่ข้างกายเจ้า และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา หากไม่เป็นเพราะเจ้าแค่เล่นสนุกเพียงครั้งคราว รู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะสร้างความสนิทสนมได้ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับไม่ชอบนัก ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงจะผิดหวังในตัวเจ้า ผู้ฝึกตนควรจะรู้ว่ารากฐานในการหยัดยืนที่แท้จริงคืออะไร ไหนเลยยังจำเป็นต้องไปถือสากับเรื่องความรู้สึกความผูกพันในโลกมนุษย์พวกนั้น มีความหมายตรงไหน? จงจำไว้ว่านอกจากการฝึกตนแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลไร้สาระเท่านั้น”

ลูกศิษย์หนุ่มผวาพรั่นพรึงอยู่ในใจ

ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “อาศัยโอกาสนี้มาไขปริศนาในใจของเจ้าได้พอดี เงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญที่อาจารย์มอบให้ไปก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”

ลูกศิษย์หนุ่มประสานมือโค้งคารวะ “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ ตรอกตรึงฝังอยู่ในใจของศิษย์แล้ว”

เจ้าภูเขาของถ้ำฝูอินลูบหนวดยิ้ม พาลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองเดินขึ้นไปบนทางเส้นเล็กของสันหลังเขาที่การมองเห็นเปิดกว้างไปด้วยกัน

เฉินผิงอันสะพายกระบี่ขี่ม้า ออกจากชายแดยเหนือแคว้นเชียนเฮ้อมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ

แน่นอนว่าเขาเดาไม่ถึงว่าการที่ตัวเองไปเยือนจวนของถ้ำฝูอินก่อนหน้านี้ได้ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรอาศัยโอกาสนี้ตักเตือนลูกศิษย์ที่เป็นผู้สืบทอดของตัวเอง

ท่ามกลางช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดซึ่งมีฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมาพร้อมกับสายลม เฉินผิงอันหนึ่งคนหนึ่งม้าส่งมอบเอกสารผ่านด่าน ข้ามผ่านด่านชายแดนต้าหลีมาได้อย่างราบรื่น

การเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนครั้งนี้เขาเลือกเส้นทางใหม่ ไม่ได้ใช้เส้นทางที่ผ่านเมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุน

ตลอดทางมานี้ฝนตกหนักอยู่บ่อยๆ ไอร้อนชื้นจึงเข้มข้นมากเป็นพิเศษ ทำให้เฉินผิงอันเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ในช่วงหน้าร้อนของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เป็นดั่งเตานึ่งขนาดใหญ่

ทว่าเมื่อผ่านช่วงที่ร้อนแผดเผาที่สุดไปแล้ว หลังเข้าฤดูใบไม้ร่วงอากาศก็จะเริ่มเย็น

จักจั่นแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องระงม

ระหว่างนี้มีช่วงอาทิตย์อัสดงของวันหนึ่ง เขาได้เห็นปัญญาชนคนหนึ่งที่เปิดเปลือยหน้าอก ในมือถือพัดขนนกยืนอยูใต้ต้นสนโบราณบนยอดเขา ข้างกายอีกฝ่ายมีสาวใช้หน้าตางดงามรายล้อม พวกนางพูดคุยกันกลั้วเสียงหัวเราะ ห่างไปไกลมีผู้เฒ่าที่ลมหายใจทอดยาวสองคนยืนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตน

เฉินผิงอันจูงม้าเดินผ่านมา สายตาไม่หลุกหลิก

หลังออกห่างมาจากยอดเขาแล้ว เฉินผิงอันก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย บัณฑิตของต้าหลีในอดีต ต่อให้เป็นปัญญาชนที่สามารถเข้าไปขอศึกษาในสำนักศึกษาซานหยาได้แล้ว แต่ก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ไปอยู่สำนักศึกษากวานหู หรือไม่ก็ต้าสุย ไปอยู่กับราชวงศ์สกุลเกา สรุปก็คือต้าหลีไม่อาจรั้งตัวคนไว้ได้ ตามคำบอกของชุยตงซาน เวลานั้นวงการประพันธ์ของต้าหลี ก่อนหน้าที่บัณฑิตจะทะเลาะกันหรือยกพู่กันขึ้นมา หากไม่เอ่ยถึงชื่อของผู้รอบรู้แคว้นอื่น ไม่เปิดผลงานที่มีชื่อเสียงของนักประพันธ์ใหญ่แคว้นอื่น ไม่มีญาติอยู่ในวงการวรรณกรรมของแคว้นอื่นสักคนสองคน ก็ล้วนไม่มีใครกล้ามีหน้าเปิดปากพูด ไม่มีความมั่นใจที่จะจรดพู่กัน

ไม่รู้ว่าวงการปัญญาชนของต้าหลีในทุกวันนี้จะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่

ใกล้ช่วงพลบค่ำ เฉินผิงอันเดินทางผ่านจุดพักม้าหลายแห่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขตการปกครองหลงเฉวียน จากนั้นก็เข้าไปในเมืองเล็ก รั้วไม้ของประตูใหญ่ไม่อยู่แล้ว เมืองเล็กล้อมกำแพงเมืองด้วยหินขึ้นมาแทน ตรงหน้าประตูไม่มีการห้ามเข้าออกหรือทหารบู๊ ใครจะเข้าออกก็ได้ทั้งนั้น เฉินผิงอันผ่านประตูมาแล้วก็สังเกตเห็นว่ากระท่อมของเจิ้งต้าเฟิงยังคงตั้งอยู่ข้างถนนอย่างโดดเดี่ยว เมื่อเทียบกับร้านรวงในบริเวณใกล้เคียงที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบแล้วจึงดูสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าคงเป็นเพราะตกลงเรื่องราคากันไม่เป็นผล เจิ้งต้าเฟิงจึงไม่เต็มใจจะย้ายบ้าน ครอบครัวทั่วไปในเมืองเล็กย่อมไม่กล้างัดข้อกับที่ว่าการเขตการปกครองหลงเฉวียนและที่ว่าการอำเภอที่อยู่ทางเหนือ แต่เจิ้งต้าเฟิงมีอะไรให้ไม่กล้า ต้องเป็นเพราะเขาไม่ยอมให้ขาดไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวเป็นแน่

เดิมทีเฉินผิงอันควรจะกลับมาถึงเมืองเล็กในอีกสิบวันให้หลัง เพียงแต่ว่าภายหลังเขาเดินทางได้ค่อนข้างเร็วจึงมาถึงล่วงหน้าเร็วกว่าที่คาดไว้หลายวัน

ช่วงที่เพิ่งผ่านด่านชายแดนเข้ามา เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นที่จุดพักม้าของชายแดน ส่งมาที่ภูเขาลั่วพั่วเพื่อบอกให้พวกเขารู้ถึงระยะเวลาคร่าวๆ ที่ตนจะกลับมาถึงบ้านเกิด

เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงก่อน เขาจูงม้าข้ามสะพาน ไปที่หลุมศพของท่านพ่อท่านแม่ ยังคงหยิบถุงผ้าฝ้ายที่บรรจุดินของสถานที่ต่างๆ จนเต็มออกมาหลายถุง เติมดินให้กับเนินหลุมศพ เพิ่งจะผ่านเทศกาลชิงหมิงไปได้ไม่นาน บนหลุมศพยังมีกระดาษสีแดงที่สีซีดจางลงไปเล็กน้อยถูกหินแบนราบเรียบก้อนหนึ่งทับอยู่ ดูท่าเจ้าเด็กเผยเฉียนจะไม่ได้ลืมที่ตัวเองสั่งความเอาไว้

ตลอดทางที่เดินมานี้เห็นใบหน้าของคนแปลกหน้ามากมาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชาวบ้านในพื้นที่ของเมืองเล็กส่วนใหญ่ล้วนย้ายไปอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งใหม่ที่ตั้งค่อนไปทางทิศเหนือของกลุ่มภูเขาใหญ่ตะวันตกแล้ว แทบทุกคนล้วนย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ประตูสูงที่ใหม่เอี่ยม หน้าบ้านแต่ละหลังล้วนมีสิงโตหินตัวใหญ่คู่หนึ่งตั้งวางคอยเฝ้าประตูเรือนให้ ต่อให้ฐานะย่ำแย่แค่ไหนก็ยังมีหินเปากู่ (หินประดับหน้าบ้านชนิดหนึ่งของชาวจีน จะตั้งวางไว้สองข้างฝั่งของประตูคล้ายสิงโตหิน โดยที่หินจะเป็นทรงกลองหนังสองหน้าของจีน) ที่ราคาไม่ธรรมดา ไม่เป็นรองถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ในอดีตเลยแม้แต่น้อย คนที่ยังอยู่ในเมืองเล็ก ส่วนใหญ่คือผู้เฒ่าอายุมากที่ไม่เต็มใจจะย้ายออกไป ยังคงอยู่เฝ้าตรอกน้อยใหญ่ที่นานวันก็ยิ่งเงียบสงัดวังเวง แล้วก็จะมีเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ส่วนใหญ่ซื้อบ้านไว้ ทว่าแทบไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตากันตลอดทั้งปี ต่อให้พบเจอกันแล้วก็เหมือนเป็ดคุยกับไก่ ต่างคนต่างไม่เข้าใจภาษาของอีกฝ่าย

เฉินผิงอันกลับเข้าเมืองเล็กมาเช่นนี้ เขาเดินไปถึงตรอกหนีผิงที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้ตรอกเล็กเส้นนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ครอบครัวไม่กี่ครอบครัวที่เหลืออยู่ล้วนย้ายไปยังเขตการปกครองแห่งใหม่ ขายบ้านบรรพบุรุษให้คนต่างถิ่น เมื่อได้เงินก้อนใหญ่ที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ถึงมาครอง ต่อให้ซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่ที่เขตการปกครองแล้วก็ยังเหลือมากพอจะให้กินอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต บ้านบรรพบุรุษของกู้ช่านไม่ได้ถูกขาย แต่ท่านแม่ของเขาก็เลือกจะไปอยู่อาศัยที่เขตการปกครอง ซื้อหนึ่งในจวนที่ใหญ่ที่สุด ตัวเรือนมีหลายชั้นลึกล้ำ มีทั้งสะพานเล็กธารน้ำไหล หรูหราโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น เปิดประตูบ้านออก ให้ฉวีหวงเดินเข้าไปในลานบ้านที่ไม่ใหญ่นัก ปล่อยมือจากเชือก ให้มันหาที่อยู่ด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันเปิดประตูเรือน ยังคงมีสภาพแบบเดิม ขนาดเล็กๆ ไม่มีของชิ้นใหญ่อย่างใหม่ใดๆ เพิ่มเข้ามา เขายกม้านั่งตัวยาวเก่าแก่มา นั่งลงข้างโต๊ะอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากลานบ้านไปมองเทพทวารบาลและกลอนคู่ที่แปะไว้ใหม่อีกครั้ง แล้วจึงก้าวเข้ามาในลานบ้าน มองตัวอักษรชุนตัวนั้น

สีท้องฟ้ายามเย็นมืดมิด

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ จุดตะเกียงดวงหนึ่ง

คิดว่าจะนั่งอีกสักครู่แล้วค่อยไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ไปสร้างความประหลาดใจให้พวกเขา

เพียงแต่ว่านั่งไปครู่หนึ่งแล้วก็นั่งต่ออีกครู่หนึ่ง เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ลุกขึ้น เขาแค่คิดว่าอยากนั่งต่ออีกสักพัก

ความเศร้าความสุข การพบเจอและการจากลาทั้งหมดทั้งมวลล้วนเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเดินทางไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกมานานกี่ปี สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นการอยู่ที่นี่ที่ทำให้จิตใจสงบสุขมากที่สุด

หลังจากพ่อแม่จากไป หลิวเสี้ยนหยางมักจะมานอนอยู่บนเตียงไม้เป็นประจำ ปากก็พร่ำพูดเพ้อเจ้อเกี่ยวกับภาพอนาคตอันงดงามห่างไกล เจ้าเด็กขี้มูกยืดก็มักจะมาบ่นอยู่ที่นี่ว่าพวกผู้ใหญ่ไร้เหตุผล

พ่อแม่ยังมีชีวิต ไม่ออกเดินทางไกล แต่หากต้องออกเดินทางไกล ก็ต้องบอกให้รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหน พ่อแม่ไม่อยู่บนโลกแล้ว ก่อนออกเดินทางไกลก็ยิ่งต้องบอกว่าตัวเองจะไปที่ไหน

ทางฝั่งของเมืองหงจู๋ที่ห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไปไม่ไกลนัก เผยเฉียนพาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไปนั่งอยู่บนหลังคาสูงแห่งหนึ่ง มองตาปริบๆ ไปยังทิศไกล คนทั้งสามต่างก็เดิมพันกันว่าใครจะได้เห็นเงาร่างนั้นก่อน

บนภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้ากำลังหลับตาทำสมาธิอยู่บนชั้นสอง

จูเหลี่ยนเริ่มชื่นชมยันต์และตัวอักษรบนเรือนไม้ไผ่เหล่านั้นซ้ำอีกรอบ

ผีสาวสือโหรวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาอย่างเบื่อหน่าย พอมาอยู่ภูเขาลั่วพั่ว นางก็ถูกมัดมือมัดเท้าไปเสียทุกเรื่อง ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย

บนยอดเขาภูเขาพีอวิ๋น

เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีกำลังยืนเคียงไหล่อยู่กับเจียวเฒ่าแคว้นหวงถิงตนนั้น คนหนึ่งกำลังพูดคุยแย้มยิ้มอย่างผ่อนคลาย อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเครียดขรึม

พวกเขาหลุบตาลงต่ำมองไปยังเมืองเล็กที่อยู่ห่างไปไกล

ในตรอกเล็กเส้นหนึ่ง มองเห็นแสงไฟจากตะเกียงจุดเล็กๆ ได้เลือนราง

มันกำลังสาดส่องประกายแสงเจิดจ้า

—–