ราชันเร้นลับ 800 : สภาพจิตใจเริ่ม ‘ดี’ Ink Stone_Fantasy
ใครกัน? …เสียงของใคร? กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์พลันแข็งทื่อ เปลือกตาเกือบเปิดขึ้น
ทันใดนั้น เหงื่อเย็นๆ ไหลออกจากแผ่นหลังจนเสื้อเปียกชุ่ม
สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจมากที่สุดไม่ใช่เนื้อหาของประโยค แต่เป็นการที่เสียงเมื่อครู่ดังขึ้นในหัวโดยตรง แถมยังเลียนแบบเสียงของตนได้เหมือนมาก
หมายความว่า… จากความฝันเมื่อครู่ แม้ว่าเราจะครองสติไว้ได้ แต่ร่างวิญญาณก็ยังถูกปนเปื้อนด้วยจิตคลุ้มคลั่งของอีกฝ่าย? หรือว่ามีใครส่งผู้คุมคนนี้มาแจ้งข้อความถึงเรา? ในใจไคลน์ผุดคำถามและการคาดเดามากมาย ก่อนจะสรุปเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น
มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราคือไคลน์·โมเร็ตติ เช่นเดียวกับคนที่ทราบว่าไคลน์·โมเร็ตติเคยสาบานต่อหน้าดาบศักดิ์สิทธิ์ และคนสองกลุ่มนี้แทบไม่ซ้อนทับกันเลย
มิสเตอร์อะซิกอาจทราบเรื่องหลัง แต่ถ้าเขาต้องการเตือน แค่ส่งผู้ส่งสารมาแจ้งข่าวโดยตรงก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีน่ากลัวขนาดนี้… วิล·อัสตินก็เช่นกัน ราวนี้เป็นถึง ‘อสรพิษปรอท’ ไม่แปลกที่รู้ความลับมากมายของเรา แต่เฉกเช่นมิสเตอร์อะซิก เขาสามารถแจ้งให้เราทราบได้ด้วยวิธีอื่น… บางที นี่อาจเป็นการกลั่นแกล้งจากเขา หลังจากที่เราคิดเล่นๆ ว่าจะเป็นบิดาอุปถัมภ์เมื่อช่วงเที่ยง…
หรือว่าบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจะกัดกร่อนผู้คุม เหมือนที่เคยทำกับตุ๊กตาอัปมงคลเพื่อวาดสัญลักษณ์ให้เราเห็น? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงไม่มอบสูตรโอสถมาให้เลย? หรือไม่ก็พยายามติดต่ออย่างเป็นมิตรเพื่อให้เราเข้าไปช่วยขโมยออกมา… แต่ว่า วิหารนักบุญแซมมวลคือสำนักงานใหญ่ของมุขมณฑลกรุงเบ็คลันด์ มีระดับสูงกว่าวิหารพระแม่เซเลน่า สมุดบันทึกเล่มดังกล่าวไม่น่าจะเคลื่นไหวอะไรได้อีก ถูกปิดตายอย่างแน่นหนา…
นอกจากคนเหล่านี้ มีเพียงบุคคลเดียวที่ทราบข้อมูลทั้งสองอย่าง… เทพธิดารัตติกาล… แต่ด้วยศักดิ์ศรีและความสง่างามของเทพ พระองค์ไม่จำเป็นต้องฝากข้อความผ่านคนอื่นด้วยท่าทีสยองขวัญ… เรากำลังอยู่ในวิหารนักบุญแซมมวล เพียงท่านส่ง ‘วิวรณ์’ สั้นๆ ก็มากพอจะทำให้หน่วยพิเศษนับสิบคนกรูเข้ามาล้อมจับกุมเรา และเนื่องด้วยที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของมุขมณฑล ย่อมต้องมีอุปกรณ์มากมายที่ช่วยสยบพลัง ‘นักท่องเที่ยว’ … ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยาก…
หืม… ไม่สิ ยังมีอีกหนึ่งคนที่รู้ทั้งสองเรื่อง…
ตัวเราเอง!
ก่อนจะวางแผนขโมยสมุดบันทึก เราเคยพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะหลังจากกลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ ออร่าสายหมอกสามารถแทรกแซงโลกความจริงได้ในระดับหนึ่ง มีเพียงครึ่งเทพที่ตรวจพบความพิเศษดังกล่าว รวมไปถึงเส้นทางสัตว์ประหลาด… ย้อนกลับไปขณะเราสัมผัสกับดาบศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็น ‘ตัวตลก’ ด้วยซ้ำ…
แม้ว่าการเชื่อมต่อกับเทพธิดาและลั่นวาจาสาบานจะทำให้พระองค์ตระหนักถึงความผิดปรกติเล็กๆ ในตัวเรา แต่ปัจจุบันก็ผ่านมานานมาก ยังไม่เห็นว่าพระองค์จะลงมือทำอะไร… หรือจะเป็นเทวทูตสาวตนนั้น… มีพลังอยู่ในระดับเทวทูตไม่ผิดแน่… หลังจากลบมิสเตอร์ A หายไป เธอหันมายิ้มให้เรา… ถ้าเธอคือตัวแทนของเทพธิดา พระองค์คงไม่คัดค้านเรื่องที่เราจะขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส… แม้จะยังไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของพระองค์ แต่ด้วยระดับปัจจุบัน เราคงทำอะไรไม่ได้มาก ไว้ค่อยคิดหาวิธีรับมือในภายหลัง เพราะการเข้าหาพระองค์ย่อมปลอดภัยกว่าการไปเยือนยอดเขาโฮนาซิส… แต่สมมติฐานนี้จะเป็นความจริงก็ต่อเมื่อ เทวทูตสาวที่ ‘ลบ’ มิสเตอร์ A คือเทวทูตของโบสถ์รัตติกาล…
อา… แม้ว่าเราจะใช้เทคนิคสวมบทบาทจนย่อยโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่การดื่มโอสถที่ปรุงจากตะกอนพลังนักเชิดหุ่น ทำให้มีตะกอนพลังของผู้ไร้หน้าเพิ่มเข้ามาใหม่… นอกจากนั้น นักเชิดหุ่นยังต้องกำหนดให้หุ่นเชิดแต่ละตัวมีอุปนิสัยที่แตกต่าง สิ่งนี้สามารถทำไปสู่อาการทางจิตที่เรียกว่าภาวะ ‘หลายบุคลิก’ … และในสภาพที่ไม่มั่นคงดังกล่าว การถูกผู้คุมที่คลุ้มคลั่งกัดกร่อนจิตของ ได้กระตุ้นให้ร่างวิญญาณของเราสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นมา?
คิดถึงจุดนี้ เสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่เคยชิน ดังก้องในหัวอีกครั้ง
“เฮ่อ… นายคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว! การที่เอาชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะนายดวงดีต่างหาก! ถ้าอาวุโสใหญ่ผู้เป็นเจ้าของดาบศักดิ์สิทธิ์ เครสไทน์·ซีสม่าคนนั้นอยู่ในเบ็คลันด์และกำลังทำคดีพิเศษ คิดหรือว่าขณะที่นายย่างกรายเข้ามาในวิหาร ดาบศักดิ์สิทธิ์จะไม่แสดงปฏิกิริยา? นายกับดาบเล่มนั้นถูกเชื่อมต่อกันด้วยคำสาบาน!”
ถ้าอาวุโสซีสม่ากลับมายังเบ็คลันด์ เราจะล้มเลิกแผนการทันที… ใช่แล้ว ยังพอจะมีโอกาสหลบหนีก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว อ้างเหตุผลที่ฟังขึ้นสักข้อ เดินทางออกจากกรุงเบ็คลันด์สักระยะหนึ่ง… ไคลน์พึมพำในใจตามความเคยชิน
จากนั้น มันได้ยินเสียงของตัวเอง ดังขึ้นในหัวตัวเอง
“มีตัวแปรเหนือความคาดหมายมากเกินไป… ก่อนจะเข้ามาในวิหารวันนี้ นายเคยคิดไหมว่า ลำพังการเปิดเนตรด้ายวิญญาณจะทำให้เกิดความวุ่นวาย?”
ความกังวลของเราก่อนจะมาที่นี่ อาจทำให้เราเตรียมใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้บ้างก็จริง… แต่ต้องยอมรับตามตรง เราคิดไม่ถึงว่า แค่การแอบมองด้วยเนตรด้ายวิญญาณจะทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ตามมา… เคยคิดง่ายๆ ว่าถ้าไม่ได้สัมผัสโดยตรงก็คงไม่เป็นอะไร เรื่องนี้เราประมาทเกินไป… อย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่คาดไม่ถึงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว… ว่าแต่ แกเป็นใครกันแน่? ไคลน์หลับตาลง แสร้งทำเป็นตั้งใจสวดวิงวอน
เสียงเดิมกล่าวด้วยความลังเล
“ฉันคือไคลน์ ส่วนนายคือโจวหมิงรุ่ย… ไม่สิ ฉันคือโจวหมิงรุ่ย ส่วนนายคือไคลน์…”
นึกแล้วเชียว… ไคลน์ที่ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง เชื่อว่าตนต้องรีบออกจากวิหารนักบุญแซมมวล ตรงกลับบ้านเพื่อแก้ปัญหาอาการหลายบุคลิก
ในระยะเริ่มแรก ปัญหายังถูกขจัดได้ง่ายดาย แต่ถ้าปล่อยไว้จนกระทั่งบุคลิกอื่นแข็งแรงและมั่นคง มันจะเริ่มเข้ายึดครองร่างกายทีละนิด และวิธีรักษาจะเหลือแค่การขอช่วยเหลือจากภายนอก!
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น หันไปมองอีเล็คตร้าด้วยสีหน้าสุขุม
“ผมสงบลงแล้ว”
เมื่อเทียบกับอาการป่วยทางจิต สภาพจิตใจของเรายังนับว่าดีอยู่… ไคลน์จิกกัดตัวเอง
สาเหตุที่มันรำพันบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นนิสัยประจำตัว แต่ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ยังเป็นการเตือนสติตัวเอง คอยระลึกถึงตัวเองอยู่เสมอ ไม่หมกมุ่นกับการสวมบทบาทเป็นคนอื่น
บิชอปอีเล็คตร้ายิ้ม
“ขอให้เทพธิดาอวยพรคุณ”
กล่าวจบ มันรับแก้วน้ำที่นักบวชนำมาให้ ยื่นมาทางดอน·ดันเตส
ไคลน์ทราบทันทีว่าสิ่งนี้คือน้ำมนต์ เพราะในอดีตเคยดื่มมาแล้วหลายหน ชายหนุ่มเก็บซ่อนความกังวลและดื่มรวดเดียวหมดแก้วด้วยสีหน้าสุขุม
ความรู้สึกเย็นเยียบไหลผ่านลำคอ ช่วยมอบความสดชื่นแก่ร่างกาย ขณะเดียวกันก็ทำให้จิตใจตื่นตัว แม้แต่เสียงที่เคยดังในหัวก็ยังแผ่วลง
นี่คือพลังการปลอบวิญญาณ… ทางศาสนจักรให้ความสำคัญกับดอน·ดันเตสมาก ถึงกับลงทุนให้ผู้วิเศษผลิตน้ำมนต์… ไคลน์พยักหน้าให้บิชอปอีเล็คตร้าพลางวาดจันทร์แดงกลางหน้าอก เดินไปทางแท่นบูชาอย่างใจเย็น บริจาคเงินสดห้าสิบปอนด์ลงในกล่อง
จัดการทั้งหมดเสร็จ ด้วยกันกับริชาร์ดสัน ชายหนุ่มเดินออกจากวิหาร ขึ้นรถม้าหรูหราตรงกลับไปยังถนนเบิร์คลุน
ระหว่างทาง มันมิได้แวะให้อาหารนกพิราบ เพราะมนุษย์ปรกติที่เพิ่งเจอเหตุการณ์เมื่อครู่ คงไม่มีกะจิตกะใจจะให้อาหารสัตว์
กลับถึงบ้าน ไคลน์ที่เงียบมาตลอดทาง ใช้ข้ออ้างของีบยามบ่ายเพื่อไล่คนรับใช้ออกไป เดินถอยหลังสี่ก้าวภายในห้องน้ำ ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก
หลังจากเผชิญเสียงเพรียกมายามากมาย ชายหนุ่มพบว่าไม่มีการ ‘ชำระล้าง’ เกิดขึ้นกับร่างกาย จึงเริ่มมั่นใจว่าปัญหามาจากจิตของตน เป็นภาวะหลายบุคลิกที่เกิดจากการถูกกัดกร่อน
ขณะนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ไคลน์ทบทวนสภาพจิตใจและพบร่องรอยความสับสน ขาดความบริสุทธิ์ สีออร่าในบริเวณดังกล่าวมีจุดด่างดำเล็กๆ
หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบนานสองนาทีโดยไม่สนใจเสียงรบกวนในหัว ชายหนุ่มตัดสินใจเสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และบังคับให้สวดวิงวอนจากก้นบึ้ง
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ… ได้โปรดแจ้งให้เดอะมูนทราบว่า ผมต้องการยืม ‘เทียนไขจิตฝันร้าย’ เป็นเวลาครึ่งวัน ผมเชื่อว่าเขาสามารถมาได้”
เนื่องจากตัวตน ‘เดอะเวิร์ล’ ถูกเตรียมไว้เพื่อเชอร์ล็อก·โมเรียตี้อยู่แล้ว ไคลน์จึงไม่กังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งในภายหลัง
…
ย่านทิศใต้ของสะพานเบ็คลันด์ ภายในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
เอ็มลิน·ไวท์ที่กำลังเฝ้ารอ ‘แหวนลิลิธ’ ในตอนกลางคืน พลันเห็นสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นตรงหน้า ตามด้วยคำสวดวิงวอนของเดอะเวิร์ล
มันพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าเราจะหาเทียนไขจิตฝันร้ายได้…”
………………………………………………