“ผู้ใดกล้าพูดว่าเวินเส้าหยีไม่ใช่หัวหน้าเผ่าน้อย ข้าก็ไม่กล้ารับรองว่าการลงมือครั้งหน้า เขายังจะสามารถมีชีวิตได้อีกหรือไม่”

สุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างเย็นชา โดยเฉพาะรองหัวหน้าเผ่าซือคง

คนอื่นหวาดกลัวรองหัวหน้าเผ่าซือคง แต่เขาไม่กลัว

ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าผู้อาวุโสหยูเป็นลูกน้องคนสนิทของรองหัวหน้าเผ่าซือคง ตีเขาก็เท่ากับการตบหน้ารองหัวหน้าเผ่าซือคงโดยไม่ต้องสงสัย

แต่สุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวน ก็ไม่ได้ไว้หน้าแม้สักนิด ทั้งยังประกาศเตือนรองหัวหน้าเผ่าซือคงต่อหน้าสาธารณชนอีกด้วย

คนที่อยู่เป็นตามสถานการณ์ แต่ละคนก็ก้มหน้า ทั้งไม่กล้ามองซ่งหยวนและไม่กล้ามองซือคง

แต่มีผู้อาวุโสสองสามคนที่อยู่ข้างกายของรองหัวหน้าเผ่าซือคงต้องการจะแย้งกลับ ก็ไม่รู้ว่าคิดได้ถึงวิธีการของสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนหรือไม่ คำพูดมาถึงปากก็ฝืนกลืนกลับไปแล้ว

แต่สุดยอดผู้อาวุโสตงหลิงกลับกล่าวว่า “ท่านซ่ง ทำไมท่านต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียวถึงเพียงนี้ด้วย ตัวตนของหัวหน้าเผ่าน้อยเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง ทุกคนก็แค่อยากจะทำให้กระจ่างเท่านั้น”

“เดิมทีเขาก็เป็นลูกชายแท้ๆของหัวหน้าเผ่า มีอะไรต้องทำให้กระจ่างอีก?”

“เช่นนั้นท่านบอกข้าหน่อย ทำไมก่อนที่หัวหน้าเผ่าจะเข้าฌานถึงได้บอกกับพวกเราสุดยอดผู้อาวุโสทั้งหลายว่า หากหัวหน้าเผ่าน้อยมีใจเป็นอื่น ก็สามารถปลดเขาได้โดยตรงล่ะ”

สีหน้าของสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้จะแค่แวบผ่านไปเท่านั้น แต่ก็ถูกเวินเส้าหยีที่ละเอียดอ่อนจับไว้ได้แล้ว

สมองของเขาเหมือนกับโดนถล่มไปทันที

แทบจะไม่กล้าเชื่อคำพูดที่มาจากปากของสุดยอดผู้อาวุโสของตงหลิงว่านั้นเป็นคำที่ออกมาจากปากพ่อของเขาจริงๆ

“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร” สุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนปฏิเสธ

“ท่านรู้ นอกจากท่านแล้ว ยังมีสุดยอดผู้อาวุโสอั้นเฮย หยู่เย่และคนอื่นๆที่อยู่ในเหตุการณ์อีก แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะไม่อยู่แล้ว แต่ข้าจำได้ว่าสุดยอดผู้อาวุโสหยุนเฟิงและสุดยอดผู้อาวุโสหยุนเยว่รวมทั้งรองหัวหน้าเผ่าก็อยู่ในตอนนั้นด้วย”

สุดยอดผู้อาวุโสของตงหลิงพูดจบ ก็หันหน้าไปมองหยุนเฟิงและหยุนเยว่สุดยอดผู้อาวุโสสองท่านนั้น

แววตาของพวกเขาเป็นประกาย ราวกับว่าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่สุดยอดผู้อาวุโสของตงหลิงก็บีบคั้นอย่างยิ่งยวด พวกเขาจึงทำได้เพียงยอมรับ

“หัวหน้าเผ่าพูดเช่นนี้จริง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าเผ่าน้อยจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของหัวหน้าเผ่า”

“ใช่ และหัวหน้าเผ่าน้อยก็มีหน้าตาเหมือนแม่ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนหัวหน้าเผ่าเลยสักนิด”

“หึ เจ้าก็หน้าตาไม่เหมือนพ่อของเจ้า งั้นเจ้าก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆที่พ่อเจ้าให้กำเนิดแล้วสินะ?” สุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนตอกกลับโดยไม่เกรงใจใดๆ

ตงหลิงระงับความโกรธไว้ และพูดต่อ “ในวันที่ฮูหยินชิวเสียชีวิต หัวหน้าเผ่าก็พึมพำอย่างเสียสติอยู่คนเดียวในห้องนอนกับเถ้ากระดูกของฮูหยินชิว บอกว่า เขาไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของเขา เขาจะไม่ยอมรับเขา จะไม่มีทางยอมรับเขาในทุกๆชาติ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมอบเผ่าเทียนเฟิ่นไว้ในมือของเขา เรื่องนี้ พวกเจ้าล้วนจำได้สินะ?”

บรรดาผู้คนในเผ่าต่างพากันตะลึง

พวกเขาไม่ได้ตะลึงกับเพียงแค่คำพูดของสุดยอดผู้อาวุโสของตงหลิงเท่านั้น

แต่ยังมีการหลบหลีกที่ไม่เป็นธรรมชาติของสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนอีกด้วย

จิตใจของเวินเส้าหยีสั่นไหวเล็กน้อย ถามไปทางสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวน “เป็นเช่นนี้หรือ?”

“เจ้าหนูเส้าหยี การตายของฮูหยินชิวกระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าเผ่ารุนแรงเกินไป ตอนนั้นหัวหน้าเผ่าสติเลอะเลือน เขาเพียงแค่พูดว่าเขา ไม่ได้พูดชื่อของเจ้า เขาในคำพูดของหัวหน้าเผ่า อาจจะไม่ได้เป็นเจ้า”

คำพูดนี้เฉไฉเกินไป

ไม่ต้องพูดว่าเวินเส้าหยีจะไม่เชื่อ

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่เชื่อเช่นกัน
นอกจากหัวหน้าเผ่าน้อยแล้ว หัวหน้าเผ่าก็ไม่ได้มีลูกชายคนที่สองอีก และยิ่งไม่ได้มีลูกนอกสมรสอะไรด้วย

นอกจากจะพูดถึงหัวหน้าเผ่าน้อยแล้ว ยังจะพูดถึงใครได้อีก

มิน่าล่ะหัวหน้าจึงไม่ค่อยยินดียินร้ายกับหัวหน้าเผ่าน้อย ที่แท้ก็มีเหตุผล

เวินเส้าหยียิ้มอย่างขมขื่นทันที

ก่อนหน้านี้เขาไม่ปรารถนาให้ตัวเองเป็นคนของเผ่าเทียนเฟิ่น

หากเขาไม่ใช่คนของเผ่าเทียนเฟิ่น บางทีกู้ชูหน่วนก็อาจจะไม่ได้โกรธแค้นเกลียดชังอย่างลึกซึ้งขนาดนี้

ตอนนี้เป็นไปได้มากว่าเขาจะไม่ใช่คนของเผ่าเทียนเฟิ่น แต่ทำไมในจิตใจของเขาถึงได้ยังรู้สึกเป็นทุกข์ได้ขนาดนี้อีก