ตอนที่ 648 ศพปีศาจ โดย Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงขยับตัวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็กระตุ้นวิชาเงาร่างสามส่วนให้แยกร่างเป็นสองเงาก่อนพุ่งออกไปพร้อมกัน

แต่พอแขนของมนุษย์สีทองพร่ามัว ปราณกระบี่สีทองสายหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา

“ฟิ้ว!” เงาร่างเงาหนึ่งถูกแสงสีทองฟันจนสลายไป ส่วนอีกเงากลับยกแขนปล่อยโล่เล็กๆ ออกมา มันขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง และต้านทานปราณกระบี่ตรงหน้าไว้โดยตรง

แต่ขณะนั้นเอง เงามนุษย์สีทองก็พร่ามัวในฉับพลัน มันแยกร่างจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด พริบตาเดียวอากาศบริเวณนั้นก็มีเงาร่างมนุษย์สีทองที่มีลักษณะเหมือนกันปรากฏออกมาสิบกว่าเงา ทั้งยังสะบัดกระบี่ยาวพร้อมกัน ทันใดนั้นแสงกระบี่สีทองอันหนาแน่นก็พุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง และรวมตัวเป็นแม่น้ำสีทองสายหนึ่ง พริบตาเดียวโล่ยักษ์และหลิ่วหมิงที่อยู่ข้างหลังก็จมอยู่ใต้น้ำโดยสมบูรณ์

พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหูหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็กลับเข้ามาในห้องว่างเปล่าสีเทาอีกครั้ง

คิดไม่ถึงว่าหลังจากบรรลุระดับผลึกแล้ว เขายังคงพ่ายแพ้ให้กับจินเลี่ยหยางอีก ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก

จินเลี่ยหยางผู้นี้สมกับเป็นศิษย์แข็งแกร่งที่สุดที่พบเจอในรอบหมื่นปีของนิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ ฝีมือช่างไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถเช่นนี้ ครั้งหน้าเขาจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

เวลาต่อมา เขาเข้าไปต่อสู้กับจินเลี่ยหยางในแดนมายาอย่างดุเดือดอีกครั้ง และค่อยๆ ยกระดับพลังการต่อสู้ของตัวเอง

หลังจากพลังระดับผลึกอย่างหลิ่วหมิง เผชิญหน้ากับเงาร่างจินเลี่ยหยางที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายจนเข้าใจฝีมือของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจนแล้ว ย่อมมีแพ้มีชนะปะปนกันไป และสุดท้ายก็ชนะมากกว่าแพ้

……

วันนี้ หลิ่วหมิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับอย่างเงียบๆ อากาศรอบด้านสั่นสะท้านเบาๆ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว

“ฟู่!” “ฟู่!”

จะเห็นว่าไอดำสองสายม้วนตัวออกมาด้านข้างของหลิ่วหมิง มันคือแมงป่องกระดูกกับหัวบินนั่นเอง

“ดูท่าคงจะถึงเวลาแล้ว สิบหกปีพอดี ยังคงตรงต่อเวลาเช่นเดิม” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง หลังจากรู้สึกราวกับว่าโลกหมุนอย่างรุนแรง เขาก็มาปรากฏตัวในห้องลับภายในถ้ำที่พักอีกครั้ง

ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณสั่นสะเทือน พลังเวทอันบริสุทธิ์พวยพุ่งออกจากฟองอากาศลึกลับอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ จมเข้าไปในผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ด จนเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ถึงค่อยๆ หยุดลง

ฟองอากาศลึกลับส่งเสียงดังเบาๆ “ฟู่!” จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าแม้ว่าพลังเวทที่คืนกลับมาจะมีแค่ครึ่งเดียว แต่ระดับการฝึกฝนของตนเองไม่ได้ลดลงไปด้วย ยังคงอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นเช่นเดิม

นี่ย่อมเป็นเพราะว่าผลึกพลังเวทภายในร่างของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปมาก แม้จะถูกลดพลังเวทไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังรักษาระดับการฝึกฝนของตัวเองในตอนนี้ไว้ได้

และแมงป่องกระดูกกับหัวบินก็หมอบอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ร่างของมันจมอยู่ในไอดำอันพวยพุ่ง ไอดำนี้ดำมืดราวกับหมึก มันเกาะกันหนาทึบราวกับปรอท และค่อยๆ ก่อตัวเป็นน้ำวนอย่างช้าๆ

แม้หลิ่วหมิงจะมองเห็นสภาพภายในไม่ชัดเจน แต่อาศัยจิตที่เชื่อมกัน ทำให้รู้ว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองก็ได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก

ในช่วงเวลาสิบหกปีมานี้ วิชาแบ่งร่างของหัวบินพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย แม้ว่ายังคงแบ่งออกมาได้แค่เก้าร่าง แต่ทุกร่างก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว พลังของมันก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

และการโจมตีของหางตะขอหัวมังกรกับหมอกพิษของแมงป่องกระดูก ย่อมเพิ่มขึ้นมาเป็นทวี

เขาตบถุงหนังบนเอวเก็บอสูรเลี้ยงทั้งสองเข้าไปทันที

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจยาวออกมา

ในที่สุดภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สี่ปี เขาก็หาไอปีศาจแท้มาซ่อมแซม ‘กรงขัง’ ที่หลัวโหวพูดถึงได้อย่างเพียงพอ และยังเข้าสู่ระดับผลึกอย่างราบเรียบ ทั้งยังสนองความต้องการของฟองอากาศลึกลับที่ดูดกลืนพลังเวท ทุกอย่างนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างสบายใจ แต่ความจริงแล้วทุกย่างก้าวล้วนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่หยุด

ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะดีไปหมด แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าและกลัดกลุ้ม แม้กระทั่งในสมองยังผุดภาพการใช้ชีวิตในนิกายปีศาจในปีนั้น

นักพรตแซ่จงที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีเมื่อตอนมอบตัวเป็นศิษย์ในนิกาย เฉียนหรูผิงที่มอบตัวเป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ และจางซิ่วเหนียงที่จับพลัดจับผลูจนเกิดบุพเพกับเขาถึงเก้าชาติ ยังมีอาจารย์อาเย่ที่ดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งผู้นั้น……

หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่นาน ถึงส่ายศีรษะละทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็นำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่างอีกครั้ง

จะเห็นว่าบริเวณทะเลจิตวิญญาณ มีเงากระบี่เล็กๆ ลอยอยู่ มันคือจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุนั่นเอง

หลังผ่านการต่อสู้กับราชาโลหิตและซากโบราณในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์มา อานุภาพของตัวอ่อนกระบี่ที่สะสมมาหลายปี ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แม้ว่าจะผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้แล้ว ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

แต่ก็เป็นเพราะศึกที่ต่อสู้กับราชาโลหิตในครั้งนั้น ทำให้เขาเข้าใจถึงความร้ายกาจของตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุมากขึ้น ทำให้เขารู้สึกรอคอยถึงการหลอมสิ่งนี้เป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และการฝึกฝนวิชากระบี่บินอย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม

ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ในที่สุดก็มีเวลาพิจารณาถึงเรื่องการหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และการฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่บินที่แท้จริงแล้ว

ขณะที่หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ มือข้างหนึ่งก็ทำท่ามือทันที แสงสีเงินเปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ ทันใดนั้น คัมภีร์สีเงินเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา มันคือเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเล่มนั้นนั่นเอง

เขาดึงจิตกลับมาทันที และจมดิ่งเข้าไปในเคล็ดวิชากระบี่เล่มนี้ และเริ่มทำความเข้าใจอย่างเงียบๆ

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ เขาถึงค่อยๆ ดึงจิตออกมาจากคัมภีร์สีเงิน และแสดงแววตาแปลกๆ

เนื่องจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ส่วนที่สามารถอ่านได้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ตามที่บันทึกไว้ในนั้น วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ดรรชนีกระบี่ และพลังวิเศษพื้นฐานอื่นๆ ที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว หากจะฝึกฝนสายกระบี่ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ทางที่ดีต้องมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริง ถึงจะฝึกฝนได้ผลที่คุ้มค่า

ตอนนี้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพสุเมรุในร่างเขา ได้สูญสิ้นอานุภาพไปหมดแล้ว ไม่อาจใส่เข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตามเงื่อนไขขั้นพื้นฐานได้ จำเป็นต้องหาวิธีการอื่นชดเชยถึงจะได้

อีกอย่างกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงเล่มหนึ่ง นอกจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่เหมาะสมแล้ว ร่างที่ใส่ตัวอ่อนกระบี่ก็จำเป็นเช่นกัน

เขาเพียงแค่ใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ และผ่านการปรับแต่งหนึ่งรอบ ถึงจะสำเร็จเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มหนึ่ง

ตามที่บันทึกในคัมภีร์ พอหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงสำเร็จ มันจะมีคุณสมบัติเป็นต้นแบบอาวุธเวท อีกอย่างในแง่ของพลังการทำลาย จะอยู่เหนือต้นแบบอาวุธเวทประเภทอื่นๆ ด้วย

แต่ที่แตกต่างกับอาวุธเวทอื่นๆ ก็คือ หากผู้ฝึกกระบี่คิดจะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่เทียบเท่ากับอาวุธเวทประจำตัว และคาดหวังที่จะให้มันรวมเป็นหนึ่งกับจิตตนเองในอนาคต ร่างตัวอ่อนกระบี่ต้องหลอมด้วยตัวเองจะดีที่สุด

ร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอมออกมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นขนาดภายนอกล้วนปรับได้สมใจนึก เมื่อใส่ตัวอ่อนกระบี่เข้าไปจนกลายเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ถึงแสดงอานุภาพสิบสองส่วนของขีดจำกัดในช่วงแรกได้ ซึ่งเหนือชั้นกว่าต้นแบบอาวุธเวทที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้มาก

ตอนที่หลิ่วหมิงก้าวเข้ามาในโลกของผู้ฝึกฝนได้ไม่นาน ก็มองเห็นวิชาขี่กระบี่ที่ทรงพลังของเย่เทียนเหมยแล้ว ประกอบกับประสบการณ์ต่างๆ ในภายหลัง เขาย่อมตัดสินใจหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณมาเป็นอาวุธเวทของตนเอง

แม้ว่าโล่เก้ากะโหลกก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทที่มีอานุภาพไม่เลว แต่เพราะว่ามันเป็นอาวุธป้องกัน จึงห่างไกลจากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่มีประโยชน์ต่อเขากว่ามาก

มีเพียงแต่วิธีการเช่นนี้ ถึงจะฝึกฝนพลังต่างๆ ของวิชากระบี่ในคัมภีร์ได้

แต่เช่นนี้แล้ว เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาสองข้อ

ข้อแรกคือการฟื้นฟูอานุภาพของตัวอ่อนกระบี่ นอกจากบ่มเพาะภายในร่างต่อแล้ว หากยังมีวิธีการอื่นๆ สามารถชดเชยความเสียหายในก่อนหน้าได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

และปัญหาอีกอย่างก็คือ ปัญหาเรื่องการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่แล้ว

หากจะทำทั้งสองสิ่งนี้ให้สำเร็จ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ปัญหาอย่างแรกไม่ต้องพูดอะไรมาก หากไม่มีวิธีการฟื้นฟูล่ะก็ เกรงว่าคงต้องค่อยๆ รอไปอีกนาน ส่วนปัญหาข้อหลังก็จำเป็นต้องรวบรวมวัสดุกับวิธีการหลอมร่างกระบี่ถึงจะได้

ที่น่าเสียดายก็คือ ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งบันทึกแค่วิธีการหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุเท่านั้น ส่วนวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่กลับไม่กล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย

หากหลิ่วหมิงอยากจะหลอมกระบี่บินเป็นอาวุธเวทประจำตัวล่ะก็ คงได้แต่หาวิธีการหลอมอื่นที่เหมาะสมด้วยตนเองแล้ว

หลังจากนั่งคิดอยู่นาน เขาก็แอบตัดสินใจได้แล้ว

ต่อมาหลิ่วหมิงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบยันต์เก็บของขึ้นมา และขยี้จนแตกกระจาย

หลังจากแสงสว่างม้วนตัวออกไป ซากศพแห้งเหี่ยวศพหนึ่งก็ปรากฏบนพื้น มันคือศพของมนุษย์ปีศาจที่เขาพบเจอในซากโบราณในเมืองเทียนเหย่นั่นเอง

ตั้งแต่ได้ศพนี้มา เขามัวแต่เตรียมทะลวงระดับผลึก และเตรียมพร้อมสำหรับเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ จึงไม่ได้ทำการศึกษามันอย่างละเอียด ตอนนี้นับว่าพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง จึงเตรียมทำการศึกษาสักรอบ

พอเขากวาดสายตามองดู ก็ค้นพบว่าศพนี้มีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปหนึ่งเท่ากว่าๆ ผิวหนังสีเหลืองแห้งติดกับกระดูก เบ้าตากลายเป็นรูสีดำลึกๆ ที่น่าประหลาดใจก็คือบนศีรษะยังมีผมสีเหลืองบางๆ ที่ยาวไม่กี่ชุ่น

แต่หากมองดูอย่างละเอียด ก็สามารถมองเห็นลวดลายปีศาจสีดำจางๆ ปรากฏอยู่บนผิวแห้งๆ หูทั้งสองเป็นสีดำ และแหลมกว่าคนปกติเล็กน้อย

หลังจากหลิ่วหมิงมองดูแล้วก็แอบกระซิบอยู่ในใจ

“นี่คือมนุษย์ปีศาจที่แท้จริงหรือ! ว่าแต่ทำไมถึงดูไม่ออกว่าตอนมีชีวิตเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์!”

เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็เอานิ้วแตะระหว่างคิ้วทันที ทันใดนั้น พลังจิตอันแข็งแกร่งก็ถูกปล่อยออกมา เพื่อเข้าไปตรวจสอบดูร่างภายในของศพ

“เอ๊ะ!”

ผ่านไปสักพัก สีหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป และต้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้

ไม่รู้ว่าผิวหนังแห้งเหี่ยวนี้มีความพิเศษอันใด ถึงกีดกั้นจิตรับรู้ของเขาไว้ ดูเหมือนว่าไม่สามารถเจาะเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พริบตาที่จิตรับรู้ของเขาสัมผัสกับผิวหนังแห้งเหี่ยวนั้น ก็รับรู้ถึงพลังอันน่าตกใจที่แฝงอยู่ในนั้นอย่างลางๆ อานุภาพที่แฝงอยู่ในนั้นแข็งแกร่งมาก จนทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจสั่นสะท้าน

แต่ดวงตาหลิ่วหมิงกลับฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด

แม้จะไม่รู้ที่มาของศพปีศาจนี้ แต่ว่าศพของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา มูลค่าของมันสูงมาก สูงจนพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนสายปีศาจหรือสายศพเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาได้

หากนำไปประมูลในตลาด เกรงว่าอาจเริ่มต้นประมูลที่ราคาหลายสิบล้านก็เป็นไปได้ ทั้งยังเป็นสิ่งของที่ไม่มีในตลาด ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสิ่งของเช่นนี้ ย่อมไม่แสดงให้คนอื่นเห็นโดยได้ง่าย ดังนั้นอย่าได้พูดถึงการนำไปประมูลเลย

หลิ่วหมิงย่อมไม่คิดจะขายมันอยู่แล้ว แต่ในเมื่อจิตรับรู้ไม่อาจเจาะเข้าไปด้านในได้ เขาย่อมไม่ยอมละทิ้งไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

หลังจากเก็บสีหน้าตกใจเข้าไปแล้ว เขาก็คิดไตร่ตรองอีกเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกสีดำออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วนหนึ่งอัน

มันคือเคล็ดฝึกศพที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างอาจารย์อาเยี่ยนในนิกายปีศาจมอบให้เขาในตอนนั้น ในนั้นบันทึกและแนะนำเคล็ดวิชาปรับแต่งศพไว้จำนวนไม่น้อย

………………………………