บทที่ 1428 หน้าที่อันงดงามเลยนะ!

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1428 หน้าที่อันงดงามเลยนะ! Ink Stone_Fantasy

เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างสงสัย นั่นก็คือที่ทัพเป่ยโต้วเนี่ยอู๋เซี่ยวอยู่ถึงตำแหน่งนี้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้สร้างผลงานใหญ่อะไร ถ้าจะไปว่าไปเป็นรองหัวหน้าภาคทัพเป่ยโต้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ รองหัวหน้าภาคทัพเป่ยโต้วล้วนเป็นนักพรตระดับบงกชกลาย เนี่ยอู๋เซี่ยวยังห่างจากระดับนั้นไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าจะใช้ผลงานเล็กน้อยมาเสริมชดเชยได้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะสืบข่าวดูสักหน่อย

เนี่ยอู๋เซี่ยวเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปากแข็ง “รายละเอียดว่าไปที่ไหนข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ฟังจากท่านหัวหน้าภาค อำนาจท้องถิ่นเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง มีหลายตำแหน่งที่กำลังจะเผชิญหน้ากับการปรับเปลี่ยนในวงกว้าง หน่วยองครักษ์ซ้ายขวากำลังจะย้ายคนจำนวนไม่น้อยไปรับตำแหน่ง ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวแล้ว ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน กำลังจะย้ายไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาค”

เดิมทีเขาไม่อยากจะพูดสิ่งเหล่านี้ เพียงเพราะพิจารณาถึงสถานการณ์ที่ซับซ้อนของอำนาจท้องถิ่น อวี่จ้งเจินเปิดเผยล่วงหน้าแล้ว ว่าให้เขาเตรียมใจไว้ให้ดี บอกว่าอำนาจท้องถิ่นไม่มีทางยอมถอยให้แต่โดยดีแน่ การต่อสู้ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ฝั่งหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่สะดวกจะเข้าไปแทรกแซงอำนาจท้องถิ่นโดยตรงเพื่อช่วยเหลือ แต่กลับจะส่งคนไปสนับสนุนทันที และคนที่เนี่ยอู๋เซี่ยวต้องการก็ย่อมเป็นลูกน้องเก่าของตัวเอง ถ้าค่อนข้างเข้าใจกันก็จะใช้งานได้อย่างวางใจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาถอดกำลังพลของอำนาจท้องถิ่นทิ้งทั้งหมดโดยไร้เหตุผลทันทีที่ไปถึง เป็นไปไม่ได้ที่เริ่มแรกจะพาคนไปด้วยเยอะขนาดนั้น อีกทั้งถ้าหากในตอนหลังจะดึงคนมาด้วย ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเหมียวอี้จะปล่อยคนมาหรือไม่ ดังนั้นคิดไปคิดมาก็สานสัมพันธ์อันดีกับเหมียวอี้เอาไว้ดีกว่า อย่าให้ถึงเวลานั้นแล้วโดนเหมียวอี้บีบคอ

และด้วยเหตุนี้เอง เวลาพูดคุยกันตอนนี้ถึงได้ดูค่อนข้างเท่าเทียมกัน เหมือนเป็นการสื่อสารของคนระดับเดียวกัน ไม่วางมาดผู้บังคับบัญชาต่อเหมียวอี้อีก

“อ๋อ!” เหมียวอี้พยักหน้า เขาพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตลาดผี ในบรรดาคนที่ติดกับดักพวกนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามีขุนนางในตำหนักสวรรค์กี่คนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ตามหลักการแล้วยังเป็นไปไม่ได้ที่คนระดับแม่ทัพภาคจะไปวางหมากที่ตลาดผี และไม่มีความสามารถในการเข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนติดกับดักที่ตำหนักสวรรค์วางไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกวาดล้างบุคคลระดับสูงกว่านั้น พอเบื้องบนโดนกวาดล้าง คนที่รับตำแหน่งใหม่ก็ย่อมเป็นคนของตัวเองที่อยู่ระดับล่าง นั่นก็หมายความว่าจะต้องเจอกวาดล้างเป็นทอดๆ เช่นกัน เกรงว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวคงจะได้อาศัยบารมีนี้

แต่อาศัยศักยภาพและวรยุทธ์อย่างเนี่ยอู๋เซี่ยว การย้ายไปเป็นแม่ทัพภาคให้อำนาจท้องถิ่นก็ถือว่าลดศักดิ์ศรีนิดหน่อย แต่เกรงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงต้องย้ายกลุ่มคนแบบนี้ไปถึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง แบบนี้ก็เท่ากับว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวได้รับภารกิจที่จะได้ผลตอบแทนมากมาย ถ้าทำได้ดี การเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคของอำนาจท้องถิ่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ถึงอย่างไรคุณสมบัติในด้านต่างๆ ก็มีครบแล้ว ขาดแค่บันไดในการเลื่อนตำแหน่งอย่างเดียว อยู่ที่กองทัพองครักษ์มีการแข่งขันกันเยอะเกินไป

ถ้าผ่านอุปสรรคด่านนี้ไปได้ กลายเป็นหัวหน้าภาคของอำนาจท่องถิ่นแล้ว แบบนั้นก็ถือว่าได้เป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว ได้ส่วนแบ่งดาราจักรให้ปกครอง เหมือนกับเฉาว่านเสียงสามีของมู่หรงซิงหัว ได้ควบคุมดาราจักรผืนใหญ่มาก มีสรรพสิ่งที่อยู่ใต้สังกัดนับไม่ถ้วน มีจวนราชการของตัวเอง มีสุรานารีจัดให้ตามอำเภอใจ ขอเพียงไม่กลัวว่าหลังบ้านจะไฟลุก จะเลี้ยงอนุภรรยาแสนสวยไว้ในบ้านเยอะเท่าไรก็ได้ ไม่เหมือนตอนที่อยู่กองทัพองครักษ์ ยกตัวอย่างเช่นเฟยหงอนุภรรยาของเหมียวอี้ นางทำได้เพียงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในค่าย ไม่สามารถเพ่นพ่านไปทั่วได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลกระทบที่ไม่ดี ชีวิตที่กองทัพองครักษ์ก็เหมือนพระที่บำเพ็ญทุกรกิริยา

แต่จะว่าไปแล้ว แม้แต่มังกรที่แข็งแกร่งก็ข่มงูเจ้าที่ได้ยาก ทั้งนี้ทั้งนั้นยังต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวสามารถยืนหยัดอยู่กับอำนาจท้องถิ่นอย่างมั่นคงได้ อย่าให้ท่านโหวที่อยู่เบื้องบนกวาดล้างตำแหน่งหัวหน้าภาคจนหมด ไม่อย่างนั้นเนี่ยอู๋เซี่ยวก็จะควบคุมไม่ได้แม้แต่แม่ทัพภาคในอาณาเขตตัวเอง แบบนั้นจะเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไรล่ะ?

พอคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็กุมหมัดพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “สงสัยนายท่านกำลังจะกลายเป็นเจ้าอาณาเขตที่ไนหสักแห่งแล้ว กำลังจะได้ใช้ชีวิตสุขสันต์หรรษาแบบสุรานารีไม่ขาด”

เนี่ยอู๋เซี่ยวเผยรอยยิ้มอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย แล้วบอกว่า “ตอนนี้เจ้ากับข้าอยู่ระดับเดียวกันแล้ว ไม่ต้องเรียกว่า ‘นายท่าน’ อีก ต่อไปเรียกเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะ น้องหนิวได้รับช่วงต่อกองมังกรดำแล้ว ในภายหลังอาจจะมีบางจุดที่ต้องขอให้น้องหนิวช่วยเหลือ”

เหมียวอี้แววตาวูบไหวเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นเรียก ‘น้องหนิว’ เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ไม่คร่ำครึหัวโบราณด้วย สงสัยนี่จะเป็นศักยภาพแฝงของคนที่ได้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาค

เหมียวอี้เอามือตบหน้าอกทันที “ถ้ามีจุดไหนที่จะใช้งาน พี่เนี่ยก็บอกมาได้เลย”

สิ่งที่เนี่ยอู๋เซี่ยวต้องการก็คือคำพูดแบบนี้จากเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเฝ้ารอเขาอยู่ที่นี่ จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ในปีนั้นน้องหนิวต่อสู้ดิ้นรนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าก็รู้เรื่องขัดแย้งของอำนาจท้องถิ่น ข้าย้ายไปที่นั่นแล้วมีพวกน้อยกำลังอ่อนแอ หัวเดียวกระเทียมลีบ อีกหน่อยยังต้องขอย้ายลูกน้องเจ้าจากมือน้องหนิวไปด้วย”

เหมียวอี้ทำท่าเหมือนเข้าใจหลักการ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว การนำคนไปด้วยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

เนี่ยอู๋เซี่ยวส่ายหน้า “ไม่ใช่พาผู้ติดตามไปรับตำแหน่งด้วยเท่านั้นนะ ตามหลักการแล้ว ถ้าข้าพาไปสิบคนก็ไม่พอให้ใช้งานเลย อำนาจดั้งเดิมของที่นั่นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก อาจจะต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งข้างบนทั้งข้างล่าง ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะสื่อก็คือ หลังจากข้าหาที่ลงได้แล้ว ถ้าบุกเบิกเรื่องต่างๆ ได้แล้ว ก็ต้องรีบควบคุมสถานการณ์เบื้องล่างเร็วๆ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะต้องย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ของน้องหนิวไป” เขายกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ให้ข้าอีกหนึ่งพันคน!”

หนึ่งพันคน? เหมียวอี้รู้สึกลำบากใจนิดหน่อย เขาเข้าใจความคิดของเนี่ยอู๋เซี่ยว อีกฝ่ายอยากเปลี่ยนคนในตำแหน่งสำคัญทั้งข้างล่างข้างบนให้เป็นคนของตัวเองทั้งหมดหลังจากไปอยู่ที่อำนาจท้องถิ่นแล้ว จะได้ควบคุมสถานการณ์ได้สะดวก แต่ขอเท่านี้ก็อาจจะเยอะไปหน่อย นี่คือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ไม่ใช่กองทัพส่วนตัวของเขา ถ้าปล่อยกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ออกไปหนึ่งพันคนในรวดเดียว แล้วจะให้เขาอธิบายกับเบื้องบนอย่างไรล่ะ?

เขาตอบอย่างลังเลว่า “พี่เนี่ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำนะ แต่ลักษณะของกองทัพองครักษ์เป็นยังไงท่านก็รู้ดีกว่าข้าเสียอีก ท่านจะย้ายไปหนึ่งพันคนในรวดเดียว เรื่องบางอย่างข้าก็รับผิดชอบไม่ไหว”

เนี่ยอู๋เซี่ยวคว่ำฝ่ามือลงพร้อมบอกว่า “น้องชายคิดมากไปแล้ว ที่ข้ามารอน้องหนิวอยู่ที่นี่ก็เป็นประสงค์ของท่านหัวหน้าภาคเช่นกัน มีบางเรื่องที่ท่านหัวหน้าภาคอยากจะให้ข้าตกลงกับเจ้าไว้ก่อน เมื่อถึงตอนนั้นจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าทำงานไม่ราบรื่นจนทำงานใหญ่ของเบื้องบนพัง ขอเพียงน้องหนิวไม่ขัดขวาง เบื้องบนจะต้องอนุมัติเรื่องนี้อย่างไม่ลังเลแน่นอน!”

เขากลัวจริงๆ ว่าเมื่อถึงเวลาสำคัญเหมียวอี้จะกลั่นแกล้ง แต่เมื่อมีเบื้องบนคอยกดดัน เขาก็ไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะไม่ปล่อยคน ถ้าเหมียวอี้จงใจจะหาเรื่องยื้อเวลาก็ไม่มีปัญหาเลย เรื่องบางเรื่องอวี่จ้งเจินได้บอกเขาไว้ชัดเจนมากแล้ว ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ไม่มีทางเป็นฝ่ายส่งต่ออำนาจให้ก่อนอย่างตรงไปตรงมาแน่ ถ้าเจอปัญหาเล็กน้อยก็สามารถโต้กลับได้ทันที ถ้ายามหน้าสิ่วหน้าขวานเขาต้องการให้คนของตัวเองคอยต้านเบื้องบนให้ แต่เหมียวอี้กลับกำลังจงใจถ่วงเวลา…

เหมียวอี้เข้าใจในทันที เป็นตัวเองที่คิดมากไปจริงๆ ด้วย ประมุขชิงกำลังแย่งชิงอำนาจ กองทัพองครักษ์จะต้องสนับสนุนเรื่องปล่อยคนแน่นอน จึงพยักหน้าทันที “พี่เนี่ยไม่ต้องห่วง ขอเพียงเบื้องบนไม่มีปัญหา แล้วคนของกองมังกรดำยินดีตามท่านไป พี่เนี่ยอยากได้ไปเท่าไรข้าก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น จะสนับสนุนเต็มที่”

“ดี! ตกลงตามนี้!” เนี่ยอู๋เซี่ยววางใจแล้ว ขณะเดียวกันก็ยื่นหมูยื่นแมว “ผู้ติดตามสิบคนข้ายังไม่พาไปด้วยตอนนี้หรอก ให้พวกเขาพยายามช่วยน้องหนิวให้รับช่วงต่อกองมังกรดำได้อย่างราบรื่นก่อน รอให้อำนาจท้องถิ่นที่ข้าไปขาดคนก่อน แล้วค่อยพาคนไปอีกที”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วดีใจมาก เขาขาดคุณสมบัติและประสบการณ์ ศักยภาพวรยุทธ์ก็ไม่มี กำลังกังวลถึงปัญหาว่าจะรับช่วงต่อกองมังกรดำได้หรือไม่ ตอนนี้มีลูกน้องเก่าของเนี่ยอู๋เซี่ยวสนับสนุน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลแล้ว กุมหมัดคารวะกล่าวขอบคุณ “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”

เนี่ยอู๋เซี่ยวก็อารมณ์ดีเช่นกัน ตบบ่าเขาแล้วบอกว่า “ไปกันเถอะ! ท่านหัวหน้าภาครู้ว่าเจ้าจะมา กำลังรอเจ้าอยู่ข้างใน”

ทั้งสองเข้าไปด้วยกัน พอเข้าไปในลานบ้านด้านในก็เห็นผู้ตรวจการใหญ่อวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วกำลังชมดอกไม้อย่างสบายใจ

เมื่อเห็นทั้งสองดูกระปรี้กระเปร่าและมีสีหน้ายินดี อวี่จ้งเจินก็ยิ้มบางๆ รู้ว่าทั้งสองเจรจาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว

นี่ก็คือสิ่งที่เขาอยากจะเห็น ครั้งนี้เทียบกับสถานการณ์ตอนที่เหมียวอี้เพิ่งมาที่กองมังกรดำแล้วโดนกลั่นแกล้งไม่ได้ เจตนาของเบื้องบนในครั้งนี้ก็คือ อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องมารบกวนเหมียวอี้ ต้องการให้เหมียวอี้รับช่วงต่อกองมังกรดำอย่างราบรื่น ขณะเดียวกันก็ต้องการให้มีการสนับสนุนเนี่ยอู๋เซี่ยวหลังจากที่ไปถึงอำนาจท้องถิ่นแล้ว เรื่องนี้สำคัญกว่าการรับช่วงต่อกองมังกรดำของเหมียวอี้

อวี่จ้งเจินจะต้องทำให้ความประสงค์ของเบื้องบนเป็นความจริงให้ได้ เขาไม่อยากให้สองคนนี้ถ่วงความเจริญกันจนทำเสียเรื่องในภายหลัง ดังนั้นจึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง

หลังจากเจอหน้ากันและพูดคุยเรื่องเบาสมองแล้ว เหมียวอี้ก็ถามเข้าประเด็นหลัก “ก่อนหน้านี้ท่านหัวหน้าภาคบอกว่ากองมังกรดำมีภารกิจใหม่ ไม่ทราบว่าภารกิจอะไรขอรับ?”

“ภารกิจครั้งนี้เป็นหน้าที่อันงดงามนะ!” อวี่จ้งเจินพูดหยอก

อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย ขนาดเนี่ยอู๋เซี่ยวก็ยังแปลกใจ “พอข้าไปก็มีหน้าที่อันงดงามทันทีเลยเหรอ ไม่ทราบว่าเป็นหน้าที่อันงดงามยังไง?”

อวี่จ้งเจินเอามือไขว้หลัง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หลายพันปีก่อน ดาวไร้ลักษณ์ที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก หลังจากมีสวนบรรณาการแห่งหนึ่งโดนฝูงโจรปล้น ตำหนักสวรรค์ก็ทำกับ ‘สวนบรรณาการ’ ทุกที่ให้เหมือน ‘อุทยานหลวงของวัง’ โดยให้กองทัพองครักษ์ที่ยังไม่มีภารกิจผลัดกันไปเฝ้าสวน ก็เท่ากับว่าถูกควบคุมจากกองทัพองครักษ์โดยตรง ครั้งนี้เบื้องบนจับฉลากให้กองมังกรดำของพวกเจ้าไปเฝ้าพอดี”

เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ตอนนี้เขาย่อมรู้ว่าสวนบรรณาการกับอุทยานหลวงคืออะไร สวนบรรณาการของดาวไร้ลักษณ์นี้ เขาเป็นคนปล้นเอง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร? สวนบรรณาการก็คือสวนชนิดหนึ่งที่ปลูกผลไม้เซียนเพื่อบรรณาการให้เบื้องบน ส่วนอุทยานหลวง ก็คือสวนป่าส่วนตัวที่อยู่ในบ้านของราชันสวรรค์

คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม “นายท่าน ไปเฝ้าสวนจะนับว่าเป็นหน้าที่อันงดงามอะไรกัน? จากที่ข้ารู้ว่า สวนบรรณาการกระจายอยู่ไม่ต่ำกว่าพันแห่ง แบบนี้ต้องกระจายกำลังพลของกองมังกรดำไม่ใช่เหรอ?”

อวี่จ้งเจิน “สวนบรรณาการหนึ่งแห่งต้องการคนเฝ้าไม่เยอะเท่าไรหรอก มีค่ายกลป้องกัน แต่ละที่ให้ผู้บังคับการกองร้อยนำคนไปเฝ้าก็เพียงพอแล้ว สวนบรรณาการหนึ่งพันแห่งก็ต้องการกำลังพลหนึ่งแสนเช่นกัน จุดสำคัญจริงๆ ก็คืออุทยานหลวง นั่นต่างหากคือจุดที่ต้องมีกำลังพลจำนวนมากเฝ้า นั่นคือสถานที่ที่ราชันสวรรค์เอาไว้เที่ยวเล่นทำนา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะมีโอกาสได้เจอหญิงงามของสวรรค์ก็ได้นะ ล้อมเลี้ยงสัตว์แปลกๆเอาไว้นานาชนิด ปลูกผลไม้เซียนไว้นานาชนิด ทิวทัศน์งดงามจนมองเท่าไรก็ไม่พอจริงๆ การไปเฝ้าหนึ่งครั้งก็ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่เลยล่ะ ในอุทยานหลวงมีเทพธิดาผู้งดงามมีเสน่ห์มากมายที่เฝ้าหมอนนอนเดียวดาย แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็ไม่เคยว่าอะไรพี่น้องของกองทัพองครักษ์ คนที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่สามารถอุ้มเทพธิดาที่งามเลิศล้ำของที่นั่นไปได้ง่ายๆ เลย

ในฐานะที่เจ้าเป็นแม่ทัพภาคที่เฝ้าอุทยานหลวง ก็ยิ่งเหมือน ‘หอคอยที่ใกล้น้ำ ได้พระจันทร์ก่อน’ อยู่แล้ว ด้วยเมตตาของราชันสวรรค์ ขุนนางใหญ่ของราชสำนักทุกคนที่นั่นล้วนมีสวนของตัวเองหนึ่งแห่งอยู่ที่นั่น ถ้าอยู่ที่นั่นจะมีโอกาสเจอขุนนางใหญ่ๆ บ่อย ถ้าอีกฝ่ายพอใจก็จะตบรางวัลให้เจ้าได้ตามสบาย ดีกว่าที่เจ้าไปต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอีก ต้องดูว่าเจ้าจะตามีแววหรือเปล่า เออใช่ ที่นั่นยังมีสวนท้ออีกสามพันลี้ ปลูกแต่ท้อเซียนทั้งนั้น ข้าได้ยินว่าเจ้าสนใจท้อเซียนมากไม่ใช่เหรอ ทุ่มไปตั้งห้าพันล้านผลึกแดงเพื่อท้อเซียนหนึ่งร้อยลูกใช่มั้ย?”

ดีขนาดนั้นเชียวเหรอ? เนี่ยอู๋เซี่ยวฟังจนน้ำลายแทบไหล จู่ๆ ก็ได้ยินแบบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะมองเหมียวอี้อย่างตกใจ อย่าบอกนะว่าคนที่ทุ่มห้าพันล้านผลึกแดงประมูลซื้อท้อเซียนคือเจ้าเวรนี่?

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก

อวี่จ้งเจินกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าชอบกินท้อเซียนก็จัดการง่ายเลย เฝ้าสวนท้อเซียนสามพันลี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะได้แอบกินจนอิ่ม ยังกลัวจะไม่ได้กินท้อเซียนอีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง แม่บุญธรรมของอนุภรรยาเจ้าก็เป็นคนดูแลสวนบรรณาการกับอุทยานหลวงพอดีไม่ใช่เหรอ การชิมผลไม้เซียนใหม่ๆ หลายชนิดก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ทหารยามทั่วไปเกรงว่าจะโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเพราะไม่สะดวกจะพาผู้หญิงเข้าไป แต่ถ้าพาอนุภรรยาเจ้าไปหาแม่บุญธรรมก็สามารถผ่อนผันได้อยู่แล้ว”

…………………………