บทที่ 700 พวกเราทุกคนล้วนมีงานทำกันหมด ไม่ทราบว่าเจ้ามีหน้าที่ทำอะไรบ้าง?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 700 พวกเราทุกคนล้วนมีงานทำกันหมด ไม่ทราบว่าเจ้ามีหน้าที่ทำอะไรบ้าง?

เมื่อหลินเป่ยเฉินพูดจบแล้ว และเห็นว่ายังไม่มีใครรับประทานผลแก้วมังกรสวรรค์สักชิ้นเดียว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับความหวาดระแวงของกลุ่มคนเหล่านี้ ก่อนจะปรับเปลี่ยนน้ำเสียงและวิธีการพูดให้กลายเป็นจริงจังมากยิ่งขึ้น “แต่ที่สำคัญก็คือ ข้าเป็นผู้ช่วยเหลือผู้คนในเขตผู้อพยพให้รอดพ้นจากความตาย ซึ่งแม้แต่พวกขุนนางใหญ่โตก็ยังไม่สามารถทำได้มาก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า นับจากนี้ไป พื้นที่เขตสองก็จะตกอยู่ภายใต้การดูแลของข้าโดยสมบูรณ์ และมันคงจะไม่ใช่เรื่องเหนือจริงมากเกินไป หากจะเรียกขานข้าว่าท่านราชันย์แห่งผู้อพยพ”

“ราชันย์แห่งผู้อพยพ?”

พานเว่ยหมินหันกลับมากระซิบถามหลิวฉีไห่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “มันหมายความว่าอย่างไร?”

หลิวฉีไห่นิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ให้คำตอบ “หมายความว่าพวกเราก็ยังเป็นผู้อพยพเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“อ้อ”

พานเว่ยหมินพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างอาจารย์ทั้งสองท่าน ก่อนจะหยิบแก้วมังกรชิ้นใหม่ส่งเข้าไปในปาก แล้วกล่าวต่อ “สำหรับราคาที่ข้าต้องจ่ายนั้น ก็คือการสัญญากับพี่ใหญ่เกาว่าจะส่งกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองไปช่วยเพิ่มกำลังทหารประจำกำแพงเมือง เพื่อรับมือการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม พวกเราจะแบ่งกองกำลังออกเป็นห้าถึงหกกลุ่ม และประจำการอยู่ตามกำแพงเมืองชั้นต่างๆ หลังจากนั้น พวกเราก็จะได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นชาวนครเจาฮุยโดยสมบูรณ์”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น

หมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้เปรียบเสมือนชุมชนมังกรซ่อนพยัคฆ์

ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของยอดฝีมือจำนวนมาก

นับดูในโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดจะเหมาะสมต่อการเป็นกำลังเสริมให้แก่ประเทศชาติได้มากไปกว่าผู้คนในค่ายที่พักแห่งนี้อีกแล้ว

ต้องขอบคุณระบบการศึกษาของจักรวรรดิเป่ยไห่ ที่ปลูกฝังให้มือกระบี่ทุกคนมีความรักชาติหมดหัวใจ

สถานการณ์ของชาวเมืองหยุนเมิ่งในขณะนี้เริ่มอยู่ตัวแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่คิดอะไรให้วุ่นวายมากความ เดิมทีทุกคนก็ตั้งใจว่าเมื่อลงหลักปักฐานเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็จะอาสาออกไปเป็นทหารรักษากำแพงเมืองอยู่แล้วเช่นกัน

“และในเวลาเดียวกันนี้ ข้าก็ยังรับปากว่าจะขายโอสถเป่ยเฉินให้แก่กองทัพของนครเจาฮุยโดยลดพิเศษครึ่งราคา ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะมีมูลค่าตกเม็ดละ 50 เหรียญเงินเท่านั้น …และคุณชายฉุยหมิงโหลวจะเป็นคนรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ทั้งหมด”

หลินเป่ยเฉินกล่าว

ฉุยหมิงโหลวประสานมือคำนับรับคำว่า “ข้าน้อยรับคำบัญชา”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างสบายใจ “จริงด้วยสิขอรับ ท่านเจ้าเมืองฉุย ในฐานะที่ท่านเคยบริหารงานราชการมาก่อน และช่วยชีวิตชาวเมืองเอาไว้จำนวนมากยามดำรงตำแหน่ง ข้าจึงอยากจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยประจำค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ไม่ทราบว่าท่านสนใจรับงานนี้หรือไม่?”

ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น “ข้าขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด”

ตัวเขาสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด จำเป็นต้องกลับมาเริ่มต้นฝึกฝนใหม่ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน

แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังทำกับเขาเสมือนเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเหมือนเดิม

ส่วนเรื่องที่บอกว่าเขาเคยช่วยชีวิตชาวเมืองเอาไว้จำนวนมากยามดำรงตำแหน่งนั้นอีกเล่า?

ฉุยเฮาเฟิงรู้สึกตื้นตันใจจริงๆ

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ฉุยเฮาเฟิงคาดเดาไม่ได้เลยว่าแผนการขั้นต่อไปของเด็กหนุ่มคืออะไรกันแน่ แต่เห็นได้ชัดว่าการเป็นพันธมิตรกับทางนครเจาฮุย ก็ได้เปลี่ยนแปลงสถานะให้หมู่บ้านผู้อพยพเล็กๆ แห่งนี้ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองเรียบร้อยแล้ว

และไหนจะโครงการก่อสร้างมากมายหลายรูปแบบที่หลินเป่ยเฉินออกแบบเอาไว้อีก

ฉุยเฮาเฟิงเห็นข้อมูลทุกอย่างมาจากในสมุดบันทึกของเถียนเถียน

เช่นเดียวกับรายละเอียดงานที่ถูกส่งมอบต่อกลุ่มคนงานก่อสร้าง

เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินคงกำลังคิดขยับขยายค่ายที่พักแห่งนี้ให้ใหญ่โตมากขึ้น ทั้งในด้านอาณาเขตบริเวณและสถานะของผู้คน

เมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ ฉู่เหินก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “พวกเราทุกคนล้วนมีงานทำกันหมด ไม่ทราบว่าเจ้ามีหน้าที่ทำอะไรบ้าง?”

“ข้ามีหน้าที่กินแล้วนอน นอนแล้วตื่นขึ้นมาฝึกวิชา ฝึกวิชาเสร็จแล้วก็สวดมนต์ สวดมนต์เพื่อให้เทพีกระบี่อวยพรต่อพวกเราทุกคนไงล่ะ”

หลินเป่ยเฉินตอบเสียงเรียบ

เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบของเด็กหนุ่ม พวกเขาก็ต้องหันมองหน้ากัน

สมแล้วที่เป็นคำตอบจากปากของหลินเป่ยเฉิน

เพราะมีแต่เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ ที่จะตอบอะไรแบบนี้ออกมาได้

แต่แน่นอนว่ามีสิ่งหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดออกมา

หน้าที่สำคัญหลังจากนี้ของเขา ก็คือการก่อสร้างสถานศึกษาให้เสร็จทันเวลา

เพราะมีแต่สร้างสถานศึกษาได้สำเร็จ และรับลูกศิษย์ในจำนวนที่กำหนดให้ครบถ้วนเท่านั้น จึงจะถือว่าเขาทำภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep สำเร็จลุล่วงด้วยดี

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็จะได้เลื่อนระดับพลัง

ถ้าโชคดี เขาอาจกระโดดขึ้นไปอยู่ในขั้นเซียนก็เป็นได้

เมื่อถึงตอนนั้น ก็ได้เวลาบุกไปล้างแค้นเว่ยหมิงเฉินเสียที

หลังจากแจกแจงแผนงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป

หลินเป่ยเฉินกินแก้วมังกรสวรรค์จนอิ่มท้อง ดวงตาของเขาจ้องมองแก้วมังกรอีกกองใหญ่ที่ไม่มีใครแตะต้องบนโต๊ะประชุม หลังนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็สั่งออกมาว่า

“เอาไปให้เสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานซะ หากมีเหลือ เอาไปให้เจ้าลูกเสือด้วยก็ได้”

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”

เฉียนเหมยรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

นางกำลังพยายามเต็มที่เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ของตนเองในสายตาคุณชายหลินกลับคืนมา

หลินเป่ยเฉินสวมใส่ชุดนอนเดินออกมานอกกระโจมที่พัก

บนยอดไม้ได้ต่อเติมระเบียงสำหรับนั่งเล่นออกมาเล็กน้อย

ในฐานะผู้นำของค่ายที่พักแห่งนี้ และเด็กหนุ่มก็ทำงานหนักเสมอมา นั่นจึงส่งผลให้บรรดานายช่างและคนงานดัดแปลงต้นสนยักษ์ต้นนี้ ให้กลายเป็นต้นไม้ในฝันตามความปรารถนาของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินนั่งมองดวงจันทร์และหิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าครู่หนึ่ง ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู

เขาเปิดเข้าไปในแอปเจิ้นอ้ายหว่าง

หืม?

มีข้อความถูกส่งมาหาเขาเยอะทีเดียว

และธิดาอู๋ไห่จือตี้ก็อัพเดทสเตตัสใหม่อีกครั้ง

เด็กหนุ่มยังไม่กดอ่านข้อความส่วนตัว แต่เขากดเข้าไปดูก่อนว่าธิดาอู๋ไห่จือตี้อัพสเตตัสอะไร

สเตตัสที่เขาพบก็คือมันเป็นการโพสต์ข้อความประกอบรูปภาพ ซึ่งรูปภาพแรกนั้นก็เป็นภาพของกำแพงด้านหลังปราสาทใต้น้ำถูกใครบางคนเจาะกลายเป็นรูขนาดใหญ่

ส่วนรูปภาพที่สองเป็นภาพรอยเท้าของหัวขโมยที่ย่องผ่านเข้ามาทางช่องว่างบนกำแพงทางด้านหลัง

รูปที่สามเป็นรูปประตูห้องน้ำในปราสาทถูกพังทลาย

รูปที่สี่เป็นรูปของบ่ออึอันว่างเปล่า…

และมีข้อความกำกับเอาไว้ว่า

“นางสุนัขเพื่อนบ้านตัวแสบของข้าเสียสติไปแล้ว ถึงกับบุกเข้ามาขโมยปุ๋ยธรรมชาติที่ข้าเก็บสะสมเอาไว้หลายปีไปหมดสิ้น ข้าไม่เคยพบเจอเทพเจ้าองค์ใดวิปริตเช่นนี้มาก่อน อ๊ากกกกก…”