ตอนที่ 650 เหลียงกง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 650 เหลียงกง โดย Ink Stone_Fantasy

“เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องหลิ่วหรือ?” หลิ่วหมิงเพิ่งจะทรงตัวได้ น้ำเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาวก็ดังเข้ามา

พอหลิ่วหมิงหันหน้าไป ก็ค้นพบว่าหญิงสาวชุดเหลืองผู้หนึ่งกำลังเดินมาไม่ไกล ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ผิวละเอียดเกลี้ยงเกลา  เอวบอบบางของนางมีที่คาดเอวสีชมพูคาดอยู่เส้นหนึ่ง

นางก็คือหลงเหยียนเฟยที่เคยพบเจอกับเขาอยู่หลายครั้งนั่นเอง

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลง ไม่ได้เจอกันนานเลย” ได้พบกับนางในสถานที่แห่งนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

หลงเหยียนเฟยนับว่าเป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของยอดเขากระบี่สวรรค์ ไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามราวเทพธิดา การฝึกฝนก็เข้าสู่ระดับผลึกแล้ว นางมีชื่อเสียงในยอดเขากระบี่สวรรค์ไม่น้อย

“ก่อนหน้านั้น ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วทะลวงระดับผลึกสำเร็จแล้ว เหยียนเฟยยังไม่ได้ไปแสดงความยินดีเลย ศิษย์น้องคงไม่ถือสาข้านะ” หลงเหยียนเฟยยิ้มบางๆ และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาหยาดเยิ้ม

“ศิษย์พี่หลงล้อข้าเล่นแล้ว ข้าแค่โชคดีทะลวงระดับได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ใช่สิ! คนที่ยุ่งอย่างศิษย์น้อง ทำไมวันนี้ถึงมีเวลามายอดเขากระบี่สวรรค์เราได้ล่ะ?” หลงเหยียนเฟยยิ้มบางๆ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที

หลิ่วหมิงเองก็ตอบกลับด้วยสีหน้าสงบ

“บอกศิษย์พี่อย่างไม่ปิดบัง ความจริงแล้วที่ข้ามายอดเขากระบี่สวรรค์ในวันนี้ ก็เพื่อขอวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ จะได้เตรียมการสำหรับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล็กน้อย”

“กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ? ร่างตัวอ่อนกระบี่? อย่างนี้ก็หมายความว่าศิษย์น้องหลิ่วมีจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แล้ว คิดที่จะเดินสายกระบี่ในภายหน้าหรือ!” พอหลงเหยียนเฟยได้ยิน ดวงตาของนางก็เป็นประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“ข้าน้อยบังเอิญโชคดีได้วิธีการหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่มา อานุภาพก็พอถูไถได้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ ขณะเดียวกันก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เงากระบี่เล็กสีขาวจางๆ เล่มหนึ่งค่อยๆ พุ่งออกจากฝ่ามือ และไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

หลงเหยียนเฟยหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว นางเพ่งมองจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ปรากฏขาดๆ หายๆ บนมือหลิ่วหมิงตาไม่กะพริบ ผ่านไปสักพัก ดวงตางดงามก็เผยแววผิดหวังออกมา

ที่ผ่านมา นางหาวิธีใกล้ชิดหลิ่วหมิงมาโดยตลอด เพื่อสืบหาตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ลิ่วยินเจินเหรินทิ้งไว้ แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าดูอ่อนแอมาก และดูเหมือนเพิ่งจะหลอมสำเร็จได้ไม่นาน ทั้งยังมีรูปร่างแตกต่างจากกระบี่ปราณแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ที่ลิ่วยินบ่มเพาะขึ้นมา

“ผู้ฝึกกระบี่ ไม่อาจฝึกฝนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่สองชนิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเวลาเดียวกันได้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้คงมาได้รับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้จริงๆ”

หลงเหยียนเฟยถอนหายใจ แต่ยังกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม

“ศิษย์น้องหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เล่มนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดา น่าเสียดายเวลาที่บ่มเพาะสั้นไปหน่อย พลังจึงค่อนข้างอ่อนแอ ต่อให้จะมีร่างตัวอ่อนกระบี่ที่เหมาะสม ก็ไม่อาจหลอมเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้”

“ศิษย์พี่มีสายตากว้างไกลมาก ข้าเองก็ไม่ได้จะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในทันที เพียงแค่หาวิธีหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่มาก่อน จากนั้นค่อยไปรวบรวมวัสดุ และค่อยๆ ทำการปรับแต่ง” หลิ่วหมิงกล่าว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องหลิ่วตามข้าไปพบอาจารย์เหลียงสักหน่อย ท่านกำลังดูแลหอคัมภีร์ของยอดเขาเราอยู่พอดี แต่ว่าที่ผ่านมา เคล็ดวิชาฝึกกระบี่ของยอดเขาเรา ไม่เคยเผยแพร่ออกไปภายนอก จะขอได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของศิษย์น้องแล้ว” หลงเหยียนเฟยนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณเป็นธรรมดา

ต่อมาทั้งสองก็เดินพูดคุยเล่นกันจนผ่านบ้านที่จัดเรียงเป็นแถวตรงหน้า จากนั้นก็ผ่านลานกว้างที่อยู่ด้านหลัง และเดินวนในกลุ่มสิ่งก่อสร้างอยู่สองสามรอบ ก็มาถึงตรงหน้าหอสีดำเทาหลังหนึ่ง

บนประตูใหญ่ของหอแห่งนี้มีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ มีอักขระสีดำขนาดใหญ่เขียนติดไว้ว่า ‘หอคัมภีร์กระบี่สวรรค์’ ทุกเส้นขีดของอักขระดูเข้มแข็งและทรงพลังเป็นอย่างมาก มีไอดุเดือดรุนแรงไหลพรั่งพรูออกมา

มองเห็นแถวของชั้นหนังสือเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ภายในหอ

หลงเหยียนเฟยเดินนำเข้าไปด้านใน

ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่าหอคัมภีร์ที่ดูไม่เตะตาเมื่อมองจากภายนอกนี้ ด้านในกลับกว้างขวางเป็นอย่างมาก ชั้นหนังสือแต่ละแถวจัดวางอย่างเรียบร้อยบนพื้นหินขัดเรียบ ระหว่างชั้นมีคัมภีร์หลายม้วนซ้อนกันอยู่

แต่ว่าคัมภีร์ทั้งหมดต่างก็ถูกม่านแสงปกคลุมไว้ ประจักษ์ชัดว่าคนนอกไม่อาจแตะต้องได้โดยง่าย

หลงเหยียนเฟยไม่ได้หยุดฝีเท้านานมากนัก แต่กลับเดินตรงไปหน้าบานประตูที่อยู่ด้านใน

“เชิญศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานเกี่ยวกับเจตนาของเจ้าให้อาจารย์ก่อน” หลงเหยียนเฟยกล่าวก่อนเดินเข้าไปด้านใน

หลิ่วหมิงได้แต่ยืนรอด้านนอกอย่างว่าง่าย และสังเกตดูสภาพแวดล้อมอย่างเบื่อหน่าย

หอคัมภีร์แห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าหอเก็บคัมภีร์ในนิกายมาก แต่ว่าเก็บกวาดได้เป็นระเบียบเรียบร้อย ชั้นหนังสือแต่ละแถวต่างก็มีเครื่องหมายกำกับไว้ และวางไว้ตามหมวดหมู่ต่างๆ ดูท่าผู้ที่มาประจำการอยู่ที่นี่คงเคร่งครัดและรอบคอบมาก

ด้านข้างของชั้นหนึ่ง มีบันไดไม้สีแดงที่ดูเหมือนจะทอดขึ้นไปบนชั้นสอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าบนหอจะมีคัมภีร์วางอยู่เต็มไปหมดหรือไม่

ไม่นาน หลงเหยียนเฟยก็เดินมาจากด้านใน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อาจารย์เหลียงกงอยู่ด้านใน ข้าได้บอกเจตนาการมาของเจ้าแล้ว เข้าไปเถอะ!”

“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” หลิ่วหมิงพูดขอบคุณไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินเข้าไป

หลงเหยียนเฟยมองดูด้านหลังหลิ่วหมิงเงียบๆ หลังจากคิดพิจารณาดูแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินออกไปจากหอคัมภีร์

หลิ่วหมิงผลักบานประตูเข้าไป ในนั้นเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างแห่งหนึ่ง การตกแต่งเรียบง่ายมาก บนพื้นหินสีดำด้านข้างประตูมีเก้าอี้ไม้เนื้อแข็งวางอยู่สองตัว ในนั้นโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ที่เป็นสีเดียวกันวางอยู่

ชายชุดคลุมสีดำรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ เขากำลังถือเล่มคัมภีร์สีขาว และสั่นหัวดิกๆ อยู่

“หลิ่วหมิง ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคารวะผู้อาวุโสเหลียง” หลิ่วหมิงโค้งคารวะอยู่ตรงหน้าประตู และกล่าวอย่างนอบน้อม

ชายชุดคลุมสีดำขยับตัวเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเพิ่งจะรับรู้ถึงการมาของหลิ่วหมิง จึงเงยหน้าขึ้นมาดู

พอหลิ่วหมิงสัมผัสกับดวงตาทั้งคู่ของฝ่ายตรงข้าม ก็รู้สึกเวียนหัวและแสบตามาก แม้แต่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามก็มองเห็นไม่ชัดเจน รู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ของฝ่ายตรงข้ามดูราวกับคมกระบี่แวววาว และแผ่ไอกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ผลึกในทะเลจิตวิญญาณเริ่มหมุนทันที พลังเวทอันบริสุทธิ์ทะลักออกจากผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ด และพุ่งทะลุตามเส้นลมปราณขึ้นมายังดวงตาทั้งสอง และจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ลอยอยู่เงียบๆ ในทะเลจิตรับรู้ ก็แผ่ปราณกระบี่เย็นยะเยือกออกมา และทะลุไปยังดวงตาทั้งสอง จากนั้นถึงต้านทานไอกระบี่อันรุนแรงในดวงตาของชายชุดคลุมสีดำไว้ได้

ชายชุดคลุมสีดำเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา เขาแขนข้างหนึ่งชี้ไปทางหลิ่วหมิงเบาๆ

“ฟิ้ว!”

ปราณกระบี่ละเอียดเล็กราวกับเส้นผมพุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง

ปราณกระบี่เข้ามายังไม่ทันถึง ไอกระบี่อันดุเดือดรุนแรงก็ทะลักออกมา!

ในความรู้สึกของหลิ่วหมิง ราวกับว่ามีใบมีดยักษ์เพิ่มขึ้นมาตรงหน้าอีกเล่ม ทำให้เขารู้สึกแทบจะหายใจไม่ออก

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เงากระบี่สีเขียวเปล่งประกายออกมาข้างตัวอย่างไม่ลังเล หลังจากร่างของเขาหมุนติ้วๆ และภายใต้การพร่ามัวของแขนทั้งสอง พริบตาเดียวก็ไม่รู้ว่าฟันปราณกระบี่ออกไปเท่าใด

ปราณกระบี่สีเขียวแน่นขนัดฟันลงบนไหมกระบี่แวววาว แต่กลับค่อยๆ แตกสลายไป ทำให้ไหมกระบี่สั่นสะท้านเล็กน้อย

พอหลิ่วหมิงสะบัดกระบี่เบาๆ กระบี่บินสีเขียวก็พุ่งยิงออกไปเสียงดัง “ฟิ้ว!” และกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ยาวจั้งกว่าๆ ก่อนฟันลงบนไหมกระบี่

“เต๊ง!”

ลูกแสงกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งยิงออกไปทั่วทิศ ขณะที่ทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านกำลังจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ นั้น ชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ คลื่นสั่นสะเทือนแปลกๆ ก็ม้วนตัวผ่านไป จากนั้นปราณกระบี่ทั้งหมดก็ดับลง

ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงกลับรู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลพุ่งเข้ามาถึง โลหิตแผ่ซ่านบนใบหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากร่างของเขาร่นถอยออกไปติดต่อกันสามก้าวแล้ว ถึงทรงตัวไว้ได้

“ไม่เลว! สามารถรับปราณกระบี่ดาราสวรรค์ที่แฝงไปด้วยพลังส่วนหนึ่งของข้าได้ ดูท่าวิชาขี่กระบี่ของเจ้าก็คงฝึกฝนได้ไม่เลว เข้ามาเถอะ!” ชายชุดคลุมสีดำเพิ่งจะกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างราบเรียบ

“ขอบคุณอาจารย์อาที่ยั้งมือ!”

หลิ่งหมิงทำได้เพียงโค้งคำนับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม หลังจากโบกมือข้างหนึ่งเก็บกระบี่เล็กสีเขียวกลับเข้าไปแล้ว ถึงเดินเข้าไปอย่างนอบน้อม

ขณะนี้ เขาถึงมองเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นชายที่มีลักษณะหน้าตาแปลกประหลาด แขนยาว ไหล่กว้าง มีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี

“เรื่องของเจ้า เฟยเอ๋อร์ได้พูดกับข้าแล้ว นำป้ายนี้ไปเลือกวิชาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่บนชั้นสองของหอคัมภีร์ด้วยตัวเองเถอะ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากเตือนเจ้าไว้ก่อน เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาเรา ดังนั้นไม่ว่าวิชาใดๆ ก็ต้องใช้แต้มคุณูปการแลก และแต้มคุณูปการที่ใช้ ก็มากกว่าศิษย์ในยอดเขาเราสามส่วน” ขณะที่พูด ชายชุดคลุมสีดำก็โยนป้ายสีเงินอันหนึ่งเข้ามา

“ขอบคุณอาจารย์อาที่ส่งเสริม” หลิ่วหมิงรับป้ายด้วยความดีใจ

“ข้ากับอินจิ่วหลิงอาจารย์ของเจ้าเป็นสหายที่สนิทกันที่สุด บอกเขาว่าเหลียงกง เขาก็จะรู้เอง มิเช่นนั้นข้าคงไม่ยินยอมให้ศิษย์นอกยอดเขาเข้าหอคัมภีร์ของยอดเขาเราได้โดยง่าย เอาล่ะ! เจ้าออกไปได้แล้ว” ชายชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ จากนั้นก็โบกมือ และมองดูเล่มคัมภีร์ในมือต่อ

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็โค้งตัวคารวะ และหมุนตัวเดินออกไป

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนบันไดที่นำขึ้นไปสู่ชั้นสองของหอคัมภีร์ หลิ่งหมิงกำลังสังเกตดูเกราะป้องกันที่เกือบจะโปร่งแสงจางๆ ตรงหน้า

หลังจากคิ้วของเขาขยับเล็กน้อยแล้ว ก็หยิบป้ายสีเงินอันนั้นออกมา และปล่อยพลังเวทเข้าไป

แสงสีขาวหมุนวนอยู่บนป้ายครู่หนึ่ง จากนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งยิงออกมา

ครู่ต่อมา ระลอกคลื่นเป็นวงๆ ก็แผ่กระจายบนเกราะป้องกัน จากนั้นก็เกิดรูที่คนหนึ่งคนสามารถเข้าไปได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เก็บป้ายด้วยรอยยิ้ม และก้าวเท้าขึ้นไปบนชั้นสอง

บนหอชั้นสองส่วนใหญ่ตกแต่งเหมือนชั้นหนึ่งมีมีผิด มีชั้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากวางเรียงรายอยู่เช่นกัน แต่ว่าคัมภีร์บนนั้นล้วนเก็บรักษาโดยใช้แผ่นหยก ไม่ใช่เป็นเล่มคัมภีร์ที่จับต้องได้

บนแผ่นหยกแต่ละอันต่างก็มีป้ายหยกห้อยอยู่ บนนั้นระบุเนื้อหาในแผ่นหยกและแต้มคุณูปการที่ใช้อย่างชัดเจน อีกทั้งมีม่านแสงปกคลุมอยู่เช่นกัน

………………………………