บทที่ 606 สำนักเต๋าสวรรค์ของพวกเจ้ามันก็งั้น ๆ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เมื่อเห็นความโกรธเกรี้ยวของหลิงตู้ฉิง อู๋หลิงซีก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

อันที่จริงตั้งแต่แรกที่เขาพาหลิงว่านถิงมาถึงสำนักเต๋าสวรรค์ เขาก็ได้บอกกับเหล่าผู้คนในสำนักแล้วว่า หลิงตู้ฉิงได้ฝากคำเตือนอะไรมาบ้าง ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่มีใครใส่ใจในคำเตือนต่าง ๆ เลย

จนสุดท้ายเขาทำแม้กระทั่งเปิดเผยว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ผู้คนในสำนักของเขายิ่งไม่สนใจมากเข้าไปอีก

มันมีแม้กระทั่งบางคนที่เอ่ยปากบอกว่า ยุคนี้มันไม่ใช่ยุคของเทพกระบี่อีกต่อไปแล้ว หรือต่อให้เป็นเทพกระบี่มาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ไม่กลัวยิ่งไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ที่เป็นเพียงแค่ร่างที่กลับชาติมาเกิดเท่านั้น

และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลังจากที่พวกเขาได้รู้ถึงความน่ากลัวของพรสวรรค์ในการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาต่าง ๆ ของหลิงว่านถิง นับตั้งแต่นั้นมาพวกเขาจึงให้นางเริ่มทำความเข้าใจเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่พวกเขาเองยังไม่เข้าใจที่เก็บไว้มานานแล้ว เพื่อให้นางช่วยพวกเขา

และนี่จึงเป็นที่มาของการที่หลิงว่านถิงต้องปิดด่านบ่มเพาะอยู่เสมอ ๆ ภายในสำนักเต๋าสวรรค์

อู๋หลิงซีเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า หลิงตู้ฉิงจะรู้จักสำนักของเขาดีจนถึงขนาดแค่ได้ยินชื่อวิชาก็เดาได้ถึงความตั้งใจของสำนักเขาว่าต้องการทำอะไรกับหลิงว่านถิง ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มอย่างขมขื่น

“คุณชายหลิง อันที่จริงนี่มันก็ไม่ได้เลวร้ายกับว่านถิงสักเท่าไหร่” อู๋หลิงซีเอ่ยขึ้นโน้มน้าว

สีหน้าของหลิงตู้ฉิงกลายเป็นเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ “ก่อนที่ลูกสาวของข้าจะมาที่สำนักของเจ้า เจ้าเองก็รู้อยู่ว่านางเพิ่งผ่านเรื่องทุกข์ใจมา ซึ่งการที่ข้าให้นางมาที่นี่ก็เพราะว่าต้องการให้นางได้พักผ่อนเพื่อสงบใจไม่ใช่มาช่วยสวะอย่างพวกเจ้า! ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีกับตัวเองเช่นนี้ ดังนั้นข้าจะพานางกลับไปกับข้า”

โม่หลิงซีรีบเอ่ยขึ้นทันที “คุณชายหลิง ว่านถิงเกิดมากับร่างแห่งเต๋า ดังนั้นสำนักเต๋าสวรรค์ของเราจะขาดนางไม่ได้เป็นอันขาด!”

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิส่ายหัวและพูดว่า “ในตอนนี้นางเป็นศิษย์ของสำนักเราแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถนำตัวนางจากไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงหันไปจ้องด้วยสายตาดุดันทันที “เจ้าพูดว่ายังไงนะ?”

“ข้าบอกว่านางไม่สามารถไปจากที่นี่ได้!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม

“หลิงหยุนซี!” อู๋หลิงซีรีบเอ่ยขึ้นปรามทันที

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิที่ชื่อว่า หลิงหยุนซี เอ่ยขึ้นต่อ “ในฐานะที่ข้าเป็นผู้คุมกฎของสำนัก นี่เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องรับผิดชอบดูแล ดังนั้นศิษย์น้องเจ้าจงอยู่เฉย ๆ อย่าได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ในความคิดของข้า สำนักเต๋าสวรรค์ของพวกเจ้ามันสมควรถูกข้าสั่งสอน!”

เมื่อพูดจบ ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็ถูกเปิดใช้ในทันทีโดยการประสานพลังของเย่จางเฟิงและเล้งเจี้ยนชิว ซึ่งมันส่งผลให้อำนาจของค่ายกลยิ่งเหนือล้ำมากขึ้นจนพื้นที่บริเวณโดยถูกปกคลุมไปด้วยปราณกระบี่อันรุนแรง

อู๋หลิงซีตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึงทันที “คุณชายหลิงหยุดเดี๋ยวนี้!”

หากหลิงตู้ฉิงบุ่มบ่ามลงมือทำอะไรในตอนนี้ มันจะยิ่งทำให้เรื่องราวยิ่งบานปลายมากขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือไง?

หลิงหยุนซีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นกัน “เจ้าจะต้องถูกลงโทษที่บังอาจทำตัวกำแหงในสำนักเต๋าสวรรค์ของข้า!”

เมื่อพูดจบ หลิงหยุนซีก็เตรียมรับมือด้วยอาวุธจักรพรรดิที่ปรากฏขึ้นในมือของเขา

ทางด้านของหลิงตู้ฉิงที่ในเวลานี้ยืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าคิดว่าวันนี้สำนักเต๋าสวรรค์ของเจ้าคงไม่รอดจากเงื้อมมือของข้าแน่นอน!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เข้าควบคุมค่ายกลกระบี่และสั่งให้กระบี่บินพุ่งเข้าไปหาหลิงหยุนซีในทันที

กระบี่บิน 7 เล่มพุ่งเข้าไปหาหลิงหยุนซีด้วยความเร็วเหนือบรรยาย จนแม้แต่หลิงหยุนซีก็ไม่อาจต่อต้านอะไรได้ ส่งผลให้ร่างของเขาถูกทะลวงเป็นรูโหว่ถึง 7 จุด!

หลิงหยุนซีกรีดร้องด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก “กระบี่เจ็ดดาวมรณะ! เจ้าคือเทพกระบี่ตัวจริง!”

นี่คือเพลงกระบี่ที่สามของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ มีชื่อเรียกว่ากระบี่เจ็ดดาวมรณะ!

เมื่อใดก็ตามที่เป้าหมายถูกผู้ใช้เพลงกระบี่นี้หมายตาจนสร้างความเชื่อมโยงด้วยกฎแห่งเจตจำนงของสวรรค์ได้แล้ว กระบี่นี้จะไม่มีวันพลาดเป้า!

ถึงแม้ว่าเพลงกระบี่นี้จะเป็นเพลงกระบี่สาม แต่จำนวนผู้คนที่ล้มตายจากมันนั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน!

หลิงหยุนซีมองไปที่รู 7 รูที่เกิดขึ้นบนร่างกายเขาด้วยความโกรธแค้น แน่นอนว่าบาดแผลเพียง 7 แห่งแค่นี้มันย่อมไม่สามารถสังหารเขาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิให้ตายได้

แต่ด้วยศักดิ์ศรีของเขาที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ แต่กลับถูกทำให้บาดเจ็บโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณแบบนี้เขาจะยอมง่าย ๆ ได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าเขาจะรู้แก่ใจว่าหลัก ๆ แล้วพลังอำนาจของกระบี่นั้นมาจากคนรับใช้ทั้งสอง ซึ่งหลิงตู้ฉิงเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมกระบี่บินเท่านั้นก็ตาม

เมื่อเขายิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้นทุกที ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำการดึงพลังของมหาวิถีเต๋าของสำนักเขามาเกื้อหนุนร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นของเขาพุ่งขึ้นสูงเรื่อย ๆ

แต่สิ่งที่หลิงหยุนซีไม่สังเกตเห็นก็คือ ในตอนนี้กลิ่นอายของหลิงตู้ฉิงที่แผ่ออกมานั้นมันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย จนในตอนนี้กลิ่นสังหารมันได้กลายเป็นเจตจำนงแห่งการฆ่าที่บริสุทธิ์

จากนั้นเพียงชั่วครู่เดียวร่างของหลิงตู้ฉิงก็เริ่มมีหมอกสีเลือดค่อย ๆ แผ่ออกมาจนแม้แต่อาวุธต่าง ๆ ที่อยู่ทั่วทั้งสำนักเต๋าสวรรค์สั่นระริก เนื่องจากพวกมันสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการฆ่าอันรุนแรง

อาวุธทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนั้นถูกสร้างมาเพื่อการฆ่าฟันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการฆ่าที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ พวกมันจึงสั่นและต้องการให้หลิงตู้ฉิงมาหยิบพวกมันไปใช้!

หลิงตู้ฉิงมองไปที่หลิงหยุนซีที่กำลังดึงอำนาจของมหาวิถีเต๋าของสำนักเต๋าสวรรค์ออกมาใช้ด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นเขาบังคับให้กระบี่บินปักลงไปที่พื้นดินและเอ่ยขึ้นว่า “อย่าได้คิดจะแทรกแซงเรื่องของข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายเจ้าซะ!”

มหาวิถีเต๋า เมื่อได้ยินเช่นนี้มันก็รีบถอนพลังของมันออกมาจากร่างของหลิงยุนซีทันที และกลับไปอยู่ใต้พื้นดินของสำนักดังเดิม

ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็มองไปที่หลิงหยุนซีด้วยสีหน้าเย็นชา แต่แววตาของเขานั้นฉายแววแห่งการดิ้นรนอยู่

เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถโจมตีอีกครั้งได้ แค่เมื่อครู่ที่เขาโจมตีหลิงหยุนซีจนบาดเจ็บมันก็เกือบที่จะทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว

ขืนเขาโจมตีอีกเพียงแค่ครั้งเดียว เขาจะต้องกลับไปกลายเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อในอดีตแน่นอน ซึ่งเขาไม่ต้องการมัน

ในเวลาเดียวกัน คนของสำนักเต๋าสวรรค์ต่างก็พากันตกตะลึงจนถึงที่สุด

เพียงแค่กระบี่เดียว คนผู้นี้สามารถทำให้มหาวิถีเต๋าของพวกเขากลัวจนหัวหด? แล้วแบบนี้พวกเขาจะไปสู้ได้ยังไง?

อู๋หยุนซีรีบตะโกนขึ้นทันที “คุณชายหลิง โปรดหยุดก่อน! พวกเราขอยอมรับผิด!”

ในตอนนี้หลิงหยุนซีเองก็รู้สึกกลัวแล้วเช่นกัน การที่หลิงตู้ฉิงสามารถสยบมหาวิถีเต๋าของสำนักเขาได้ด้วยกระบี่เดียว มันทำให้เขารู้ทันทีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะลงมือต่อไป แล้วยิ่งเมื่อเขามองไปที่หลิงตู้ฉิงในตอนนี้ที่กำลังแผ่เจตจำนงแห่งการฆ่าที่บริสุทธิ์ได้ถึงขนาดนี้ เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเขานั้นไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่กำลังถูกสัตว์ร้ายบรรพกาลจ้องจะตะครุบโดยที่เขาไม่สามารถต่อต้านอะไรได้ถึงแม้ว่าเขาจะหนีไปไกลแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แต่ยืนก้มหน้าไม่กล้าขยับตัวทำอะไร

โม่หลิงซีเองก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากเช่นกัน เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าพ่อของหลิงว่านถิงจะน่ากลัวถึงขนาดนี้ และยิ่งโดยเฉพาะเจตจำนงแห่งการฆ่าที่บริสุทธิ์ที่หลิงตู้ฉิงแผ่ออกมามันรุนแรงเป็นอย่างมากจนเขายังไม่เคยเห็น และเคยนึกเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครที่มีความโหดเหี้ยมขนาดนี้ได้

แต่แล้วเมื่อเขามองไปที่แววตาของหลิงตู้ฉิง และบังเอิญได้สังเกตเห็นว่ามันฉายแววแห่งการดิ้นรนอยู่ เขาจึงรู้สึกอึ้งไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นเขาตัดสินใจรีบหายตัวไปยังสถานที่ที่หลิงว่านถิงกำลังปิดด่านอยู่ และปลุกนางขึ้นจากห้วงภวังค์แห่งการบ่มเพาะทันที “ว่านถิง เร็วเข้ารีบออกไปทำให้พ่อของเจ้าใจเย็นลงที ตอนนี้เขากำลังจะคลุ้มคลั่งแล้ว!”

หลิงว่านถิงที่ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์รู้สึกงุนงงทันที แต่เมื่อนางได้ยินโม่หลิงซีเอ่ยถึงพ่อของนาง สติของนางก็เริ่มแจ่มชัดและจากนั้นนางจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบานว่า “ท่านพ่อข้ามาที่นี่งั้นเหรอ?”

“เขาอยู่ที่นี่! เร็วเข้ารีบออกไปช่วยพูดให้เขาใจเย็นลงที!” โม่หลิงซีไม่ต้องการเสียเวลาอธิบายอะไรอีก เขารีบคว้าตัวหลิงว่านถิงออกไปปรากฏตรงหน้าค่ายกลกระบี่เหินเมฆาในทันที “คุณชายหลิง ว่านถิงอยู่ที่นี่แล้ว!”

หลิงว่านถิง เมื่อได้เห็นพ่อของนาง นางก็รีบตะโกนขึ้นด้วยความดีใจทันที “ท่านพ่อ ท่านมาที่นี่ทำไมงั้นเหรอ?”

เมื่อสิ้นเสียงของหลิงว่านถิง ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็เปิดออกทันที ซึ่งหลิงว่านถิงก็รีบวิ่งเข้าไปด้านใน

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้เห็นลูกสาวของเขาแล้ว ความคลุ้มคลั่งในแววตาของเขาก็ค่อย ๆ ลดลง จากนั้นเขาก็รีบนั่งลงและทำสมาธิทันที

ส่วนทางด้านของบรรดาทาสรับใช้ที่หลิงตู้ฉิงพามา เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้พวกเขาต่างก็รีบมาห้อมล้อมหลิงตู้ฉิงไว้ทันทีเพื่อป้องกันเหล่าคนของสำนักเต๋าสวรรค์ลงมือลอบทำร้ายพร้อมกับเข้าควบคุมค่ายกลกระบี่แทนหลิงตู้ฉิง

ทางด้านของผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์ก็มองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาที่ยังคงเปิดใช้งานอยู่ด้วยสายตาที่ซับซ้อนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งพวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่าในสถานที่ที่ห่างออกไปอีกนับล้านกิโลเมตรที่ด้านหลังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ หมาสีทองที่กำลังจะยืนขึ้นกลับค่อย ๆ กลับลงไปนอนเหมือนเดิมด้วยสีหน้าผิดหวัง