ตอนที่ 1911 จ้าวหย่าฝ่าด่านวรยุทธ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1911 จ้าวหย่าฝ่าด่านวรยุทธ

“ฝึกฝนวรยุทธต่อไป อย่าหยุด!” จางเซวียนเร่งขณะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อจับตาดูสาวน้อยอย่างใกล้ชิด

ขณะที่พลังงานหน้าตาเหมือนปรอทไหลเวียนไปทั่วร่างของจ้าวหย่า มันก็ขัดเกลาพลังปราณของเธอไปด้วย ทำให้ระดับวรยุทธของจ้าวหย่าเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ภายในเวลาเพียง 10 นาที เธอก็ยกระดับวรยุทธได้เท่ากับการฝึกฝนวรยุทธทั้งวัน!

“นี่มัน…มันคือทางเดินพลังปราณที่ได้รับการปรับเปลี่ยน!” จางเซวียนพลันนึกได้

ก่อนหน้านี้ ทางเดินพลังปราณของจ้าวหย่าถูกทำลายจนเสียหายอย่างสิ้นเชิงขณะพยายามช่วยชีวิตเขา จางเซวียนจึงใช้เถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่สู่สร้างทางเดินพลังปราณชุดใหม่ให้จ้าวหย่า

พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทควรจะมีอานุภาพมากพอในการทำลายทางเดินพลังปราณของนักรบคนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จ้าวหย่าไม่ต้องเผชิญกับปัญหานั้น

น่าสงสัยเหลือเกินว่าแท้ที่จริงแล้วเถาวัลย์นั้นคืออะไร มันสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนี้ไว้ได้โดยไม่สร้างความตึงเครียดให้กับร่างกายของจ้าวหย่า ไม่ก่อให้เกิดความบอบช้ำใดๆอย่างที่มักเกิดกับนักรบทั่วไป

ครู่ต่อมา จ้าวหย่าก็ระงับการฝึกฝนวรยุทธไว้ก่อนจะหันกลับมามองท่านอาจารย์อย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ ฉันคิดว่าฉันน่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สบายหากยังซึมซับพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งนี้ต่อไป!”

เธอสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกแล้วจากการหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา แต่ในชั่วพริบตา ก็พบว่าตัวเองไม่อาจไปได้ไกลกว่านั้น ราวกับได้มาถึงความเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ไม่มีเส้นทางที่เหนือไปกว่าจะให้เธอก้าวเดินอีกต่อไป

มันคือด่านคอขวดของโลก!

แต่เมื่อเธอซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้ง ก็รู้สึกได้ถึงภูมิปัญญาสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้แทบไม่อยากเชื่อ

“ผมเห็นแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า

เขาไม่ได้พูดอะไรมากนักเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวหย่า แต่ใคร่ครวญแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

พลังจิตวิญญาณของทวีปแห่งปรมาจารย์แตกต่างจากพลังจิตวิญญาณของมิติเบื้องบนมาก ทั้งในแง่ของความเข้มข้นและคุณภาพ ด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นเหล่านักรบไว้จากการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติเหมือนกับประตูเหล็กกล้าสองบานที่กระแสน้ำทั่วไปไม่อาจผลักดันให้มันเปิดออกได้ ต้องใช้คลื่นที่รุนแรงและมีพละกำลังทำลายล้างเข้ากระแทกประตูเหล็กนั้นเพื่อพังมันให้แยกออกจากกัน

“เป็นอย่างที่เราคิดไว้เลย กุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็คือการซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท!” จางเซวียนพยักหน้า มั่นอกมั่นใจในข้อสันนิษฐานของเขายิ่งขึ้นกว่าเดิม

นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พละกำลังของเหล่านักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์เหลื่อมล้ำกับเหล่าเทพเจ้าที่ลงมาจากมิติเบื้องบนอย่างมาก เทพเจ้าเหล่านั้นได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติจึงไม่ใช่ภารกิจที่ยากเย็นอะไรสำหรับพวกเขา

ด้วยเหตุผลนี้ ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จึงทุ่มเทความพยายามของพวกเขาในการพัฒนาข้าวสาลีแตกยอดเพื่อปรับปรุงสภาวะร่างกายพื้นฐานของเหล่าพลเมือง เมื่อใดก็ตามที่สภาวะร่างกายของพวกเขาเข้าถึงระดับที่เหมาะสมต่อการซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะก้าวขึ้นสู่ความสูงส่งระดับนั้น

“ซึมซับพลังจิตวิญญาณต่อไป พยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นผู้ทำลายล้างมิติให้ได้!” จางเซวียนสั่งการ

จ้าวหย่าพยักหน้า เธอรีบขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดขณะกลืนกินพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทอย่างตะกละตะกราม

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ศิษย์สายตรงที่เหลืออีก 8 คนก็พยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่อาจทำได้เหมือนอย่างศิษย์พี่ จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกขณะจ้องมองศิษย์พี่ด้วยความอิจฉา

รู้ดีว่าวรยุทธไม่ใช่สิ่งที่จะรีบร้อนกันได้ จางเซวียนจึงไม่ได้เร่งรัดจ้าวหย่า เขาใช้ทั้งดวงตาหยั่งรู้และหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่าจะดูแลสภาวะร่างกายของจ้าวหย่าได้อย่างถี่ถ้วน เพราะเกรงว่าอาจเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับเธอ

แต่โชคดี เพราะด้วยความพากเพียรและอดทนของจ้าวหย่า รากฐานวรยุทธของเธอจึงแน่นหนามั่นคงมาก ระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นโดยปราศจากปัญหาใดๆ ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน จ้าวหย่าก็เข้าถึงด่านคอขวดที่สกัดกั้นเธอไว้จากการเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ

“ทำลาย!”

ทันทีที่สาวน้อยสะสมแรงผลักดันไว้ได้มากพอ เธอก็เลิกคิ้วขณะเปล่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดออกมา ในชั่วพริบตา พลังปราณของเธอก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งทางเดินพลังปราณและทำลายด่านคอขวดที่สกัดกั้นเธอไว้ ทำให้วรยุทธพุ่งขึ้นสู่ขั้นผู้ทำลายล้างมิติซึ่งเป็นที่ปรารถนาของผู้คนมากมาย

การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าพุ่งลงมาอยู่เหนือจ้าวหย่าทันทีราวกับสวรรค์พยายามจะฉีกกระชากร่างของเธอออกจากกัน แต่ด้วยพละกำลังที่จ้าวหย่ามีประกอบกับคำชี้แนะของจางเซวียน เธอจึงผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้น การทดสอบวรยุทธก็ยังทิ้ง บาดแผลและความบอบช้ำจำนวนหนึ่งไว้ให้ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะหาย

“ในครั้งนั้น คุณก็สำเร็จวรยุทธขั้นนี้ใช่ไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม

ไอ้โหดเคยสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติมาแล้ว ทำให้มีชื่อเสียงระบือลือลั่นในเผ่าพันธุ์ปีศาจในฐานะผู้แทนอมตะ ก็เพราะพละกำลังระดับนี้ที่ทำให้เขาเล่นงานปรมาจารย์ขงให้จนมุมได้หลายต่อหลายครั้ง

“ใช่!” ไอ้โหดพยักหน้า “ด้วยการซึมซับพลังงานหนักอึ้งที่มาจากมิติเบื้องบน ผมสามารถผลักดันวรยุทธไปได้จนถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ผมผ่านไปได้เพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือไปจากนั้นเรียกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จากการศึกษาค้นคว้าของผมนักรบคนหนึ่งจะต้องเข้าสู่มิติเบื้องบนและสัมผัสพลังงานโดยธรรมชาติที่อยู่ในโลกใบนั้นเพื่อปรับเปลี่ยนสภาวะร่างกายพื้นฐานก่อนจะทำการยกระดับวรยุทธให้ได้สูงขึ้นกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นก็ต้องติดแหง็กอยู่ที่วรยุทธขั้นนั้นจนวันตาย”

“คุณยกระดับวรยุทธไม่ได้ไกลกว่านั้นแล้วหรือ?” จางเซวียนชะงัก

เขารีบหันไปตั้งคำถามกับจ้าวหย่า

จ้าวหย่าหลับตาเพื่อสำรวจสภาวะร่างกายของเธอก่อนจะส่ายหน้าและตอบว่า “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดของฉันแล้ว ถ้าอยากฝึกฝนวรยุทธให้ไปได้ไกลกว่านี้ สวรรค์ก็จะต่อต้าน ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนร่างกายของฉันจะถึงขีดจำกัดของมันแล้วด้วย ฉันไม่อาจรับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนั้นไว้ได้อีก!”

แนวคิดนี้ก็เหมือนกับการที่บึงแห่งหนึ่งสามารถรับน้ำไว้ได้ในปริมาณที่ขึ้นอยู่กับขนาดของมัน ถ้าใครสักคนพยายามเติมน้ำลงไปในบึงที่เต็มแล้ว น้ำส่วนเกินก็มีแต่จะไหลซึมออกไปโดยรอบ

ถ้าอยากให้บึงนั้นรับน้ำไว้ได้มากกว่าเดิม มีวิธีเดียวก็คือต้องขยายขนาดของบึง เมื่อบึงมีขนาดใหญ่ขึ้น ปริมาณน้ำที่มันสามารถรับไว้ได้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

มิติที่คนผู้นั้นอาศัยอยู่ส่งผลต่อสภาวะร่างกายของเขาเช่นกันจางเซวียนคิด

เขาเคยคิดว่าขอแค่เขามีพลังจิตวิญญาณที่หน้าตาเหมือนปรอทสะสมไว้มากพอ ก็น่าจะสามารถซึมซับมันอย่างต่อเนื่องและยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนความคิดของเขาจะอ่อนด้อยเกินไป

ถ้ามันง่ายอย่างนั้น ปรมาจารย์ขงก็คงไม่จำเป็นต้องออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์

จางเซวียนกำหมัดแน่นและครุ่นคิด ขอลองสักตั้งเถอะว่าเราซึมซับมันได้ไหม!

ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท เขายังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณและความแข็งแกร่งของร่างกายก็ยังคงอ่อนด้อยอยู่ แต่หลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ เขามีพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่จ้าวหย่าเป็นไปได้ไหมว่าร่างกายของเขาจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทนี้และซึมซับมันได้?

อีกอย่าง จางเซวียนก็ได้ปรับเปลี่ยนเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเขาแล้ว มันซับซ้อนกว่าของจ้าวหย่าเสียด้วยซ้ำ!

เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและหลับตา