ตอนที่ 490 ภูเขาปีศาจ (1) โดย Ink Stone_Fantasy
พม่าที่ตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายยิ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศและเขตแดนบางส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทหารของพม่าหรือผู้ต่อต้านกองทัพรัฐฉาน เบื้องหลังพวกเขาล้วนมีเงาของกลุ่มผลประโยชน์บางอย่าง มิเช่นนั้นรัฐฉานเพียงกลุ่มเดียวไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางสนับสนุนได้หลายปีเช่นนี้
ตะขิ่น บา เตง ติน เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่สุดคนหนึ่งของรัฐฉาน เนื่องจากอาศัยในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกล อีกทั้งไม่เคยประสบกับความวุ่นวายของสงคราม แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลังจากที่คิตะมิยะ นาโอกิหาผู้นำรัฐฉานพบและส่งทรัพยากรที่เขาพวกต้องการเร่งด่วนกลุ่มหนึ่งออกไป ตะขิ่น บา เตง ติน ก็กลายเป็นตัวเชื่อมรักษาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับญี่ปุ่น
คิตะมิยะ ฮิโคโตชิดูเวลาแวบหนึ่ง พูดว่า “นาโอกิ ไปเร็วๆ หน่อยเถอะ ตอนนี้สายแล้ว!”
พูดกันตรงๆ คิตะมิยะ ฮิโคโตชิไม่คาดหวังว่าครั้งนี้หัวหน้าตระกูลจะหาทองเจอ นั่นเป็นเรื่องครึ่งกว่าศตวรรษแล้ว อีกทั้งประเทศจีนตอนนั้นก็มีคนหลบหนีออกไป ไม่แน่ว่าอาจเอาทองไปนานแล้วก็ได้
ยังมีจุดหนึ่งที่คิตะมิยะ ฮิโคโตชิไม่เข้าใจมาก น้ำหนักทั้งหมดของทองกองนั้นมีเพียงแค่ยี่สิบตัน ตามราคาที่คำนวณไว้ในปีเก้าแปด ทองหนึ่งกรัมเท่ากับยี่สิบดอลลาร์โดยประมาณ ทองยี่สิบตันก็สามสี่ร้อยล้านเท่านั้น
แต่เพื่อหาทองกองนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมาแรงคนและทรัพยากรที่ตระกูลคิตะมิยะลงทุนเพื่อสิ่งนี้บวกกับสร้างโรงแรงห้าดาวแห่งนี้ในพม่า เกรงว่าเทียบกับตัวเลขนี้แล้วอาจไม่ต่างกันเท่าไหร่ นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่สมาชิกตระกูลคิตะมิยะจำนวนมากไม่พอใจ
พวกคิตะมิยะ ฮิโคโตชิซึ่งกำลังนำทางตะขิ่น บา เตง ติน กลับไปในห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทบนชั้นสิบแปดอีกครั้ง คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนเสื่อทาทามิค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปที่ตะขิ่น บา เตง ติน แวบหนึ่ง พูดว่า “นาโอกิ ให้เขาเล่าเหตุการณ์เถอะ ฉันฟังภาษาพม่าออก!”
“ครับ!”
บนใบหน้าของคิตะมิยะ นาโอกิไม่ปรากฏสีหน้าแปลกประหลาดใดๆ เพราะบทสนทนาเมื่อสักครู่ หลังจากตอบรับไปประโยคหนึ่งจึงตบไหล่ตะขิ่น บา เตง ติน เบาๆ พูดว่า “เล่าเรื่องที่คุณรู้ให้หัวหน้าตระกูลฟัง พวกเราจะได้ส่งคุณกลับไป!”
สายตาฝ้าฟางของตะขิ่น บา เตง ติน ไม่เห็นตอนที่คิตะมิยะ นาโอกิพูดประโยคนี้ ใบหน้าของคนในห้องสองสามคนปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย พูดอย่างดีอกดีใจว่า “ครับ ผมบอกพวกคุณแน่นอน แต่เวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว บางเรื่องผมก็นึกไม่ออก”
“ไม่เป็นไร คุณค่อยๆ คิด” คิตะมิยะ ฮิเดโอะโบกมือ ไม่ได้เร่งตะขิ่น บา เตง ติน
“นั่นเป็นเรื่องเมื่อปี 1950 ตอนนั้นผมอายุสิบแปด ที่บ้านยากจนมาก ทุกวันทำได้แค่ขึ้นเขาไปเด็ดผลไม้ป่ากิน…” ในดวงตาของตะขิ่น บา เตง ติน ฉายแววหวนนึกถึงความหลัง นึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบครึ่งศตวรรษก่อนหน้านี้ออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เนื่องจากตอนสงครามโลกครั้งที่สอง พม่ากลายเป็นหนึ่งในสนามรบหลักที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจีน อเมริกาและอังกฤษโจมตีญี่ปุ่นซึ่งมีอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับความเสียหายจากสงครามมากกว่าเพื่อนบ้านเช่นลาวและไทยเป็นอย่างมาก ใช้คำว่าหายนะทำลายล้างมาบรรยายก็ไม่เกินไป
แม้ว่าปี 1950 สงครามจะจบไปแล้วห้าปี แต่พม่าซึ่งภูเขาเยอะ ป่ารกชัฏ การคมนาคมเข้าไม่ถึง เศรษฐกิจก็ไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ แต่กลับเป็นเพราะทรัพยากรภายในประเทศถูกญี่ปุ่นปล้นไปอย่างหยาบโลนในช่วงสงคราม กลายเป็นยิ่งยากจนมากขึ้น
ตะขิ่น บา เตง ติน ในตอนนั้นอาศัยอยู่ในเขตภูเขารัฐฉานติดชายแดนพม่า ลาวและจีน ที่นี่ไม่ถูกไฟสงครามรุกราน แต่ชีวิตผู้คนนั้นยากลำบากมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยเขาใหญ่ก็ไม่มีทางดำรงชีวิตต่อไปได้แน่นอน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตะขิ่น บา เตง ตินที่ขาดเกลือซึ่งนั่นก็คือร่างกายที่อ่อนแอผิดปกติ เขาในวัยสิบแปดปีดูไปแล้วกลับเหมือนอายุสิบสองสิบสาม คนในบ้านต่างก็อาศัยภูเขาป่าไม้เด็ดสมุนไพรจำนวนหนึ่งไปขายข้างนอก จากนั้นไปแลกเป็นของใช้จำเป็นในชีวิตจำนวนหนึ่ง
ตะขิ่น บา เตง ตินจำได้แม่นว่าการมาถึงของกลุ่มคนยี่สิบกว่าคน ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคนแค่ร้อยกว่าคนตื่นเต้นกันยกใหญ่ เพราะคิดไม่ถึงว่าคนจีนพวกนี้จะนำสิ่งของที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดอย่างเกลือมาเป็นจำนวนมาก
เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนของคนพวกนั้นประหลาดอยู่บ้าง พวกเขาต้องการยืมสัตว์ลากจูงสี่สิบกว่าตัวของหมู่บ้าน และยังใช้แค่วันเดียว วันที่สองก็เอามาคืน
รัฐฉานกับเขตแดนยูนนานของจีนไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน คนทั้งสองประเทศจึงไปมาได้สะดวก ค้าขายไปมากันเป็นประจำ บวกกับชาวบ้านทั้งสองประเทศไร้เล่ห์เหลี่ยม ในสมองไม่มีคำว่าพ่อค้าหน้าเลือด
ดังนั้นธุรกิจจึงตกลงกันได้ราบรื่นมาก และตอนเย็นวันที่สอง คนจีนพวกนั้นก็เอาพวกล่อพวกม้ามาคืนตามที่สัญญาไว้ มีแค่ล่อม้าสามตัวที่ตกไปตายที่ระหว่างเขา พวกเขาก็ชดเชยเงินให้จำนวนหนึ่ง
ว่ากันตามปกตินี่ก็เป็นการทำธุรกิจธรรมดาครั้งหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่น่าแปลกใจอะไร แต่สำหรับตะขิ่น บา เตง ตินซึ่งในตอนนั้นเป็นคนส่งล่อม้าให้ชาวจีน เหตุการณ์ที่เขาเห็นกลับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ง่ายดายขนาดนั้น
หลังจากที่นำล่อม้าไปส่งยังสถานที่ที่คนจีนกำหนดไว้ ตะขิ่น บา เตง ตินนึกอยากรู้อยากเห็น ตอนนั้นเดินไปได้ไม่ไกลกลับปีนไปบนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง สังเกตการกระทำของชาวจีนเหล่านั้นจากที่นั่น
เขาพบว่าชาวจีนพวกนั้นนำกล่องไม้สิบกล่องแขวนไว้บนหลังล่อม้าเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามของเขตเขาแห่งนี้ นั่นก็คือภูเขาปีศาจที่พอคนในพื้นที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ในใจของคนพม่า มีสถานที่สองแห่งที่ไม่สามารถเข้าไปได้ ที่หนึ่งคือ “เขาคนป่า” ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองมยิจีนาทางตอนเหนือของพม่า ที่นั้นเขาใหญ่ป่าทึบ ไข้มาลาเรียระบาด ว่ากันว่าเดิมทีเคยมีคนป่าปรากฏกายและหลบซ่อนอยู่ ดังนั้นพื้นที่ร้อยสิบกิโลเมตรโดยรอบก็กลายเป็นเขตไร้ผู้คน
ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น กองทัพที่จีนที่ หนึ่งแสนห้าพันนายเดินข้ามเขาคนป่าไปยังอินเดียเหลือเพียงแค่สามสี่พันคน แม้แต่เศษก็ไม่ถึง ในจำนวนทหารทั้งหมดหนึ่งแสนคนของกำลังรบนอกประเทศของจีนที่เข้าพม่าเพื่อร่วมสงคราม ณ ตอนนั้นทหารจีนที่พลีชีพในการสู้รบมีประมาณหนึ่งหมื่นกว่านาย แต่กลับมีห้าหมื่นนายตายที่เขาคนป่า
ดังนั้นเขาคนป่าจึงได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก หลังสงครามแม้ว่านักวิชาการแต่ละประเทศจะเข้าไปทำการสำรวจศึกษา แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เลวร้ายมาก สุดท้ายต่างก็คว้าน้ำเหลวกลับไป
สถานที่ต้องห้ามอีกที่หนึ่งของพม่าก็คือเขาปีศาจซึ่งตั้งอยู่ในเขตรัฐฉาน ที่นั่นมียอดเขาซ้อนกัน ต้นไม้ใบหญ้าแน่นดุจทะเล บึงในป่าขยายไปไม่หยุด ลุ่มน้ำ เขาใหญ่ ป่าทึบ สัตว์ป่าดุร้ายอาละวาด ไข้มาลาเรียแพร่กระจาย รู้กันแค่ด้านในใจกลางรัฐฉาน โดยไม่ให้คนทั่วไปรับรู้
แต่สถานที่ในเขาปีศาจที่ทำให้คนกลัวไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ในเขามีถ้ำหินเยอะมาก ปากถ้ำจำนวนมากเหมือนช่องแคบระหว่างหุบเขาทั่วไป เมื่อเข้าไปจะไม่สังเกตเห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากเดินลึกเข้าไปด้านในก็จะพบในทันทีว่าตนเองได้เข้ามาในถ้ำแล้ว
ถ้ำเหล่านี้ตัดสลับกันคล้ายเขาวงกตทั่วไป และข้างในมีงูอนาคอนดาจำนวนมากซึ่งชอบที่มืดและเย็นอาศัยอยู่ ตาของงูอนาคอนดาเหล่านี้เกือบจะบอดสนิท แต่การรับกลิ่นและการได้ยินเสียงของพวกมันกลับรับรู้ได้ไวผิดธรรมดา หากมีอะไรขยับ เป็นไปได้มากว่าจะตกอยู่ในวงล้อมของงูอนาคอนดาจำนวนมาก
ดังนั้นหลังจากที่มีคนเข้าไป โดยพื้นฐานแล้วความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดกลับมานั้นน้อยมาก สำหรับคนในพื้นที่รัฐฉาน การเข้าไปในเขาปีศาจอาจจะรอดชีวิตออกมาได้ แต่หากเข้าไปในถ้ำเหล่านี้โดยไม่ตั้งใจแล้ว นั่นมีแค่เส้นทางแห่งความตายเพียงอย่างเดียว
ชาวรัฐฉานที่เกิดใกล้เขาปีศาจ ตั้งแต่เล็กจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าห้ามเข้าไปในเขาเด็ดขาด แต่ก่อนตอนที่ตะขิ่น บา เตง ตินอายุสิบแปด เขาก็ไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปด้านในเขาแม้แต่ก้าวเดียว
ดังนั้นหลังจากที่เขาเห็นคนจีนพวกนั้นต้อนล่อม้าเข้าไปในเขา ปฏิกิริยาแรกคือหลังจากวันนี้ที่หมู่บ้านจะไม่มีปศุสัตว์ให้ใช้ไถไร่นากันแล้ว เพราะในความทรงจำของเขาไม่เคยมีคนหรือปศุสัตว์เข้าไปในเขาแล้วยังมีชีวิตออกมา
เพราะความอยากรู้อยากเห็น ตะขิ่น บา เตง ตินก็คอยจับตาดูอยู่ที่ที่มองเห็นทางเข้าของเขาปีศาจตลอด หนึ่งวันผ่านไปก็เกิดเรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าคนจีนพวกนั้นจะต้อนล่อต้อนม้าออกมาจากในเขา
ตะขิ่น บา เตง ตินที่ระมัดระวังพบว่าแต่เดิมทั้งหมดมีล่อม้าห้าสิบหกตัวกับคนยี่สิบแปดคนเข้าไป แต่เมื่อออกมากลับเหลือล่อกับม้าเพียงห้าสิบตัวกับคนยี่สิบห้าคน พูดได้ว่า ความสูญเสียของพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้มีเพียงล่อม้าหกตัวกับคนสามคน
รอจนหลังจากพวกคนจีนเหล่านั้นคืนล่อม้า ชดใช้ค่าเสียหายแล้วจากไป หัวใจวัยหนุ่มของตะขิ่น บา เตง ตินก็ปั่นป่วนขึ้นในทันที คนจีนเข้าไปทำอะไรในเขาปีศาจ? ทำไมถึงออกมาอย่างปลอดภัย ความสงสัยเหล่านี้ทำให้เขาสับสนไม่หยุดมาตลอด
หลังจากนั้นสองปีก็เกิดสงครามกลางเมืองพม่า หมู่บ้านเล็กๆ บนเขาที่มีชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากก็ได้รับผลกระทบไปด้วย สิ่งของจำเป็นมากมายที่ได้จากภายนอกก็ยากที่จะได้รับอีก คนหนุ่มสาวจำนวนมากในหมู่บ้านออกจากภูเขาใหญ่ไปร่วมต่อต้านรัฐบาลทหาร
แต่ตะขิ่น บา เตง ตินไม่ได้ออกไป เขาเอาความลับที่เก็บอยู่ในใจสองปีไปเล่าให้เพื่อนสามคนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กฟัง
ตามสถานการณ์ที่ตะขิ่น บา เตง ตินสังเกตดู พวกเขาก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วมาก ด้านในกล่องที่คนจีนพวกนั้นถือต้องซ่อนสมบัติก้อนโตไว้แน่นอน และสมบัติเหล่านั้นเวลานี้ก็ซ่อนอยู่ในเขาปีศาจ
สุภาษิตกล่าวว่าเงินสามารถจับใจคน ถ้าได้สมบัติก้อนนั้น พวกเขาก็สามารถออกจากพม่าที่อัตคัดนี้ไปใช้ชีวิตที่ประเทศอื่น ภายใต้สิ่งล่อใจอันมหึมานี้ สุดท้ายพวกตะขิ่น บา เตง ตินก็ตัดสินใจเข้าไปในเขาปีศาจ!
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ตะขิ่น บา เตง ตินยากที่จะลืมเลือนไปชั่วชีวิต ถึงขนาดในระหว่างสี่สิบกว่าปีต่อมา เขาตกอยู่ในสภาพที่จิตใจไม่ปกติสุดขีดมาโดยตลอด จนกระทั่งพบกับคิตะมิยะ นาโอกิ หลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยยาครั้งหนึ่ง ตะขิ่น บา เตง ตินก็ค่อยๆ รื้อฟื้นเรื่องราวที่ถูกเขาปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลาเกือบครึ่งกว่าศตวรรษ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นของตะขิ่น บา เตง ตินก็ฉายแววหวาดกลัว ปากหุบแน่นทันที สองมือปัดป่ายอยู่กลางอากาศ ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ไปให้พ้น เจ้าปีศาจ ไปให้พ้นจากฉันเลย!”
“บ้าเอ้ย เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย” ในช่วงเวลาสำคัญนี้จู่ๆ ตะขิ่น บา เตง ตินก็ปิดปากไม่พูด คิตะมิยะ ฮิเดโอะโมโหทันทีจนลุกขึ้นยืน แทบอยากจะยื่นมือทั้งสองข้างไปบีบคอตะขิ่น บา เตง ติน
ต้องเข้าใจว่านี่เป็นข้อมูลที่มีค่าที่สุดที่ได้ยินในรอบเกือบห้าสิบปีที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะตามหาทองกองนี้
……