GGS:บทที่ 979 ยุ่งเหยิง

 

ด้วยการที่มีเรื่องราวการรักษาอันน่ามหัศจรรย์ของซูจิ้งที่แพร่ออกไปจากคลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนอย่างแต่เนื่องและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ซูจิ้งเปรียบได้ดั่งหมอเทวดาฮัวโต๋ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้เหล่าผู้ที่ออกมาทัดทานในฝีมือการแพทย์ของซูจิ้งและกล่าวหาว่าเขานั้นเป็นคนหลอกลวงทำได้เพียงคุกเข่ายอมแพ้แต่โดยดี

ชาวเน็ตเองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกอินเตอร์เนต

 

“ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ซูจิ้งคือหมอเทวดาโดยแท้”

“เขาไม่ได้เรียนจบการแพทย์มา เขาสมควรเรียนการแพทย์มาจากหนทางอื่นอย่างแน่นอน ว่าแต่วิชาแพทย์ที่เขาได้เรียนมาทำไมมันก้าวล้ำขนาดนี้ได้กัน”

“นี่ฉันพาลนึกไปถึงตำราแพทย์โบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นที่เขาได้พบมาก่อนหน้านี้นะ ไม่รู้ว่าเขาได้เรียนจากตำราเล่มนั้นมารึเปล่า”

“ไม่น่านะ ตำรานั่นมันเก่าแก่โบราณขนาดนั้นแล้วไม่ว่าจะมีข้อมูลการแพทย์ดีขนาดไหนก็ไม่น่าจะเทียบกับความรู้การแพทย์แผนปัจจุบันได้”

 

“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว แม่…งเอ๊ย เป็นไปได้ยังไงกัน”

หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวการรักษาอันน่ามหัศจรรย์ของซูจิ้งที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ฉิวจิงจะตื่นเต้นเหมือนกันแต่ตัวเขาก็ยังไม่เชื่อว่าซูจิ้งจะทำได้อยู่ดี

ตัวเขาที่คลุกคลีมาในวงการแพทย์ตั้งแต่ต้นแล้วเขาจะไปน้อยหน้ากว่าซูจิ้งได้ยังไงกัน หากว่าเขาได้รับความรู้เหล่านี้มาย่อมทำได้ดีกว่าซูจิ้งเป็นแน่อยู่แล้ว

 

ที่สำคัญที่สุด เขาคงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยหากได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถเหนือวงการแพทย์แผนปัจจุบันที่ไม่สามารถรักษาโรคพวกนี้ได้

ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของฉิวจิงได้ดังขึ้นมา หลังจากเห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของภรรยาก็ได้รีบรับสายในทันที

ภรรยาของฉิวจิงเต็มไปด้วยความหวังและตื่นเต้น เธอพูดออกมาว่า “ฉิวจิง คุณได้เห็นข่าวเรื่องโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั่นรึเปล่า”

“เห็นสิ แล้วทำไมเหรอ” ฉิวจิ้งที่ได้ยินคำถามนี้ได้แต่นิ่งอึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมภรรยาถึงได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ไปด้วย

“ทำไมเหรอ นายถามกลับมาได้ยังไงกัน รีบไปหาหมอซูแล้วช่วยให้เขารักษาภาวะการมีบุตรยากของฉันน่ะสิ” เสียงจากปลายสายแทบจะด่าเปิงออกมาในทันทีแต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นที่เก็บซ่อนเอาไว้ไม่ได้

“ห้ะ เขารักษาภาวะการณ์มีบุตรยากได้ด้วยเหรอ ไม่ใช่มั้ง”

หน้าผากของฉิวจิงกระตุกขึ้นไปเล็กน้อยในทันที มาถึงตอนนี้ถึงแม้ว่าเขานั้นจะได้รับฉายาว่าเป็นหมอเทวดาก็จริงแต่เขาก็ไม่น่าจะรักษาได้หมดทุกโรคแบบนี้

อีกอย่าง โรคภาวะมีบุตรยากเป็นโรคทางพันธุกรรมไม่มีทางที่คนอย่างหมอนั่นจะเข้าใจได้หรอก

“ทำไมจะรักษาไม่ได้ นี่นายได้อ่านข่าวจริงๆรึเปล่าเนี่ย เขาเพิ่งจะรักษาหญิงวัยกลางคนที่อายุกว่า 40 ปีที่มีภาวะมีบุตรยากคนหนึ่งที่พยายามมีลูกมากว่าสิบปีแต่ก็ไม่มีสักที เธอพยายามรักษามาทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล แต่เพียงเธอเข้ามาพบซูจิ้งก็หายในทันทีเลยนะ”

“ว่าไงนะ” หัวใจของฉิวจิงนิ่งกริบในทันที เขารีบเปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็พบข่าวนี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันทีที่ได้อ่านข่าวนี้ ความรู้สึกในใจของเขาในตอนนี้ยุ่งเหยิงจนยากจะสงบใจได้ ในที่สุดก็เกิดคนถามหนึ่งขึ้นมาในใจของเขาว่า แม้แต่โรคแบบนี้ก็ยังรักษาได้

 

หากเป็นสถานการณ์ปกติล่ะก็เมื่อเขาได้ยินเรื่องแบบนี้จะต้องมีความสุขอย่างมากอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะหากภรรยาของเขาสามารถรักษาอาการภาวะการมีบุตรยากได้จริง สถานการณ์ของเธอในตระกูลของเขาจะดีขึ้นอย่างมาก

แต่ที่เขานั้นไม่มีความสุขเอาซะเลยคือเขานั้นไม่ยากจะยอมรับว่าซูจิ้งมีทักษะทางการแพทย์ที่เหนือล้ำกว่าเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ภรรยาของเขาหาย เพียงแต่เขาไม่อยากจะไปก้มหัวขอร้องให้ซูจิ้งเพื่อรักษาภรรยาของเขาเท่านั้นเอง หากว่าเขาไปของร้องซูจิ้งก็เปรียบได้ดังการที่เขายอมรับความพ่ายแพ้ซูจิ้งนั่นเอง

 

“เหมิงเหมิง ค่ารักษาของเขามันแพงมากเลยนะ ราคาเริ่มต้นตั้งหนึ่งล้านหยวนแน่ะ ต่อให้เขารักษาเธอได้จริงแต่เราไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะ” ฉิวจิงในตอนนี้ได้แต่พูดเกลี้ยกล่อมภรรยาตัวเองให้ตัดใจเท่านั้น

“แต่ถ้าเขารักษาหายได้ก็คุ้มค่าไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง เขาเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับคุณนี่นา ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันหากขอร้องเขาสักหน่อยล่ะก็ เขาเองก็ไม่น่าจะคิดค่ารักษาเราเพิ่มเติมอะไรนัก ดีไม่ดีอาจไม่คิดค่ารักษาเลยด้วยซ้ำ เราไปหาเขาด้วยกันดีกว่านะ หากขาดเหลืออะไรยังไงพ่อแม่ของคุณและฉันก็สามารถช่วยได้อยู่แล้ว รวมๆกันแล้วก็น่าจะได้ล้านแหล่ะ”

 

“แต่ว่าฉัน…ฉันเคยโพสต์ในไมโครบลอกใส่ร้าย….”

“คุณจะกังวลมากเกินไปรึเปล่า ถ้าคุณไม่ได้ว่าร้ายอะไรเขาตรงๆอย่างไม่มีเหตุผลล่ะก็ไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องลบโพสต์นั้นเลยด้วยซ้ำ

ใครจะไปรู้ ดีไม่ดีเขาจะไม่เคยสนใจโพสต์แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างฉันทนพ่อแม่ของคุณไม่ไหวแล้วนะ

หากว่านายยังขี้ขลาดอิดออดไม่กล้ายอมรับความจริงแล้วตัดสินใจล่ะก็ นายต้องเลือกแล้วล่ะระหว่างการเลือกฉันแล้วแตกหักพ่อแม่ หรือจะเลิกกับฉันเพราะฉันมีหลานให้พ่อแม่คุณไม่ได้น่ะ เลือกเอาก็แล้วกัน”

 

“ก็ได้ก็ได้ ฉันสัญญาว่าจะคุยกับซูจิ้งให้เธอ แต่อย่าคาดหวังมากนักล่ะ” ฉิวจิงในตอนนี้ทำได้เพียงคิดหนักเท่านั้น

แต่ไม่นานเขาก็เลือกได้แล้ว เขานั้นไม่อยากจะสูญเสียภรรยาที่สูงสง่าและสวยงามอย่างภรรยาของเขาไป ความจริงแล้วภรรยาของเขานั้นมีดีทุกอย่างเว้นเพียงอย่างเดียวคือภาวะมีบุตรยาก เขามั่นใจว่าจะไม่เจอใครที่ดีเท่านี้อีกแล้ว

ทันทีที่ฉิวจิงตัดสินใจได้ เขาได้รีบเข้าไปรับข้อความที่โพสต์ลงไปในไมโครบลอกของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรักษาของซูจิ้งทุกอัน ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมว่าซูจิ้งจะยังไม่เห็นข้อความเหล่านั้น

แต่เขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าหากซูจิ้งได้เห็นเขาจะทำการขอโทษไปตรงๆแต่อ้างเหตุผลว่าเป็นการวิเคราะห์ตามความรู้การแพทย์แผนปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตามเขาเองก็เหมือนจะยังตัดใจโทรไปหาซูจิ้งไม่ได้เพราะหลังการปฏิเสธ เขาพยายามคิดหาทางอื่นอย่างการหาเพื่อนเก่าๆที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาและซูจิ้งอย่างมู่ติงช่วยพูดให้

แต่เมื่อเขาลองหาดูกลับพบว่ากลุ่มเพื่อนของเขาและซูจิ้งนั้นการเป็นคนล่ะกลุ่มกันอย่างสิ้นเชิง เขาไม่พบใครอื่นเลยนอกจากมู่ติงที่คุ้นเคยกับซูจิ้งกว่าใครใครที่เขาพอจะคุยด้วยได้

แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังหยานและซูจิ้งที่จบกันไปไม่ได้ด้วยดีแล้ว ถึงแม้เรื่องมันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมู่ติงแถมยังบอกอีกว่าทั้งคู่ลืมเรื่องราวที่ผ่านมาไปหมดแล้วก็ยังทำให้ฉิวจิงอดกังวลไม่ได้อยู่ดี

 

“ถามจริงเหอะ ทำไมนายถึงกล้าบอกออกมาว่าซูจิ้งนั้นไม่คู่ควรกับการเป็นหมอทั้งๆที่นายเองยังไม่เคยเห็นผลการรักษาของเขากับตาตัวเองแบบนั้นได้” มู่ติงที่ฟังสภานการณ์จากฉิวจิงบ่นออกมาพลางถอนหายใจยาวๆ

“ฉันไม่ได้อยากจะกล่าวหาเขาสักหน่อย ก็แค่ตอนนี้ฉันตกใจเฉยๆ เพราะว่าจะมุมมองทางการแพทย์ในปัจจุบันสิ่งที่เขาทำออกมาไม่มีทางเป็นไปได้นี่นา

ใครจะไปคิดว่าเขาสามารถรักษาได้จริงกัน ฉันด่วนตัดสินเขาไปเอง ฉันรู้ว่าฉันผิดที่กล่าวหาเขาไป ฉันจะขอโทษเขาเอง

ช่วยฉันหน่อยนะ ช่วยให้ความฝันของฉันเป็นจริงหน่อยนะ ช่วยฉันคุยกับเขาเรื่องแฟนของฉันหน่อย” ฉิวจิงพูดออกมา

 

มู่ติงที่ได้ฟังก็ได้แต่นิ่งเงียบไป ความจริงนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซูจิ้งนั้นสุดแสนจะธรรมดา ที่รู้จักกันก็เพียงเพราะว่าอยู่มหาวิทยาลับเดียวกันและเจอตอนที่เขามาหาหวังหยานเพียงเท่านั้นแต่ก็ยังบ่อยกว่าใครเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันอยู่ดี

แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าภรรยาของฉิวจิงนั้นมีปัญหาและเธอก็รู้จักภรรยาของเขาดีในระดับหนึ่ง ในที่สุดเธอก็ได้พูดออกมาว่า

“ก็ได้ ฉันจะช่วยนาย แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันกับซูจิ้งไม่ได้สนิทอะไรกัน เขาเองก็อาจไม่ได้ไว้หน้าฉันหรอกนะ

ทางที่ดีหากนายได้เจอเขาก็ควรที่จะขอโทษอย่างจริงใจ และหากเขายอมยกโทษให้ก็อย่าได้ละเลยต่อความใจดีของหมอนั่นที่ให้อภัยนาย”

“ฉันเข้าใจ เข้าใจแล้ว ขอบคุณเธอมาก” ฉิวจิงได้พูดพลางถอนหายใจออกมาอย่างวางใจ

 

เย็นวันนั้น ฉิวจิงและภรรยาพร้อมทั้งมู่ติงได้ไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงด้วยกัน พวกเขาไม่ได้จ่ายเงินล้านหยวนเป็นแค่ธรรมเนียมแต่อย่างใด

ทั้งหมดเพียงแสดงตนว่าเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของซูจิ้งและฝ่ายต้อนรับก็ได้รับเรื่องไว้ก่อนหน้านี้แล้วจึงพาพวกเขาไปยังคลีนิกพิเศษโดยมีซูจิ้งออกมารับด้วยตัวเอง

“ท่านเทพซูนี้เพียงไม่ได้เห็นกันแค่ไม่กี่สิบวันก็กลายเป็นหมอเทวดาไปซะแล้ว” มู่ติงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“แหม่ๆ พูดกันอย่างนี้จะให้ฉันตอบว่ายังไงล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบไปด้วยรอยยิ้ม

“หมอเทวดานี่ฉันก็ไม่ได้ตั้งให้นายซะหน่อย แต่เป็นสาธารณชนเขาตั้งให้ต่างหาก” มู่ติงพูดพลางยิ้มออกมาก่อนที่จะหันไปชี้ที่ฉิวจิงและภรรยาก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ให้ฉันแนะนำให้นายรู้จักก่อนก็แล้วกัน คนนี้คือฉิวจิงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยเดียวกัน ส่วนคนนี้เมิ่งเซียงเป็นภรรยาของเขา”

“สวัสดีค่ะคุณซู” เมิ่งเซียงได้ยื่นมือออกเพื่อจับมือทักทายอย่างสุภาพและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซูจิ้งเองก็ยื่นมือออกมาจับด้วยไมตรีจิตอย่างดี

ฉิวจิงที่เห็นเป็นแบบนี้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้งๆก่อนที่เขาจะยื่นมือออกมาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามซูจิ้งชักมือกลับไปในทันทีโดยไม่สนใจมือของฉิวจิ้งที่ยื่นค้างไว้กลางอากาศอยู่อย่างนั้น นี่ทำให้บรรยากาศภายในห้องแปรเปลี่ยนไปในทันที

 

เมิ่งเซียงที่เห็นดังนั้นจึงได้ผลักฉิวจิงอย่างแรงราวกับอยากจะให้เขานึกให้ออกว่าต้องพูดขอโทษออกมา

“ซูจิ้ง คือ…”ฉิวจิงในตอนนี้ทำได้เพียงหัวเราะแบบแหยๆออกมา ตอนแรกเขาอยากจะทำเป็นแกล้งโง่อยู่เต็มแก่แล้วทึกทักไปเองว่าซูจิ้งยังไม่รู้เรื่องของเขาที่ก่อเอาไว้ในไมโครบลอก

แต่ดูจากบรรยากาศแล้วเขาเองก็คงทำตัวไม่รู้ไม่เห็นต่อไปไม่ได้เพราะดูยังไงซูจิ้งก็น่าจะรู้แล้วอย่างแน่นอน ทางเลือกของเขาในตอนนี้ก็แค่เพียงขอโทษออกไปตรงๆเท่านั้น

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้พูดออกมาว่า “จากความรู้ทางการแพทย์ของฉันทำให้คิดว่านายไม่มีฝีมือการแพทย์ระดับที่ล้ำหน้าใครในโลกได้เลยจริงๆ

ฉันคิดผิดเองที่ทำเรื่องแบบนั้นจนสร้างความเสียหายให้นายฉันขอโทษด้วย

แต่ด้วยเรื่องนั้นทำให้เมื่อความจริงปรากฎแล้วว่านายนั้นคือหมอที่แท้จริงและกลับได้รับความนิยมยิ่งกว่าเดิม เพราะฉะนั้นก็ถือว่าไม่ได้ไม่เสียหายอะไร

เราอย่ามาต่อสู้ทั้งๆที่เราทั้งคู่ไม่ได้บาดหมางอะไรกันเลยดีกว่านะ นายได้สอนบนเรียนดีๆให้กับฉันแล้วและยังได้สร้างชื่อเสียงให้กับการแพทย์แผนจีนอีกด้วย จนแม้แต่การแพทย์ทั่วทั้งโลกก็ยังตกตะลึง…”

 

ฉิวจิงพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาและทุกคำพูดล้วนแล้วแต่ดูดีอย่างมาก แต่นั่นกลับทำให้มู่ติงขมวดคิ้วหนักมากพลางคิดไปว่า

ที่เธอบอกไปก่อนหน้านี้ว่าให้ฉิวจิงพูดออกมาอย่างจริงใจนี่ไม่ได้เข้าหัวสมองหมอนี่เลยรึไงนะ หรือว่าหมอนี่มันพูดได้แต่คำพูดแบบนี้รึไงกัน