ตอนที่ 1981

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,981 : ภัยซ่อนเร้น!

 

สองวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในเขตลงทัณฑ์ของเหมืองลำดับที่ 1 แห่งแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ก็ได้พบพานกับอาวุโสกัวฉงอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้สีหน้าของกัวฉงไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

 

“อาวุโสกัวฉง…เกิดเรื่องใดหรือ?”

 

เมื่อเห็นสีหน้าของกังฉง สังหรณ์อัปมงคลหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนทันที

 

“ตอนที่ข้าไปถึงสกุลหง…สกุลหงก็ถูกทำลายจนราบคาบ หลายร้อยชีวิตของสกุลหงมิมีผู้ใดรอด”

 

กัวฉงกล่าวออกเสียงเข้ม “อันที่จริงก่อนจะไปยังสกุลหงด้วยตัวเองข้าก็คิดคาดไว้แล้ว…พวกเรารู้กันดีว่าหลี่อันนั้นมันอำมหิตเพียงใดทั้งยังละเอียดรอบคอบเพียงไหน บางทีตั้งแต่ที่มันคิดใช้หงชวีให้มาจัดการกับเจ้า มันก็ไม่คิดจะละเว้นสกุลหงแต่แรกแล้ว”

 

“ถึงแม้หงชวีจะลงมือฆ่าเจ้าได้สำเร็จ ข้ากลัวว่าหลี่อันก็ไม่คิดจะปล่อยสกุลหงไปอยู่ดี! เพราะมันสมควรหวาดกลัวว่าในภายภาคหน้าสกุลหงจะล้างแค้นมัน เพราะใต้หล้านี้ไม่มีประตูใดกั้นลมสมบูรณ์ สักวันสกุลหงก็ต้องสงสัยว่าการตายของหงชวีมีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน!”

 

“ปรากฏว่าเป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด…เมื่อข้าไปถึงสกุลหง เป็นหลี่อันที่ได้ชิงลงมือก่อนก้าวหนึ่ง ฆ่าล้างสกุลหงจนไม่มีผู้ใดรอด”

 

กัวฉงกล่าวออกมารวดเดียวจบ

 

“โหดเหี้ยมนัก!”

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั่วกายเมื่อได้สัมผัสถึงความชั่วร้ายของหลี่อันอย่างลึกซึ้ง

 

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าอันตรายจากหลี่อันนั้นมากขึ้นไม่น้อย

 

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจ ‘หงชวีข้าได้กระทำตามคำขอของเจ้าแล้ว…โชคร้ายที่หลี่อันมันชิงลงมือกับสกุลหงของเจ้าก่อน! แต่เจ้าอย่าได้ห่วงไป อีกไม่นานข้าจะส่งหลี่อันไปหาเจ้าในปรโลก!’

 

หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งสองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเยียบเย็นอันน่าสะพรึงกลัว

 

หลี่อันคนนี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องฆ่ามันให้ได้!

 

ทันใดนั้นเอง คล้ายกัวฉงจะคิดอะไรได้ มันพูดบอกต้วนหลิงเทียนออกมาทันที “นอกจากนั้นข้าคิดจะไปยังหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อรายงานเรื่องที่หลี่อันกล่าวข่มขู่บีบคั้นหงชวี ถึงขั้นบีบให้หงชวีมาก่อเรื่องที่เขตลงทัณฑ์…อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เจ้าต้องเตรียมใจรับผลไว้ด้วย ว่าแม้หอคุมกฏจะลงโทษหลี่อัน แต่เรื่องราวทั้งหมดจะไม่ถูกแพร่ออกไป”

 

“แล้วพวกเราเป็นคนแพร่กระจายเรื่องราวออกไปเองไม่ได้รึไง?”

 

ต้วนหลิงเทียนยังจำได้จากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เป็นเพราะการปล่อยให้เรื่องราวมันแพร่ออกไป ถึงบีบคั้นหอคุมกฏผลักไสศิษย์เอกของหลี่อันอย่างเว่ยเหอให้ไปอยู่ขอบเหว กระทั่งสุดท้ายมันก็ต้องถูกประหารเพราะเรื่องนี้!

 

“อย่าได้วู่วาม!”

 

อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนกล่าวเสนอออกมา กัวฉงกลับคัดค้านทันที

 

ครู่ต่อมากัวฉงพลันกล่าวออกเสียงเข้ม “เรื่องนี้แตกต่างจากกรณีของเว่ยเหอ ก่อนหน้าเป็นหอคุมกฏพยายามรักษาความศักดิ์สิทธิ์ เพราะอย่างไรก็เป็นเว่ยเหอกล้าลูบคมหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์! ทว่าเรื่องราวคราวนี้มันต่างกัน หากคราวนี้แพร่ข่าวลือออกไปก็ไม่ต่างจากเจ้าท้าทายหอคุมกฏโดยตรง!”

 

“และถึงต่อให้แพร่กระจายออกไปก็คงไม่เกิดผลอะไร ท้ายที่สุดแล้วหลี่อันมันก็เป็นถึงอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1! หอคุมกฏย่อมไม่คิดจะทำอะไรมันมาก! อีกทั้งคราวนี้หลี่อันก็ไม่ได้เป็นคนที่มาลงมือกับเจ้าด้วยตัวเอง ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้ายังอยู่รอดปลอดภัย!”

 

กัวฉงกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็เผยความซับซ้อนออกมา “เว้นเสียแต่เจ้าจะขอให้เผ่าพันธุ์มังกรเข้ามาแทรกแซง…หากมีแรงกดดันจากเผ่าพันธุ์มังกรเข้ามาเสริมล่ะก็ บางทีหอคุมกฏอาจพิจารณาเรื่องลงโทษหลี่อันให้หนักขึ้น!”

 

ครั้งสุดท้ายที่มันได้เจอต้วนหลิงเทียน มันยังไม่ทันได้รู้เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ

 

จนวันนี้มันถึงได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นถึงนักรบมังกร 9 กรงเล็บ!

 

สถานะของต้วนหลิงเทียนในฐานะนักรบมังกร 9 กรงเล็บนั้น ไม่ได้ต่ำต้อยแม้แต่น้อย กระทั่งเทียบได้กับมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บในเผ่าพันธุ์มังกรด้วยซ้ำ!

 

“เผ่าพันพันธุ์มังกร?”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมเผยยิ้มขื่นขมหลังได้ยินคำของกัวฉง “อาวุโสกัวฉงข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าพันธุ์มังกร…อันที่จริงกระทั่งเผ่าพันธุ์มังกรตั้งอยู่ที่ไหนข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เผ่าพันธุ์มังกรแทรกแซงเรื่องนี้”

 

“ดูเหมือนว่าเรื่องราวของเจ้าจะเป็นอย่างที่คนอื่นคาดเดากันไว้…เจ้าสมควรได้รับสืบทอดมรดกที่มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเหลือทิ้งไว้”

 

กัวฉงระบายลมหายใจออกมา

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบอะไร แต่สำหรับกัวฉงแล้วการนิ่งเงียบไปก็ไม่ต่างใดจากการยอมรับ

 

“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าสมควรได้รับสืบทอดมรดกจากมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บที่ภูมิภาคเบื้องล่างใช่หรือไม่? เพราะเท่าที่ข้ารู้มาตั้งแต่ที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งแยกออกเป็นสอง ในภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่มีบันทึกเรื่องราวใดๆเกี่ยวกับมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเอาไว้อีกเลย! เรียกว่ามังกรเทพยดา 9 กรงเล็บไม่เคยปรากฏตัวในภูมิภาคเบื้องบนก็ว่าได้!”

 

กัวฉงกล่าวคาดเดาออกมา

 

ตั้งแต่ที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งแยกออกเป็นสอง ในภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่มีบันทึกเรื่องราวใดๆเกี่ยวกับมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเอาไว้เลย! เรียกว่ามังกรเทพยดา 9 กรงเล็บไม่เคยปรากฏตัวในภูมิภาคเบื้องบนก็ว่าได้!?

 

ได้ยินการคาดเดาของกัวฉง ต้วนหลิงเทียนคล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง หน้าของเขาเปลี่ยนสีไปทันที

 

‘บัดซบ…ข้าพลาดแล้ว! ทำไมไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้แต่แรก!!’

 

ตอนนี้ที่สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างร้ายแรงไม่ใช่เพราะใดอื่น ล้วนเป็นเพราะการคาดเดาของกัวฉงเมื่อครู่ล้วนๆ!

 

เรื่องที่คนอื่นๆจะคาดกันไปว่าเขาได้รับมรดกตกทอดจากมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเขาไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเขาคิดไว้แล้ว

 

อย่างไรก็ตามเมื่อครู่กัวฉงว่าอะไรนะ?

 

กัวฉงบอกว่าในบันทึกของภูมิภาคเบื้องบนไม่เคยมีเรื่องการปรากฏตัวของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บบันทึกไว้อยู่เลย และเขาสมควรได้รับการสืบทอดมรดกมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง!

 

เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรไฉนต้วนหลิงเทียนจะไม่ทราบ!

 

กัวฉงเดาได้ แล้วหลี่อันมันจะเดาไม่ได้เหรอ!?

 

นอกจากนี้อาวุโสลำดับที่ 5 แห่งวังอุดรไพศาลจะคาดเดาเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ!?

 

‘ระยำ ข้ากลับไม่รู้ว่าภูมิภาคเบื้องบนไม่มีบันทึกเรื่องนี้เอาไว้…ทำไมข้าเลอะเลือนถึงขั้นลืมคิดถึงเรื่องพวกนี้ไปได้ หากรู้ว่าเรื่องนักรบมังกร 9 กรงเล็บจะโยงไปถึงเรื่องที่ข้ามาจากภูมิภาคเบื้องล่างได้! รู้งี้ข้าเลือกใช้กระบี่นิลสวรรค์ออกไปแทนที่จะแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บดีกว่า!!’

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสียใจอย่างหนัก

 

เพราะเขารู้ว่าเรื่องนี้อาจนำภัยไปสู่ครอบครัวและสหายเขาที่อยู่เบื้องหลัง!

 

และยังเสมือนเขาเป็นผู้ที่ชี้ทางให้ศัตรูทั้งคู่อย่างหยางชงและหลี่อันได้รับเบาะแสเรื่องภูมิภาคเบื้องล่างด้วยตัวเอง!

 

“ต้วนหลิงเทียนเจ้าเป็นอะไรไป…”

 

กัวฉงอดถามออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเป็นไม่สู้ดี

 

“ไม่มีอะไร…ข้าสบายดี”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะส่งยิ้มขื่นให้กัวฉง “อาวุโสกัวฉง เรื่องที่ท่านทำให้ข้าทั้งหมดข้าซึ้งใจนัก…บุญคุณครั้งนี้ของท่านข้าต้วนหลิงเทียนจะไม่มีวันลืม”

 

“ข้าลำบากแค่เล็กน้อยเท่านั้น”

 

กัวฉงส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังพร้อมกล่าว “ต้วนหลิงเทียนด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้ คิดผ่านการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศิษย์ฝ่ายในสมควรเป็นเรื่องอันง่ายดายนัก…อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วเจ้าต้องระวังตัวให้มาก”

 

“ตอนนี้เจ้าได้เปิดเผยเรื่องที่เจ้าเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บออกมา ไม่เพียงแต่จะสร้างความหวาดกลัวให้หลี่อันมากขึ้น ข้าเกรงว่ามันคงคิดจะลงมือทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เพื่อชิงฆ่าเจ้าก่อนที่จะเติบโตเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

 

“เพราะสำหรับมันแล้วการที่เจ้ามีชีวิตอยู่เพิ่มอีกวันก็เปรียบเสมือนคืนวันอันดีของมันลดลงอีกวัน…มันไม่คิดรามือต่อเจ้าง่ายๆแน่!”

 

กัวฉงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ข้าเข้าใจ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ เขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ตอนนี้นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ

 

สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่ความปลอดภัยของตัวเองแต่เป็นความปลอดภัยของครอบครัว!

 

“อาวุโสกัวฉง ข้ามีเรื่องที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากท่านอีกครั้ง”

 

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คล้ายพึ่งตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

 

หลังจากนั้นเขาก็ทำทีเป็นล้วงหยิบหยกบันทึกเสียงออกมาจากอกเสื้อและคล้ายจะบันทึกบางอย่างลงไป ก่อนที่จะส่งให้กัวฉง เพื่อให้กัวฉงนำไปส่งให้จูลู่ฉี

 

เนื้อความในหยกบันทึกเสียงก็คือขอให้จูลู่ฉีช่วยย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และแจ้งให้ครอบครัวของเขารีบย้ายถิ่นฐานออกไปจากตำหนักเมฆาครามโดยเร็วที่สุด ไปยังที่ๆไม่มีใครสามารถหาพบได้เพื่อความปลอดภัย!

 

และในอนาคตอันใกล้นี้เมื่อเขากำจัดภัยคุกคามทั้งหมดแล้ว เขาจะไปหาทุกคนด้วยตัวเอง

 

นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังขอให้กัวฉงเป็นธุระช่วยพาจูลู่ฉีไปส่งยังค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค โดยระวังไม่ให้หลี่อันพบร่องรอยใดๆ

 

“เจ้ามาจากภูมิภาคเบื้องล่างงั้นหรือ?”

 

แม้กัวฉงจะแลดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่แปลกใจอะไร

 

เพราะสุดท้ายมันก็คาดเดาได้ว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนสามารถแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บได้ สมควรเป็นเพราะได้รับมรดกตกทอดจากมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บที่ภูมิภาคเบื้องล่าง

 

และการที่ต้วนหลิงเทียนฝากหยกบันทึกเสียง กระทั่งขอให้มันช่วยพาคนไปส่งโดยที่ไม่ให้หลี่อันร่วงรู้ มันก็สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร “เจ้ากลัวว่าหลี่อันกับอาวุโสลำดับ 5 ของวังอุดรไพศาลอย่างหยางชงจะลงไปคุกคามครอบครัวเจ้าที่ภูมิภาคเบื้องล่างงั้นเหรอ?”

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนเชื่อใจกัวฉงในระดับหนึ่ง

 

อย่างน้อยๆอีกฝ่ายก็ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกับเขา นอกจากนี้เห็นชัดว่ากัวฉงก็ไม่ถูกกับหลี่อัน เพราะฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะทรยศเขาในเรื่องนี้

 

“เรื่องนี้ข้ารบกวนอาวุโสกัวฉงแล้ว…หากท่านช่วยเหลือข้าเรื่องนี้จนทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี รวมกับหนี้บุญคุณก่อนหน้า ข้านับว่าติดค้างหนี้บุญคุณท่านครั้งใหญ่แล้วจริงๆ!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับกัวฉงด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

คำว่า ‘หนี้บุญคุณครั้งใหญ่’ เขายังกัดฟันกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก

 

กระทั่งกัวฉงเองก็ไม่ทราบว่าทำไม แต่ยามที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวว่า หนี้บุญคุณครั้งใหญ่ มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น

 

อาจเป็นเพราะเห็นอนาคตอันไร้จำกัดของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นการที่ต้วนหลิงเทียนบอกติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ ทำให้มันตระหนักได้ว่าคำนี้จะมีความหมายมหาศาลเพียงไรในภายภาคหน้า

 

“เรื่องนี้สำหรับข้านับว่าง่ายดายไม่ต่างจากพลิกฝ่ามือ…ข้าจะพาคนไปส่งให้เจ้าทันที!”

 

เมื่อรับคำเป็นมั่นเหมาะ กัวฉงก็รับหยกบันทึกเสียงมาจากต้วนหลิงเทียน และเร่งเดินทางออกจากเขตลงทัณฑ์ของเหมืองลำดับที่ 1 เพื่อมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทันที ไปหาจูลู่ฉี…

 

ต้วนหลิงเทียนเฝ้ามองกัวฉงเหินร่างจากไป จนกระทั่งเมื่อแผ่นหลังของกัวฉงหายลับไปจากสายตาแล้ว เขาพอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

“หากได้รับคำเตือนจากจ้าววังจู ท่านพ่อสมควรรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร…ยังนับว่าโชคดีนักที่อาวุโสกัวฉงกล่าวเตือนเรื่องก่อนหน้าออกมา ไม่งั้นข้าไม่มีทางรู้ถึงภัยซ่อนเร้นครั้งนี้ได้เลย”

 

พอนึกถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็น

 

ภัยซ่อนเร้นนี้หากจัดการป้องกันไม่ดี เกรงว่าอาจก่อให้เกิดหายนะอันใหญ่หลวง!

 

อันที่จริงต้วนหลิงเทียนกระทั่งคิดจะย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างด้วยตัวเอง

 

อย่างไรก็ตามพอฉุกคิดได้ว่าตอนนี้เขาเป็นศิษย์ที่กำลังถูกลงโทษให้มาใช้แรงงานที่หมืองคนหนึ่งเท่านั้น และเขายังต้องทำงานในเหมืองแห่งนี้ไปอีกสักพัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะทางเหมืองลำดับที่ 1 คงไม่มีทางหลับตาข้างหนึ่งให้เขาจากไปไหนได้แน่…

 

ไม่เพียงเท่านั้นหลังจากนี้อีกไม่กี่วันถึงเขาจะตีความเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬจนเพาะสร้างต้นแบบใช้ออกได้สำเร็จ เขาก็ยังต้องทำเรื่องย้ายไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับสถานะศิษย์สายในก่อนอยู่ดี

 

กล่าวได้ว่าพอถึงตอนนั้น การที่เขาคิดจะปลีกตัวออกจากลัทธิบูชาไฟโดยให้พ้นหูตาของหลี่อันที่สมควรจับตาดูเขาทุกฝีก้าว เกรงว่าคงกระทำได้ยากเย็นนัก

 

‘รีบตีความเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬต่อดีกว่า จากเคล็ดความที่เข้าเข้าใจไปแล้วกว่า 8 ส่วน อีกไม่เกิน 5-6 วันข้าสมควรเพาะสร้างต้นแบบกระทั่งใช้ออกได้สำเร็จ!’

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับไปยังตำหนักเอกอุของเขา และเร่งเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทัที

 

5-6 วันที่เขาพูด หมายถึงเวลาในโลกภายนอก

 

และเวลา 5-6 วันด้านนอก ภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เป็นเวลา 50-60 วัน

 

กล่าวอีกอย่าง ต้วนหลิงเทียนมั่นใจถึงที่สุดว่าภายในเวลา 2 เดือนเขาจะสามารถใช้เวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟอย่าง ‘ปราการเต่าทมิฬ’ ได้สำเร็จ!