บทที่ 460.1 ล้วนอยู่ในยุทธภพที่มีสุรา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สือโหรวลุกพรวดขึ้นยืน แหงนหน้ามองไปจึงเห็นว่าตรงชั้นสอง ผู้เฒ่าที่ไม่สวมรองเท้าหิ้วคอเฉินผิงอันยกขึ้นเบาๆ ข้ามราวระเบียงออกมา แล้วปล่อยมือโยนเขาทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี สือโหรวจึงพุ่งเข้าไปรับตัวเฉินผิงอันไว้อย่างลนลาน

ผู้เฒ่ากล่าว “ไอ้หมอนี่คิดมากไป นอนน้อยไป ให้เขานอนหลับให้เต็มอิ่มเสียก่อน ช่วงนี้อย่าทำเสียงดังรบกวนให้เขาตื่น”

สือโหรวรีบวางเฉินผิงอันลงบนเตียงของชั้นหนึ่งแล้วถอยออกมาอย่างเงียบเชียบ ปิดประตูลงแล้วมานั่งเป็นเทพทวารบาลอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตูอย่างว่าง่าย

ผู้เฒ่าเดินลงจากเรือนไม้ไผ่ มาหยุดอยู่ตรงริมหน้าผา วันนี้ไอเมฆหมอกหนาทึบบดบังการมองเห็นทัศนยภาพที่เป็นดั่งม้วนภาพวาดงดงามยิ่งใหญ่ ประหนึ่งสายลมแห่งสวรรค์พัดหอบสะเทือนกระแสน้ำขึ้นของมหาสมุทร ยืนอยู่บนจุดสูงของภูเขาลั่วพั่ว ประหนึ่งอยู่ในแคว้นแห่งหนองบึง ทางซ้ายมือมียอดเขาแห่งหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านของภูเขาลั่วพั่วซึ่งตระหง่านง้ำทะลุทะเลเมฆ ประหนึ่งมีเซียนสวมรองเท้าเกี๊ยะส้นสูงก้าวเดิน ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งครั้งก็สลายทะเลเมฆทั้งแห่งออกไป เบื้องหน้าจึงราวกับคนเปิดประตูแล้วมองเห็นขุนเขาสายน้ำ

ภาพนี้ทำให้สือโหรวที่มองดูอยู่หนังตากระตุกน้อยๆ รีบหลุบตาลงต่ำทันที

หากการโบกชายแขนเสื้อนี้เกิดขึ้นกับคราบร่างเทพเซียนของนาง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจิตวิญญาณของตนจะแหลกสลายไปเลยหรือไม่

ก่อนหน้านี้ชุยตงซานที่นางหวาดกลัวที่สุดผู้นั้นก็เคยมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว และเขาก็ขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน สือโหรวไม่เคยเห็นชุยตงซานที่ห่อเหี่ยวเซื่องซึมเช่นนี้มาก่อน ผู้เฒ่านั่งอยู่ในห้อง ไม่ได้เดินออกมา ชุยตงซานเองก็นั่งอยู่ตรงระเบียงนอกประตู ไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน แต่เขากลับเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่

นับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมาสือโหรวก็รู้แล้วว่าควรจะคบค้าสมาคมกับผู้เฒ่าอย่างไร ง่ายดายมาก นั่นคือพยายามอย่าพาตัวไปปรากฏอยู่ในการมองเห็นของผู้เฒ่าแซ่ชุย

ผู้เฒ่ายืนนิ่งทอดสายตามองไปไกล

งูดำขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งที่หน้าท้องมีเส้นสีทองและมีกรงเล็บสี่กรงเล็บโผล่พรวดออกมาจากประตูภูเขา เลื้อยเลียบเส้นทางภูเขาที่กว้างขวางพุ่งพรวดขึ้นเขามาอย่างรวดเร็ว พอขยับเข้าใกล้เรือนไม้ไผ่ ให้ตายอย่างไรงูดำก็ไม่กล้าเข้าไป เผยเฉียนรู้ว่ามันเคารพกฎ จึงไม่ทำให้มันลำบากใจ นางพลิ้วกายลงบนพื้น ค้อมตัววิ่งตะบึงไปด้านหน้า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตามหลังนางไปติดๆ ประหนึ่งผีเสื้อสีชมพูที่บินว่อน มองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูมากเป็นพิเศษ ส่วนเด็กชายชุดเขียวนั้นท่าทางซังกะตายอย่างเห็นได้ชัด เขาไถลตัวลงจากหางของงูดำ เดินเอื่อยเฉื่อยตามหลังเด็กทั้งสองไป ใกล้จะได้พบหน้าเฉินผิงอันแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวถึงได้รู้สึกใจฝ่อนิดๆ

เผยเฉียนไปถึงเรือนไม้ไผ่ สือโหรวก็รีบย้ำคำพูดของผู้เฒ่าอีกรอบ เผยเฉียนทั้งผิดหวังทั้งเป็นห่วง นางเดินอยู่หน้าประตูเรือนเบาๆ พยายามจะมองลอดร่องไม้ไผ่สีเขียวเข้าไปให้เห็นภาพในห้อง แน่นอนว่านางไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่นางยังคงไม่ถอดใจ เดินอ้อมวนรอบเรือนไม้ไผ่ไปหนึ่งรอบ สุดท้ายนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ของสือโหรว ยกสองแขนกอดอกอย่างขุ่นเคืองใจ อาจารย์กลับมาถึงบ้านเกิดกลับไม่ได้เห็นนางเป็นคนแรก ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่แบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่าอย่างนางช่างไม่ได้เรื่องเอา ไม่รอบคอบพิถีพิถันเสียเลย

เผยเฉียนแอบส่งสายตาให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเข้าใจความหมายของนางได้ทันทีจึงวิ่งไปหาผู้เฒ่าเปลือยเท้า ถามเสียงเบา “ท่านปู่ชุย นายท่านของข้าสบายดีไหม?”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “มีปัญหาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแก้ไขไม่ได้ รอให้เฉินผิงอันนอนอิ่มแล้วค่อยป้อนหมัดใหม่ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหน้าซีดเผือด

ป้อนหมัด?

นางรู้ดีเลยล่ะว่าสภาพของนายท่านในปีนั้นต้องใช้คำว่าอเนจอนาถอย่างจริงแท้แน่นอน

เด็กชายชุดเขียวที่แอบเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งสองอยู่ตลอดเวลาก็ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ นายท่านผู้น่าสงสาร เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็กระโดดลงหลุมเพลิงหลุมใหญ่เสียแล้ว มิน่าเล่าออกเดินทางไกลครั้งนี้ถึงไปร่อนเร่อยู่ข้างนอกนานถึงห้าปีกว่าจะตัดใจกลับมาได้ หากเปลี่ยนมาเป็นเขา ห้าสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะกล้ากลับมา

เฉินผิงอันหลับไปสองวันหนึ่งคืนเต็มถึงจะฟื้นตื่น พอลืมตาขึ้นก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปลาหลีกระโดด (ท่านอนหงายแล้วดีดตัวขึ้น) เดินออกจากห้องก็เห็นว่าเผยเฉียนกับจูเหลี่ยนเฝ้ายามอยู่นอกประตู พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กคนละตัว ศีรษะของเผยเฉียนเอียงพิงพนักเก้าอี้ ขาทั้งสองข้างยืดออก นอนหลับไปแล้ว แถมยังน้ำลายไหลด้วย สำหรับเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านแล้ว นี่น่าจะเรียกว่ามีใจแต่ไร้กำลัง เป็นความน่าจนใจในชีวิตคน เฉินผิงอันลดน้ำหนักฝีเท้าให้เบาลง ทรุดตัวลงนั่งยองมองเผยเฉียน ครู่หนึ่งต่อมานางก็ยกมือขึ้นเช็ดปาดคราบน้ำลายลวกๆ แล้วนอนหลับต่ออีกครั้ง ยังพึมพำอะไรเบาๆ ฟังไม่เป็นคำ

เฉินผิงอันลุกขึ้น บอกเป็นนัยให้จูเหลี่ยนตามเขามา คนทั้งสองเดินไปถึงหน้าผา ที่นั่นวางโต๊ะหินที่แกะสลักกระดานหมากล้อมไว้หนึ่งตัว และเก้าอี้หินสี่ตัวที่แกะสลักเป็นลายเมฆลักษณะโบราณเรียบง่าย

จูเหลี่ยนกดเสียงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากเผยเฉียนเห็นสภาพนายน้อยตอนนี้คงต้องสงสารท่านแย่แน่”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “นี่ถือว่าดีมากแล้ว ตอนนั้นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คิดไว้ ยังนึกว่าเจ็ดแปดปีก็ยังไม่อาจออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “แม้ว่าจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัด แต่ดูจากจดหมายที่ส่งหากัน บ่าวเฒ่าไม่กล้าถามไปในจดหมาย แต่ก็พอจะรู้ว่าสามารถทำให้นายน้อยใช้ชีวิตหนึ่งวันเหมือนผ่านไปหนึ่งปีเช่นนี้ได้ คงต้องเป็นเรื่องยากที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันหยิบเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนออกมาสองกา ให้ตัวเองกับจูเหลี่ยนคนละกา พวกเขาชนกาเหล้ากันเบาๆ เฉินผิงอันเอนตัวพิงโต๊ะหิน แขนข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างสะท้อนใจ “ถ้อยคำมากมายยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียว”

“ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่พูดถึงกัน ก็หนีไม่พ้นความสามารถในการรับทัณฑ์ทรมานจากสวรรค์ก็เท่านั้น”

จูเหลี่ยนหันมาจ้องซีกหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันนิ่ง จิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าวเสียงเบาว่า “สภาพของนายน้อยในตอนนี้ แม้ว่าจะอิดโรยซีดเซียวอย่างถึงที่สุด แต่บ่าวเฒ่าคือคนที่ผ่านทัณฑ์ความรักมาก่อน รู้ดีว่าสภาพนายน้อยในทุกวันนี้จะได้รับความสงสารความเห็นใจจากสตรีได้ดีที่สุด วันหน้าหากลงจากภูเขาไปที่เมืองเล็กหรือเขตการปกครอง ทางที่ดีที่สุดนายน้อยควรสวมงอบสักใบบดบังใบหน้า ไม่อย่างนั้นระวังว่าจะซ้ำรอยจวนจื่อหยาง แค่สตรีที่ผ่านทางมาเห็นนายน้อยไม่กี่ครั้ง รับรองว่านายน้อยคงต้องเจอกับหนี้รัก หนี้เสน่หาหลายบัญชีแน่นอน”

คำประจบเยินยอที่ไม่ได้เอ่ยมานาน

เฉินผิงอันยื่นมือมาลูบข้างแก้มตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่ หรือคิดว่าผู้หญิงพวกนั้นตาบอดกันแน่?”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจเอ่ยว่า “เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด นายน้อยรอดูเถอะ พอไปอยู่นอกภูเขา ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสตรี…”

เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “หยุดเลยๆ ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ”

จูเหลี่ยนเอ่ยด้วยความเจ็บปวดใจ “คำพูดจากใจจริงมักระคายหูเสมอ!”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ ไม่ต่อคำ อาศัยแสงจันทร์ใสกระจ่างที่สาดส่องลงมาในโลกมนุษย์หรี่ตามองไปยังทิศไกล

แม้ว่าตอนนี้จะมองไปทางทิศใต้ ทว่ากิจการบ้านใหม่ของเฉินผิงอันต่อจากนี้จะต้องอยู่ทางเหนือของภูเขาลั่วพั่ว

นอกจากภูเขาหนิวเจี่ยวที่เป็น ‘ฐานบัญชาการณ์ชั่วคราว’ ของร้านผ้าห่อบุญดั้งเดิมแล้ว ภูเขาจูซาที่มีสกุลสวี่นครลมเย็นซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังตระกูลเซียนที่ก่อนหน้านี้เห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะกระโดดลงจาก‘เรือที่กำลังจะจม’ อย่างต้าหลีลำนี้เลือกไว้ นอกจากนี้ก็ยังมีภูเขาหลังเอ๋า *(เอ๋าคือเต่ายักษ์ในทะเลที่เล่าลือในเทพนิยาย)*แท่นบูชากระบี่ ยอดเขาเว่ยเซี่ยและภูเขาฮุยเหมิง ฯลฯ นอกจากแท่นบูชากระบี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย อีกทั้งยังมีขนาดไม่ใหญ่แล้ว ภูเขาที่เหลือล้วนอยู่ค่อนไปทางทิศใต้ของกลุ่มภูเขาตะวันตก ซึ่งห่างจากภูเขาลั่วพั่วไม่ไกลพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาฮุยเหมิงที่อาณาบริเวณกว้างขวาง ก่อนหน้านี้กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนกลุ่มนั้นได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ บวกกับที่นักโทษสกุลหลูกลุ่มใหญ่ทำงานหนักอย่างไม่ปริปากบ่น จึงสร้างจวนเทพเซียนที่ทอดยาวติดกันเป็นแถบประหนึ่งดินแดนเซียนในโลกมนุษย์ไว้ได้สำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขากลับคืนให้ราชสำนักต้าหลีเหมือนกึ่งขายกึ่งยกให้เปล่าๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร คิดดูแล้วคงต้องเสียใจจนไส้เขียวเป็นแน่

เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างเขาไว้ที่นครมังกรเฒ่า มีเว่ยป้อเป็นคนกลางช่วยเชื่อมสะพานสานความสัมพันธ์ให้ เฉินผิงอันจึงเอาพวกมันมาซื้อภูเขา หนี้สินครั้งนี้จึงถือว่าหายกัน ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาหนิวเจี่ยวที่สร้างท่าเรือตระกูลเซียนไว้แล้วซึ่งกำลังจะถูกเฉินผิงอันเก็บมาไว้ในกระเป๋า แต่จำเป็นต้องให้อยู่ในนามของเว่ยป้อก่อนชั่วคราว ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเขาได้มาครองอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากผลประโยชน์มหาศาลเกินไป เฉินผิงอันย่อมต้องถูกชนชั้นสูงของต้าหลีอิจฉาตาร้อน ทว่าในทางส่วนตัวแล้ว น้ำเป็นที่มีต้นกำเนิดสายนี้ ด้านในกลับมีแต่เงินเทพเซียนเหรียญแล้วเหรียญเล่าที่ไหลริน ซึ่งเฉินผิงอันจะแบ่งผลกำไรกับเว่ยป้อคนละครึ่ง

ปีนั้นช่วยบ้านกู้ช่านแย่งน้ำจากนาคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะยังสามารถเฝ้ารักษา ‘ผืนนาอุดมสมบูรณ์’ ที่ได้ผลิตผลน่าตะลึงไว้ได้อีกผืน

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป เอ่ยถามว่า “จูเหลี่ยน เจ้าได้ประมือกับผู้อาวุโสแซ่ชุยบ่อยๆ หรือไม่?”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้า “หมัดของผู้อาวุโสแข็งอย่างถึงที่สุด เขาได้เดินไปถึงปลายทางวิถีวรยุทธที่ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเราใฝ่หาแม้ในยามหลับฝันมานานแล้ว ใครบ้างที่ไม่เลื่อมใส เพียงแต่ว่าข้าไม่อยากรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของผู้อาวุโสก็เท่านั้น”

จูเหลี่ยนเอนกายไปด้านหลัง หันหน้ามองไปทางเรือนไม้ไผ่ “ข้าพูดอย่างนี้ ท่านผู้อาวุโสคงไม่ถือสากระมัง?”

ไม่มีการตอบรับ เงียบกริบไร้สรรพสำเนียง

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นอกจากบางครั้งที่ท่านผู้อาวุโสจะถือไม้เท้าเดินป่าท่องเที่ยวไปตามกลุ่มภูเขา ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าอาจารย์ผู้เฒ่าในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นแล้ว เวลาปกติก็ไม่ค่อยปรากฏตัวนัก เมฆาแห่งเสรี นกกระเรียนเดียวดาย *(เปรียบเปรยถึงคนที่หลุดพ้นจากโลกโลกีย์ ไร้พันธนาการ มีอิสระเสรี)*ก็เป็นเช่นนี้เอง”

จูเหลี่ยนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ข้าพบต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่งโดยบังเอิญในเขตการปกครอง เป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีของเมืองหลวงต้าหลีที่ย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียน อายุไม่มาก แค่สิบสามปี อายุพอๆ กับเจ้าตัวขาดทุนของพวกเรา แม้ว่าตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเรียนวรยุทธ เริ่มต้นค่อนข้างช้า แต่ก็ยังพอถือว่าทันเวลา ข้าพูดกับผู้อาวุโสในครอบครัวของนางชัดเจนแล้ว ตอนนี้รอแค่นายน้อยพยักหน้าตกลงเท่านั้น แล้วข้าก็จะพานางขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่ว ตอนนี้เรือนแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นบนภูเขา นอกจากพวกเราที่อยู่กันเองแล้ว หากเอาไว้ใช้ต้อนรับคนที่มาเยือนก็มากพอเหลือแหล่ อีกทั้งล้วนเป็นต้าหลีที่ออกเงิน ไม่ต้องให้พวกเราควักเองสักแดงเดียว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วมีคนอยู่เยอะแล้ว ก็ควรจะต้องสร้างสถานที่พักพิงขึ้นมาจริงๆ รอให้หลังจากลงนามสัญญาซื้อภูเขาจากกรมพิธีการต้าหลีอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อให้ไม่นับภูเขาทั้งหลายที่ให้หร่วนฉงเช่า ดูเหมือนว่าหากแต่ละคนยึดครองกันไปคนละหนึ่งลูกก็ยังไม่มีปัญหา ทรัพย์สมบัติมากพอ เอวก็แข็งหลังก็ยืดได้ตรงจริงๆ ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เป็นรองแค่หร่วนฉงคนเดียวเท่านั้น เขาจะได้ครอบครองอาณาเขตสามส่วนของภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก นอกจากภูเขาเจินจูที่เล็กกะทัดรัดซึ่งไม่ไปพูดถึงแล้ว ภูเขาลูกอื่นๆ มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ล้วนมากพอให้เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งฝึกตนได้

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “หากเจ้ายินดีพานางขึ้นเขา แน่นอนว่าย่อมได้ แต่คิดจะให้นางอยู่ในภูเขาลั่วพั่วด้วยฐานะอะไร ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของเจ้าหรือ?”

หากจูเหลี่ยนจะรับลูกศิษย์คนแรกในใต้หล้าไพศาล เฉินผิงอันก็คาดหวังที่จะเห็นนางเดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธจริงๆ

คนในม้วนภาพวาดสี่คนของพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนี้ขอบเขตของจูเหลี่ยนสูงที่สุด คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลตัวจริงเสียจริง แม้ว่าจะใช้ทางลัด ทว่าส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าการเลือกของจูเหลี่ยน มองดูเหมือนใจร้อนต้องการเห็นความสำเร็จในทันที แต่ในความเป็นจริงแล้วทำอย่างนี้ต่างหากถึงจะถูกต้อง

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “บ่าวเฒ่าไม่มีอารมณ์จะเป็นอาจารย์ของคนอื่นหรอก ให้นางเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วก่อนก็แล้วกัน วันหน้าใครถูกใจในฐานกระดูกและคุณสมบัติของนางก็เอาตัวไปได้เลย การกระทำของบ่าวเฒ่าก็แค่ไม่อยากให้น้ำที่อุดมสมบูรณ์ไหลเข้าสู่นาของคนนอกก็เท่านั้น คิดอยากจะเพิ่มกลิ่นอายความเป็นมนุษย์ให้กับภูเขาลั่วพั่วแทนนายน้อยสักหน่อย ไม่อย่างนั้นหากมีแค่เทพ ตัวประหลาดและภูตผีปีศาจคงจะไม่ค่อยเข้าท่านัก มักรู้สึกว่าไม่ดีต่อฮวงจุ้ย จะว่าไปแล้วหากที่นี่คือพื้นที่มงคลดอกบัว ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์อย่างเด็กสาวคนนั้นก็จะเหมือนหนังสือในร้านขายหนังสือข้างทางที่ข้าแค่หยิบเอามาก็ได้แล้ว แต่หากอยู่ที่บ้านเกิดของข้า คาดว่าหากทำให้ปรมาจารย์ในยุทธภพเป็นกระบุงโกยพากันแย่งชิงหัวร้างข้างแตก มันสมองไหลกระจายได้ก็ถือว่าเป็นยุทธภพมากแล้ว”

จูเหลี่ยนยกขานั่งไขว่ห้าง สองนิ้วคีบกาเหล้าที่บรรจุเหล้าหมักตระกูลเซียนแกว่งเบาๆ พลางพูดอย่างปลดปลง “ไม่เสียแรงที่เป็นใต้หล้าไพศาล มีคนเก่งกล้าสามารถมากมาย ไม่ใช่สิ่งที่พื้นที่มงคลดอกบัวจะเทียบเคียงได้เลย”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าพูดโน้มน้าวคนในตระกูลเด็กสาวได้อย่างไร? ยากจนเรียนบุ๋น ร่ำรวยเรียนบู๊ ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยกันเล่นๆ หรอกนะ”

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน การที่คนตระกูลนั้นย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็เพราะอยู่ที่เมืองหลวงต่อไม่ได้แล้ว หายนะจากสาวงามนี่นะ เด็กสาวมีนิสัยดื้อรั้น พ่อแม่ผู้ปกครองในตระกูลของนางก็แข็งข้อ ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย บ่าวเฒ่าจึงช่วยจัดการมังกรข้ามแม่น้ำที่ไล่ล่าพวกเขามากลุ่มนั้น เด็กสาวเห็นแก่ที่คนในตระกูลมีน้ำใจต่อนาง และเดิมทีในตระกูลก็มีเมล็ดพันธ์บัณฑิตสองคนแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางเป็นคนออกหน้า อีกทั้งตอนนี้เรื่องของนางยังทำให้พี่ชายและน้องชายเดือดร้อนไปด้วย นางละอายใจมากพออยู่แล้ว พอคิดว่าจะสามารถพึ่งพาอิทธิพลตระกูลเซียนของเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ นางก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ยั้งคิดให้มากความ อันที่จริงการเรียนวรยุทธเป็นอย่างไร ต้องลำบากมากแค่ไหน นางยังไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เป็นเด็กซื่อๆ โง่ๆ คนหนึ่ง แต่ในเมื่อถูกข้าหมายตาก็แสดงว่านางย่อมไม่ขาดความฉลาดเฉลียว ถึงเวลานั้นเมื่อนายน้อยได้เห็นนางก็จะรู้เอง นางคล้ายคลึงกับสุยโย่วเปียน แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งคำ

จูเหลี่ยนทำอะไรเชื่อถือได้เสมอ

—–