บทที่ 2715 เงื่อนไขของตี้ฝูอี 2
“การเข้ารุกรานทวีปซิงเยวี่ยในครั้งนี้ต้นคิดคือผมกับท่านจอมพล พวกพี่น้องคนอื่นๆ แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น โทษทัณฑ์ทั้งหมดผู้น้อยขอแบกรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว! เอาแบบนี้เถอะครับ ผมจะเล่าความลับทั้งหมด แลกเปลี่ยนกับการปล่อยพวกพี่น้องที่เหลือไป ผมเป็นตัวต้นเหตุ ยินยอมให้ท่านทั้งสองจัดการ แบบนี้เป็นยังไงครับ?”
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าเขาจะสัตย์ซื่อถือคุณธรรมเช่นนี้ ความรู้สึกชิงชังเดียดฉันท์เขาที่มีอยู่ในใจลดลงไปส่วนหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย “ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ทำคุณไถ่โทษ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของเจ้าแล้ว”
ดวงตากวนย่าหนิงส่องประกายนิดๆ พยักหน้ารับ “ได้ครับ! ผมต้องแสดงออกยังไง?”
“เล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เจ้ารู้มาก่อน”
กวนย่าหนิงนิ่งไปแวบหนึ่ง หากว่าเขาเล่าทุกอย่างออกไป เขาก็ไม่มีอะไรเอาไว้แลกเปลี่ยนแล้วสิ
ตี้ฝูอีมองความกังวลของเขาออก “เจ้าทำได้เพียงเชื่อใจพวกเรา มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่รอพวกเจ้าอยู่จะมีเพียงคำเดียว…ตาย เจ้าต้องเล่าทุกอย่างออกมาถึงมีความหวังในการรอดชีวิต เช่นนี้เถอะ ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าจะตัดสินตามลำดับความสำคัญของเรื่องที่เล่า หากว่าสำคัญมาก ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปหนึ่งร้อยคน ถ้าสำคัญรองลงมาปล่อยสิบคน ถ้าเป็นเรื่องทั่วไปหนึ่งเรื่องต่อหนึ่งคน”
นี่คือการแปะราคาอย่างชัดแจ้งแล้ว มาถึงยามนี้แล้ว กวนย่าหนิงทำได้เพียงเล่าไปตามความจริง บอกทุกอย่างที่รู้ออกมาจนหมดเปลือก
จากถ้อยคำของเขา สามารถขุดหาเรื่องลับเฉพาะออกมาได้มากมายจริงๆ
อย่างเช่นเรื่องที่ราชวงศ์จิ้งจอกครามปรับแต่งกู่แม่ลูก เริ่มขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว
อย่างเช่นกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อน ราชวงศ์จิ้งจอกครามเพิ่งจะจับจุดวิธีการปรับแต่งกู่แม่ลูกได้ ราชครูผู้หนึ่งก็มาเยือน ราชครูผู้นี้มีความสามารถอย่างยิ่ง ทุ่มเทกายใจช่วยเหลือเกื้อกูลองค์รัชทายาทอย่างที่สุด องค์รัชทายาทผู้นี้ปราดเปรื่องลุ่มลึก เป็นทายาทเพียงคนเดียวของจักรพรรดิในยามนั้น ว่ากันตามเหตุผลแล้วการที่เขาจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ในท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องชอบธรรมตามหลักเหตุผลอยู่แล้ว แต่ต่อมาจักรพรรดิจิ้งจอกครามในยามนั้นราวกับเสียสติไปแล้ว คิดว่ารัชทายาทจะโค่นบัลลังก์ ไม่น่าเชื่อว่าจะสั่งประหารรัชทายาทในโทษฐานกบฏ บีบให้องค์รัชทายาทคนนี้ทำได้เพียงพาลูกน้องกลุ่มหนึ่งหลบหนีออกมาจากดาวจิ้งจอกคราม…นี่ก็คือที่มาของเผ่าจิ้งจอกครามในทวีปซิงเยวี่ย
หรืออย่างเช่นพวกเขากลุ่มนี้เดิมทีเป็นกองโจรอวกาศอยู่สุขสันต์ดี ไม่ยินยลฟ้าดิน อยู่อย่างอิสระเสรี จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่งท่านจอมพลกับกวนย่าหนิงก็เกิดความฝันขึ้นมาพร้อมกัน ในฝันมีเทพเซียนท่านหนึ่งบอกแก่พวกเขาว่า บนดาวเคราะห์แห่งหนึ่งที่เรียกว่าทวีปซิงเยวี่ยมีหินประกายพรึกชนิดหนึ่ง หินประกายพรึกชนิดนี้ไม่เพียงแต่มีพลังงานมหาศาลเท่านั้น ถ้าสวมใส่เป็นประจำจะทำให้เป็นอมตะได้ด้วย…
หลังตื่นขึ้นมา ทั้งสองพุดคุยแลกเปลี่ยนกัน พบว่าฝันตรงกัน ย่อมหวั่นไหวขึ้นมา!
พลังงานมหาศาลนั่นเป็นเรื่องรอง ความเป็นอมตะต่างหากที่เย้ายวนใจคนเหลือเกิน!
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจึงพาลูกน้องเหล่านี้เริ่มสืบเสาะหาทวีปซิงเยวี่ยตามที่เทพเซียนในความฝันชี้นำ ในไม่ช้าก็ได้รับคลื่นไดนามิกชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดมาจากเผ่าจิ้งจอกคราม หลังจากระบุพิกัดได้ ก็นำทัพมุ่งหน้ามา
เพียงแต่จนถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่พบหินประกายพรึกอันใดเลย กลับถูกวัฒนธรรมประเพณีอันน่าพิศวงของที่นี่ดึงดูดเข้า ถึงขั้นคิดจะยึดครองที่นี่อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นก็จะลงหลักปักฐานที่นี่…
ตี้ฝูอีฟังอย่าเงียบเชียบมาโดยตลอด เอ่ยถามประโยคหนึ่งเป็นครั้งคราว ล้วนถามในจุดที่สำคัญที่สุด ถ้ากวนย่าหนิงตอบได้ก็จะตอบให้หมด
จวบจนเขาเล่าทุกอย่างจบแล้ว ตี้ฝูอีถึงได้ลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย จูงมือกู้ซีจิ่ว “พวกเราไปพักสักหน่อยเถอะ”
กวนย่าหนิงว้าวุ่นใจ รีบถามไล่หลังไปประโยคหนึ่ง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ครับ ผมเล่าทุกอย่างแล้ว ท่านจะปล่อยพวกเราไปจำนวนเท่าไหร่?”
ตี้ฝูอีตอบโดยไม่หันกลับไป “ทั้งหมด”
ดวงตากวนย่าหนิงส่องประกายในทันใด แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ท...ทั้งหมด?”
————————————————————————————
บทที่ 2716 เงื่อนไขของตี้ฝูอี 3
“มิผิด” ตี้ฝูอีจูงกู้ซีจิ่วเดินจากไป ไปพักผ่อนที่ห้องโดยสารห้องอื่นแล้ว
เขาเหนื่อยเหลือเกิน ต้องพักสักหน่อย แน่นอน ต้องเชื่อมโยงเบาะแสทั้งหมดด้วย…
กวนย่าหนิงยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง อดเอ่ยถามตี้เฮ่าที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ “เรื่องนั้น…เทพศักดิ์สิทธิ์น้อย ท่านพ่อของนายพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอดไหม?”
“แน่นอน! คำไหนคำนั้น!”
เรื่องนี้มั่นใจเต็มที่แล้ว!
กวนย่าหนิงถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิมหลายรอบ ตื่นเต้นยินดี แทบจะสะดุดล้มแล้ว
ตี้เฮ่าถอนหายใจ “นี่เจ้าดีใจจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ? ทำให้ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว”
กวนย่าหนิงพรูลมหายใจเบาๆ “ได้! ไม่เดินวนแล้ว! พวกเรากลับกันเถอะ! กลับไปกัน! เทพศักดิ์สิทธิ์น้อย นายอยากไปพักสักงีบด้วยไหม? เด็กๆ อย่าอดนอนบ่อย…”
ตี้เฮ่าส่ายนิ้วดุ๊กดิ๊ก “นายน้อยอย่างข้าไม่เหนื่อย จะอยู่ชมทิวทัศน์ที่นี่แหละ ใช่แล้ว เรียกข้าว่าคุณชายเฮ่าก็แล้วกัน อย่าเรียกข้าว่าเทพศักดิ์สิทธิ์น้อย”
กวนย่าหนิงย่อมไม่กล้าขัดใจเขา จึงรับคำ
การมองห้วงนภาจากบนยานย่อมเป็นทิวทัศน์อันน่าตะลึงอย่างหนึ่ง กวนย่าหนิงบังคับยานไปด้วย พยายามถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกลุ่มดาวให้ตี้เฮ่าไปด้วย
กลับคาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเอ่ยไปเพียงดวงเดียวก็ถูกตี้เฮ่าตัดบทแล้ว “ไม่ต้องพูด ให้ข้าอยู่เงียบๆ”
กวนย่าหนิงถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก จึงไม่รบกวนเขาอีก
เพียงแต่จะมองเขาสักแวบหนึ่งอยู่เป็นระยะๆ ตี้เฮ่านั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาจับจ้องห้วงนภาด้านนอกอยู่ตลอด มีสมาธิอย่างยิ่ง บางครั้งยังนับนิ้วคำนวณอยู่ภายในแขนเสื้อด้วย ราวกับกำลังพยากรณ์อะไรอยู่
ในเวลานี้ ร่างกายเล็กจ้อยของเขาคล้ายมีแสงสว่างจางๆ ไหลวนอยู่
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ทว่ามีรัศมีอันแกร่งกล้าประการหนึ่งของคนเป็นผู้ใหญ่อยู่รางๆ ราวกับเทพเจ้าที่กำลังทอดมองโลกหล้ากำหนดฟ้าดินอยู่
จู่ๆ กวนย่าหนิงก็ไม่กล้าหายใจแรงแล้ว!
ตี้เฮ่าย่อมคร้านจะสนใจเขา เขาจ้องมองนภาคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วนิดๆ
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยแล้ว แต่จุดจบสุดท้ายยังคงไม่เปลี่ยนไป ความทรงจำในอดีตภายในสมองของเขายังคงเป็นเด็กกำพร้าอยู่…
เขากำหมัด ถอนหายใจเบาๆ
การปฏิวัติยังไม่สำเร็จ ทุกท่านต้องพยายามต่อไป!
ในเมื่อเขาจับพลัดจับผลูกลับมาแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ได้
….
ตอนที่ไล่ตามไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ ตอนนี้กวนย่าหนิงกลับเริ่มรู้สึกแล้วว่าขากลับนี้ระยะทางช่างห่างไกลยิ่งนักจริงๆ!
ต้องวาร์ปข้ามอวกาศสี่ห้ารอบ ด้วยระดับความเร็วดุจสายฟ้าแลบของยานของเขาลำนี้ ถ้าต้องการจะกลับไปยังทวีปซิงเยวี่ยก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งวัน
หลังจากเขาบังคับยานให้วาร์ปข้ามอวกาศเป็นครั้งสุดท้าย ดาวซิงเยวี่ยก็ปรากฏอยู่ลิบๆ แล้ว
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่กำลังจะเร่งความเร็วอีกเล็กน้อย จู่ๆ เบื้องหน้าไม่ห่างออกไปนักพลันมีแสงสีครามส่องวาบขึ้น หันหัวพุ่งเข้ามาหายานรบลำนี้ของเขา!
สิ่งนั้นปรากฏขึ้นเร็วเกินไป กวนย่าหนิงสะดุ้งโหยง ยังไม่ทันเห็นชัดๆ ว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ สิ่งนั้นก็อยู่ในระยะประชิดแล้ว!
ขณะที่เขากำลังจะหักเลี้ยวด้วยความเร็ว เจ้าสิ่งสีครามเรืองรองนั้นก็ชะงักอยู่ตรงนั้นทันที!
กวนย่าหนิงเบิกตากว้าง ในที่สุดก็มองเห็นสิ่งนั้นผ่านบานหน้าต่างแล้ว ตัวคนทึ่มทื่อไปหมดแล้ว
นกตัวหนึ่ง!
เป็นนกยักษ์ที่สยายปีกกว้างจนสามารถบดบังท้องนภาได้ตัวหนึ่ง เนื่องจากนกตัวนี้อยู่ใกล้ยานรบเกินไป ดังนั้นกวนย่าหนิงจึงมองเห็นเพียงหัวของนกเท่านั้น หัวของนกตัวนั้นใหญ่เหมือนภูเขาลูกเล็กๆ ดวงตาหนึ่งข้างของเจ้านกมีขนาดเท่าช้างตัวหนึ่งเลย ตอนนี้มันลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น กวนย่าหนิงจึงได้สบเข้ากับดวงตามหึมาคู่นั้นของมันพอดี!
แม่งเอ้ย!
นี่มันนกอะไรวะ?!
อย่าว่าแต่มันอ้าปากจิกเลย กวนย่าหนิงสงสัยว่าแค่เจ้านกตัวนี้กะพริบตาทีเดียวก็สามารถถล่มยานรบของเขาได้แล้ว!
กวนย่าหนิงมือไม้วุ่นวายพยายามหักเลี้ยวอย่างสุดชีวิต คาดไม่ถึงว่ามือพลันแข็งทื่อไป ขยับไม่ได้แล้ว
แต่ตี้เฮ่ากลับลุกขึ้นมา โบกมือให้เจ้านกตัวนั้น “โอ้ พวกเจ้ามาได้ยังไง?”