ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 104 เรื่องภายหลัง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ซูม่ออวี๋และพวกไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร หลังจากมองตากันไปมา พวกเขาก็ตระหนักว่าไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” ถังซานสือลิ่วจ้องตาเฉินฉางเซิง

“ข้ากำลังจะตาย อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงยี่สิบวันเท่านั้น”

เสียงเฉินฉางเซิงสงบนิ่งมาก สีหน้าก็เฉยชาอย่างยิ่ง ประหนึ่งว่าเขากำลังพูดเรื่องสัพเพเหระ

ฝนกำลังจะตก หญิงสาวกำลังจะแต่งงาน ใครจะไปเก็บผ้าบนชายคา

พริกที่เพิ่งใส่ในไหดองเริ่มนิ่มแล้ว อย่าลืมเติมน้ำรอบปากไห[1]บ่อยๆ ไม่เช่นนั้นหากมีไอ้สีขาวๆ งอกขึ้นมาในไห ต่อให้ผักดอกที่เค็มแล้วก็ยังต้องทิ้งไป

ข้าได้ยินมาจากพวกผู้เฒ่าว่าหากมีจุดขาวในไหดอง ก็ยังแก้ได้ด้วยการเติมเหล้าแรงๆ ลงไป แค่ผักดองจะต้องพิถีพิถันสักแค่ไหนเชียว

ดูเมฆดำพวกนั้นสิ อย่างกับฝูงโจรเลย ฝนจะต้องตกแน่ๆ

เงียบ เงียบงันราวความตาย

มีแต่เสียงของน้ำพุ

หลังจากผ่านไปนาน ถังซานสือลิ่วก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง “เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรนี่”

พวกเขาต่างก็รู้ว่าเฉินฉางเซิงนั้นไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องล้อเล่น และยิ่งไม่มีทางล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีสีหน้าน่าเกลียดยิ่งนัก

ครั้นเห็นสีหน้าของคนทั้งสี่ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกขอโทษขึ้นมา

เซวียนหยวนผ้อถามด้วยน้ำเสียงสั่นอยู่บ้าง “เกิดอะไรขึ้น”

ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วได้ไปหานซานกับเขา จึงรู้ว่าเขาบาดเจ็บหนักจากฝีมือของราชามาร พวกเขาเห็นเฉินฉางเซิงทะลวงผ่านขั้นรวบรวมดวงดาวและล้มลง แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้น

เพราะเฉินฉางเซิงไม่เคยพูดถึง พวกเขาก็ไม่ได้ถาม ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่มองดูเขาเท่านั้น

มีบางเรื่องที่ต้องการคำอธิบาย เพราะมีแต่ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนเท่านั้นจึงจะตัดใจได้

เฉินฉางเซิงพูดกับคนทั้งสี่ “ข้าป่วย ป่วยมาตั้งแต่เกิดแล้ว เส้นลมปราณข้ามีปัญหามาตลอด เป็นเวลานานแล้วที่ข้ารู้ตัวว่าไม่อาจมีอายุได้เกินยี่สิบปี ข้าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าซึ่งเป็นความผิดของข้าเอง ข้าคิดว่าข้าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าอาการป่วยจะเริ่มออกอาการเมื่ออยู่บนหานซาน เส้นลมปราณทั้งหมดของข้าขาด ไม่มีทางต่อคืนได้ใหม่ ดังนั้นข้าต้องตายอย่างแน่นอน”

“เจ้าจะบอกว่าอะไร เจ้ากำลังกล่าวคำสั่งเสียอยู่หรืออย่างไร”

คิ้วตรงของถังซานสือลิ่วเลิกขึ้นขณะพูด “ถ้าเจ้าป่วยก็ไปหาหมอ อย่ามาทำเป็นเรื่องใหญ่โตต่อหน้าพวกข้า”

คำพูดนี้ก็เพียงแค่ใช้ปกปิดความไม่สบายใจ ความกลัวเอาไว้ และยังรวมถึงความโกรธที่ยากจะบรรยายอีกด้วย

“ข้าเป็นหมอที่เก่งที่สุด”

เฉินฉางเซิงมองเขาและอธิบาย น้ำเสียงสงบอย่างมากและดูจริงใจอย่างยิ่ง

เขาไม่ได้โอ้อวด เพียงแต่พูดความจริงออกมา และก็ยังคงประสิทธิภาพดังเช่นเคย ทำให้ผู้คนพูดไม่ออก

หากสถานการณ์ไม่พิเศษเช่นนี้ บางทีถังซานสือลิ่วอาจจะสามารถหาคำมาตอบโต้ได้ ทว่าตอนนี้เขาได้แต่นิ่งเงียบ

“สังฆราช?” เจ๋อซิ่วพลันถามขึ้น

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า

ซูม่ออวี๋ถามขึ้น “แล้วเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เล่า วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของนางนั้นหาใดเปรียบมิได้ มันจะรักษาเจ้าไม่ได้เชียวหรือ”

ถังซานสือลิ่วก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน กำลังจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พลันนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา จึงได้แต่กลืนคำพูดพวกนั้นกลับลงไป

ในการเดินทางกลับจากหานซาน เขากับเจ๋อซิ่วได้เห็นกับตาว่าสวีโหย่วหรงไม่เคยออกห่างจากเฉินฉางเซิง รวมกับการที่หลังจากมาถึงจิงตู สวีโหย่วหรงก็ยังอยู่ในสำนักฝึกหลวงโดยไม่สนใจข่าวลือหรือภาพลักษณ์ของจวนขุนพลเทพตงอวี้เลย ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านางรู้เรื่องนี้มานานแล้วและนางก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขได้

พวกเขาจึงเงียบงันกันไปอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างที่สุด

เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างเสียใจ “ขอโทษ”

ถังซานสือลิ่วพบว่าตนไม่อาจข่มอารมณ์ได้อีกต่อไป กัดฟันถามด้วยเสียงเย็น “เจ้ากำลังจะตาย เจ้าขอโทษใครกัน”

“เรื่องมากมายในโลกนี้ การตายของคนผู้หนึ่งนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเอง ข้าคิดว่าเจ้าต้องมีปัญหาด้านความคิด”

เมื่อได้ยินข่าวที่น่าตระหนกนี้ เจ๋อซิ่วเป็นคนที่สงบนิ่งที่สุด เขามองดวงตาของเฉินฉางเซิงและกล่าว “ในเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าได้ทำตัวเหมือนคนตาย ต่อให้เจ้าอยู่ได้แค่ไม่กี่วันเจ้าก็ต้องมุ่งเน้นไปที่ ‘เรื่องภายหลัง’”

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา

ในที่ราบซึ่งเต็มไปด้วยพายุหิมะของแดนเหนือ เจ๋อซิ่วที่ถูกขับออกจากเผ่าและมีอาการป่วยที่ร้ายแรง ก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ดิ้นรนเสมอมา เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ในด้านนี้มากที่สุด

“ใช่ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้า มีบางเรื่องที่ต้องวางแผน”

เฉินฉางเซิงหันกลับมาที่ถังซานสือลิ่วและกล่าว “โหย่วหรง นาง…กับข้าเคยมีสัญญาหมั้นหมายกัน นางเป็นคู่หมั้นของข้า ต่อให้การหมั้นถูกยกเลิกไปแล้วและข้าก็ไม่อาจแต่งกับนางได้เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ข้าก็ยังมองว่านางเป็นภรรยาข้า แต่สินทรัพย์ที่ควรจะแบ่งกันก็ได้จัดการไปเมื่อต้นปีแล้ว ดังนั้นข้าจะไปจัดข้าวของเมื่อถึงเวลา ข้าอยากให้เจ้าช่วยมอบให้กับนาง”

ถังซานสือลิ่วอยากจะพูดเย้ยออกไปสักหน่อย อย่าง ‘คนจนอย่างเจ้ามีของมีค่าอะไรให้จัดการ’ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่กล่าวอะไร ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ลั่วลั่วเป็นศิษย์ของข้า มอบสินทรัพย์หนึ่งในสามให้กับนาง และมอบหนึ่งในสามให้กับศิษย์พี่ ส่วนสุดท้ายนั้นทิ้งไว้ในสำนัก นักเรียนที่บ้านมีปัญหาเรื่องการเงิน สามารถขอใช้ได้ สำหรับพวกเจ้า ข้าได้มอบกระบี่ให้ไปแล้วจึงไม่มอบอะไรให้อีก”

เจ๋อซิ่วกับเซวียนหยวนผ้อนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไร ส่วนถังซานสือลิ่วนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย

“เจ้าจะมอบสำนักฝึกหลวงให้กับข้าจริงหรือ” ซูม่ออวี๋ถาม “ข้าไม่ค่อยสบายใจเพราะภาระนี้หนักเกินไป”

เมื่อเขาพูด สายตาก็มองไปยังพวกนักเรียนที่อยู่ไกลออกไป กำลังเรียนอยู่ในตึกและบนระเบียง

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน สำนักฝึกหลวงได้รับนักเรียนใหม่เข้ามาร้อยกว่าคน ภายใต้กฎของต้าโจวและนิกายหลวง นักเรียนใหม่พวกนี้ไม่อาจย้ายไปเรียนที่อื่น พูดอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขามีชะตาร่วมกับสำนักฝึกหลวง หากเฉินฉางเซิงตายไปจริงๆ สำนักฝึกหลวงก็ย่อมไม่มีเกียรติยศอย่างเช่นในตอนนี้ แล้วสำนักจะดำรงอยู่ได้อีกนานเพียงใดกัน

“ให้ข้าเป็นคนจัดการ” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างเฉยชา “ช่วยไม่ได้ที่ฟ้าดินเป็นคนกำหนดชาตะให้ผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าสำนักผายลม ก็ต้องเป็นผู้คุมกฎที่ต้องก้าวออกมา”

เฉินฉางเซิงรู้สึกตะลึงกับคำกล่าวนี้ หลังจากพูดคุยกันอยู่นานที่ริมทะเลสาบ เขาก็รู้มากกว่าใครถึงแรงกดดันที่ถังซานสือลิ่วต้องแบกรับ เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระในจิงตูและสำนักฝึกหลวง แต่เมื่อเขาโตขึ้น ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยย่อมต้องเรียกร้องให้เขากลับไปโดยเร็วที่สุดเพื่อสืบทอดตระกูล

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “แม้ว่าท่านพ่อของข้าจะไม่ได้มีพรสวรรค์สูงส่ง อย่างไรเขาก็ยังเป็นพ่อของข้า นอกจากนั้นสุขภาพก็ยังแข็งแรงดี ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่เป็นคำโกหก หากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยไม่รีบร้อนสร้างผู้สืบทอด พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ถังซานสือลิ่วพบกันอันตรายและไม่เพิ่มเวลาในการอยู่จิงตูออกไป

“หากเจ้าตายไปจริงๆ ข้าจะยืดเวลาไปอีกสองปี พวกเขาคงเข้าใจได้”

ถังซานสือลิ่วกล่าวเตือนอย่างหนักแน่น “เจ้าไม่อาจหลอกลวงข้า เมื่อถึงเวลา เจ้าต้องตาย”

นี่ย่อมเป็นการล้อเล่น แต่มันไม่ตลกและยิ่งพาให้ตึงเครียด โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ ความตึงเครียดนี้ก็เหมือนกับหมั่นโถวแข็งเย็นที่ถูกทิ้งไว้สองคืนแล้ว แค่กัดเข้าไปก็ทำให้พูดอะไรไม่ออก ยากจะกลืนลง

ซูม่ออวี๋มองเฉินฉางเซิงและกล่าวปลอบโยน “วางใจเถอะ ข้าจะอยู่คอยดูเขา”

เจ๋อซิ่วกล่าว “หากเจ้าตาย หลังจากทำเรื่องนั้นเสร็จ ข้าจะกลับไปแดนเหนือ”

เขาคือนักล่าจากแดนเหนือที่มักจะมายังจิงตูที่คึกคักเพื่อรักษาอาการป่วย หลังจากการรักษาจบลง ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะจากไป

แต่เรื่องใดที่เขาต้องการทำให้เสร็จ

บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งขึ้น หลังจากเจ๋อซิ่วกล่าว ก็ยิ่งเพิ่มความเย็นเยียบเข้าไปอีก

พวกเขาล้วนรู้ว่าเจ๋อซิ่วต้องการจะทำอะไรก่อนไปจากจิงตู นั่นก็คือฆ่าโจวทง

……

……

เฉินฉางเซิงเป็นนักเรียนคนแรกของสำนักฝึกหลวงในรอบสิบกว่าปี

และสำนักฝึกหลวงกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ก็เพราะเขา

หากเขาจำเป็นต้องบอกถึงเรื่องที่เขายากจะปล่อยวางที่สุดในจิงตู นอกเหนือจากคนเหล่านี้แล้ว ก็ย่อมเป็นสำนักที่งดงามและสงบแห่งนี้

หลังจากเขาจากโลกนี้ไป สำนักฝึกหลวงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ จะคงเป็นเช่นตอนนี้ต่อไปหรือไม่

ถังซานสือลิ่วกับซูม่ออวี๋ได้ให้สัญญาแล้ว และหลังจากเจ๋อซิ่วรับเงินจากถังซานสือลิ่วมากพอ เขาก็ย่อมสังหารใครก็ตามเพื่อสำนักฝึกหลวง และขอให้เขาวางใจได้เมื่อจากไป ในตอนนั้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าบางทีเขาควรหลับตาลงและจากไปอย่างสงบ

ครั้นพวกเขาหันไปหาเซวียนหยวนผ้อ หมายจะรู้ว่าเขาวางแผนเช่นไร เซวียนหยวนผ้อก็พลันกล่าวออกมาและจากไป ทิ้งท้ายไว้เพียง “ข้าไปแล้ว”

เซวียนหยวนผ้อจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีความอืดอาด ไม่มีความลังเล ประหนึ่งมีใครมาผลักเขาหรือราวกับว่าสำนักฝึกหลวงกำลังจะพังทลายลง

“นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าหนีตายเมื่อเรือล่มอย่างนั้นหรือ”

เมื่อมั่นใจว่าเซวียนหยวนผ้อถึงขนาดเอากระบี่หนักในครัวไปด้วย ถังซานสือลิ่วก็สูดหายใจอย่างเย็นเยียบ

เจ๋อซิ่วกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรีบกลับไปเมืองไป๋ตี้”

ถังซานสือลิ่วถามด้วยความสับสน “ทำไมเขาถึงกลับเมืองไป๋ตี้”

“ไปหาองค์หญิงลั่วลั่วและบอกนางว่าเฉินฉางเซิงกำลังจะตาย มีแต่องค์หญิงลั่วลั่วที่จะขอร้องให้จักรพรรดิขาวเดินทางมาจิงตูเพื่อรักษาเฉินฉางเซิงได้”

หลังจากเจ๋อซิ่วกล่าวออกมา เขาก็หันไปมองเฉินฉางเซิงและกล่าว “เจ้าเห็นไหม มีคนมากมายไม่อยากให้เจ้าตาย องค์หญิงลั่วลั่วนั้นย่อมไม่อยากให้เจ้าจาย และอย่าลืมว่าเจ้าก็ต้องรักษาอาการป่วยของข้า หากเจ้าตาย ข้าอาจจะตามเจ้าไปในเวลาสองปี ดังนั้นทางที่ดีจงมีชีวิตอยู่”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าจะดิ้นรนมีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่”

สำหรับเขา วิถีสวรรค์หรือชะตาก็ไม่เคยยุติธรรมและโหดร้ายอยู่เสมอ  ทว่าโลกนี้กลับปฏิบัติต่อเขาด้วยดี มีคนมากมายไม่ต้องการให้เขาตาย อย่างเช่นลั่วลั่ว เซวียนหยวนผ้อ ถังซานสือลิ่ว นอกจากนี้ หากเขาตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ๋อซิ่ว กับมังกรดำ ใครจะเป็นห่วงนาง

ในตอนที่เขากำลังคิดเรื่องพวกนี้ ก็มีแขกมาเยือนสำนักฝึกหลวง แขกผู้นี้มีฐานะสูงส่งแต่ก็เป็นปัญหาอยู่บ้าง

หากสวีโหย่วหรงไม่ถูกเรียกตัวไปวังหลวงและเฉินฉางเซิงยังอยู่ในบ้าน ก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับเฉินหลิวอ๋อง อย่าว่าแต่พูดคุยกับเขา

“เจ้า…คือเจาหมิงจริงหรือ”

แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องว่างของน้ำพุ ตกลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเฉินหลิวอ๋อง แสงนั้นก่อให้เกิดภาพที่ซับซ้อน ทำให้ใบหน้าของเขานั้นดูซับซ้อนและเศร้าสร้อย

ช่วงสองปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงและทายาทราชวงศ์เฉินผู้นี้ไม่ได้พบกันบ่อยครั้งนัก กระนั้นวามสัมพันธ์ก็ถือว่าดีทีเดียว

เขาไม่คิดว่าท่านอ๋องจะมาถามคำถามโดยตรงเช่นนี้