มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 719
ทว่าในตอนที่หมาป่าเพลิงตะกายอยู่ห่างจากหลัววิวเพียงหนึ่งร้อยเมตรนั่นเอง จู่ ๆ เท้าทั้งสี่ข้างก็ได้อ่อนแรงลง และคุกเข่าหมอบลงไปบนพื้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เร็วจนเกินไปในก่อนหน้านี้ จึงได้ไถลไปเป็นทางยาว เกิดเป็นคลองสองสายขึ้นมาบนพื้นดิน ฝุ่นลอยตลบอบอวล

“รีบหลบไป!” ศิษย์เฝ้าประตูผู้หนึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทนเห็นคนคนหนึ่งถูกอสุรกายชนตายไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ยื่นมือออกมาดึงหลัววิว

เพียงแต่ว่ามือของเขามาสามารถแตะต้องร่างของหลัวซิวได้เลย จากนั้นก็ถูกดีดกลับออกไป

หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อ ฝุ่นละอองสลายไป จากนั้นศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองก็ได้พบกับภาพที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง

ขาทั้งสี่ข้างของหมาป่าเพลิงตะกายคุกเข่าลงไปบนพื้น เปลวเพลิงบนร่างกายหายไป ปรากฏให้เห็นขนสีแดงเพลิง ส่วนศีรษะของมันนั้นได้แนบชิดติดพื้น หมอบคลานอยู่ตรงหน้าของบุรุษหนุ่มชุดดำ

“เจ้าเพลิงเป็นอะไรไป?” บุรุษหนุ่มชุดแพรมองหลัวซิวด้วยความสงสัย “เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”

“เจ้าแซ่สวี?” หลัววิวไม่ได้ตอบคำถามของเขา และได้ถามอีกฝ่ายกลับคำถามหนึ่ง

“หึ ในเมื่อรู้ว่าข้าแซ่สวี เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็รู้สถานะของข้าดี อย่าคิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือแดนฝึกจิตก็มีคุณสมบัติมาแสดงตัวเป็นยอดฝีมืออยู่ต่อหน้าข้าได้”

ในสายตาของบุรุษหนุ่มชุดแพร อีกฝ่ายสามารถควบคุมหมาป่าเพลิงตะกายขั้นสี่ได้ น่าจะเป็นยอดฝีมือแดนฝึกจิต อย่างมากก็แค่ราชายุทธ์

และสำหรับสำนักไท่เสวียนแล้ว ราชายุทธ์คนหนึ่งไม่นับว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำ

หลัวซิวสีหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ในเมื่อเจ้าแซ่สวี เช่นนั้นสวีจิงเหนียนเป็นอะไรกับเจ้า?”

“บังอาจ! สามหาว! ท่านปู่ทวดของข้าเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน นามของเขาใช่สิ่งที่คนอย่างเจ้าเรียกได้หรือ?”

บุรุษหนุ่มชุดแพรตวาดด้วยความโมโห “ใครก็ได้ ช่วยข้าจับคนสามหาวผู้นี้เอาไว้!”

บุรุษหนุ่มชุดแพรผู้นี้หยิบเอาม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมาและบีบแตก พลางตวาดเสียงดัง

พรึบ!

กระแสพลังจิตแท้หลายก้อนได้พุ่งออกมาจากในสำนักเขาไท่เสวียน จากนั้นก็มีลำแสงหลายสายลอยมา ปรากฏตัวขึ้นเหนือประตูสำนัก

“คุณชายสวี เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ราชายุทธ์ที่เป็นผู้นำคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้น

“พี่ลู่มาพอดีเลย คนผู้ที่ได้ทำร้ายเจ้าเพลิงของข้า แถมยังไม่เห็นท่านปู่ทวดของข้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด ท่านพิจารณาดูเองก็แล้วกัน” บุรุษหนุ่มชุดแพรสองมือกอดอก กล่าวอย่างเย้ยหยัน

ราชายุทธ์แซ่ลู่ผู้นี้ มีนามว่าลู่เจิ้งเย๋ เป็นราชายุทธ์กลุ่มแรก ๆ ที่เข้าสำนักไท่เสวียน

เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษหนุ่มชุดแพร เขาก็ได้หัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ เพราะทั่วทั้งสำนักไท่เสวียนมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีนิสัยอย่างไร?

แต่คนผู้นี้กลับเป็นหลานชายที่ผู้คุมกฎสวีรักใครที่สุด เขาเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ ดังนั้นจึงได้เลื่อนสายตาไปยังบุรุษหนุ่มชุดดำที่อยู่นอกประตูสำนัก และกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ที่คุณชายสวีกล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือ?”

หลัววิวไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ชายตามองลู่เจิ้งเย๋อย่างเรียบ ๆ

และในตอนนี้เองลู่เจิ้งเย๋ก็ได้มองเห็นใบหน้าของหลัวซิวได้ชัดเจน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที!

“ศิษย์ของสำนัก จับตัวสวีหนิงซวนเอาไว้ให้ข้า!” ลู่เจิ้งเย๋ตวาดขึ้นมาเสียงดัง

ที่ด้านหลังของเขา ติดตามมาด้วยปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตช่วงปลายสี่คน เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องตะลึงงันทันที?

“พี่ลู่ ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้จับตัวคุณชายสวี?” ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้หนึ่งกล่าวเสียงเบา เขาคิดว่าหากไม่ใช่ตัวเองฟังผิด ก็เป็นพี่ลู่ที่พูดผิดไป

“ถูกต้อง จับสวีหนิงซวนคนทรยศนี้เอาไว้ให้ข้า!” ลู่เจิ้งเย๋กล่าวย้ำอีกครั้ง

“ลู่เจิ้งเย๋ เจ้ากล้าแตะต้องข้า เจ้าช่างบังอาจไปแล้วนะ!” สวีหนิงซวนกระทืบเท้าด่า

ปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตที่ติดตามอยู่ด้านหลังลู่เจิ้งเย๋ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

เมื่อหลัวซิวเห็นปฏิกิริยาของลู่เจิ้งเย๋ ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าตนเองเป็นใครแล้ว แต่เขากลับจำอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้ไม่ได้เลย

“บังอาจ!”

ลู่เจิ้งเย๋ตวาดด้วยความโมโห รัศมีพลังของราชายุทธ์แผ่ซ่านออกมา กดจนแดนพรสวรรค์เล็ก ๆ อย่างสวีหนิงซวนนอนคว่ำลงไปกับพื้นภายในชั่วพริบตา